ไวน์แม่มด ไวน์คนจน ไวน์บูด  ‘ไวน์ร้อน’ เครื่องดื่มแห่งวันคริมาสต์
  1. ไวน์แม่มด ไวน์คนจน ไวน์บูด ‘ไวน์ร้อน’ เครื่องดื่มแห่งวันคริมาสต์

ไวน์แม่มด ไวน์คนจน ไวน์บูด ‘ไวน์ร้อน’ เครื่องดื่มแห่งวันคริมาสต์

Wongnai Story พาไปรู้จักไวน์ร้อน ของดีจากฝั่งยุโรป ประโยชน์ต่อร่างกาย ที่มาและเรื่องราวหลายรูปแบบก่อนจะมาเป็นเครื่องดื่มไอคอนิกประจำเทศกาลสิ้นปี
writerProfile
19 ธ.ค. 2024 · โดย

เพราะการเฉลิมฉลองอยู่คู่กับมนุษย์มาแสนนาน เครื่องดื่มอร่อย ๆ ก็ใช่ด้วย ถ้าอยากแฮปปี้กันเต็มที่แล้วจะขาดของอร่อยพวกนี้ไปได้อย่างไร ยิ่งสำหรับในช่วงสิ้นปีที่เราต้องฉลองให้กับเทษกาลคริสมาสต์นั้น มีอยู่เครื่องดื่มหนึ่งที่ชาวยุโรปและทั่วโลกรักเหลือเกิน ‘Mulled Wine’ หรือ ไวน์ร้อน

ไวน์ร้อนคือเครื่องดื่มที่ช่วยเราคลายหนาวได้ดี จากความเผ็ดร้อนนิดหน่อยของเครื่องเทศ ผสมกับความอุ่น ให้รสชาติหงานในปาก ยิ่งเดินเล่นในตลาดคริสมาสต์ไปด้วย ฮอร์โมนความสุขยิ่งหลั่งออกมา ความน่าสนใจของไวน์ร้อนคือที่มาที่ไป เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้คิดอยากจะเอามาขายที่ตลาดคริสมาสต์ก็เอามาวางได้เลย เพราะกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้คือผ่านมาแล้วทุกยุคของจริง

Wongnai Story พาไปรู้จักไวน์ร้อน ของดีจากฝั่งยุโรป ประโยชน์ต่อร่างกาย ที่มาและเรื่องราวหลายรูปแบบก่อนจะมาเป็นเครื่องดื่มไอคอนิกประจำเทศกาลสิ้นปี

แค่จะรักษาไวน์ไม่ให้เก่า แต่ดันอร่อยเฉย

‘Mulled wine’ หรือไวน์ร้อน เป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 2,000 ปี นานกว่าที่เราคิด มีต้นกำเนิดจากชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 และชื่อเดิมของมันจริงๆ แล้วคือ Conditum Paradoxum

เครื่องดื่มชื่อยาว ๆ ชนิดนี้เกิดจากการชาวโรมันหยิบเอาไวน์แดงมาต้มผสมน้ำผึ้งและเครื่องเทศต่างๆ โดยเจ้าวิธีการหยิบนั่นผสมนี่เกิดขึ้นเพราะว่าต้องการจะรักษาไวน์ไม่ให้เน่าเสียไว้ หรือนำไวน์ที่กำลังจะเสียมาต่ออายุเป็นไวน์ร้อนได้อีก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวที่ต้องระวังเป็นพิเศษว่าไวน์จะเน่าหรือเสีย เลยบู้ม เกิดเป็นสูตรเครื่องดื่มชนิดใหม่ในตอนนั้นขึ้นมา

หลังจากนั้นช่วงยุคกลางของยุโรป การดื่มไวน์ร้อนเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางมากขึ้น โดยมีการหมักในลังไม้ที่เคลือบด้วยทองคำ และต้มด้วยไฟอ่อน ๆ พร้อมผสมส่วนผสมต่าง ๆ เช่น ส้ม น้ำตาล อบเชย กานพลู และวานิลลา เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อม อย่างไรก็ตาม ในช่วงศตวรรธที่ 12 ไวน์ร้อนยังไม่ได้ใช้ชื่อ Mulled Wine เหมือนในปัจจุบัน แต่ถูกเรียกว่า ‘Spicy Wine’ คือเป็นไวน์แซ่บ ๆ รสชาติเผ็ดร้อนนิดหน่อยจากการผสมเครื่องเทศต่าง ๆ ลงไป จนศตววรษถัดมาที่พระเจ้าเฮนรีที่ 3 แห่งอังกฤษ ได้พาเครื่องดื่มนี้กลับมายังเกาะอังกฤษ และเริ่มต้นใช้ชื่อ Mulled Wine ตั้งแต่ตอนนั้น

นอกจากนี้ ชื่อของเจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้ก็เปลี่ยนไปในหลายประเทศของยุโรป เช่น ‘Glühwein’ ในเยอรมนี Gløgg ในนอร์เวย์และเดนมาร์ก สำหรับประเทศฟินแลนด์และเอสโตเนียจะเรียกว่า ‘Glögi’ แทน แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไร ไวน์ร้อนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมในช่วงฤดูหนาวและเทศกาลตลาดคริสต์มาสของยุโรปแน่ๆ

ไม่ได้เพิ่มแค่ความอุ่น แต่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้

นอกจากความหวาน ความสไปซี่เล็กๆ จากเครื่องเทศมันจะกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นแล้ว ชาวโรมันโบราณเชื่อว่า ไวน์ร้อนชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นในสภาพอากาศหนาว เครื่องเทศต่างๆ ที่มาช่วยเพิ่มคุณสมบัติในการรักษาโรค ไม่ว่าจะอบเชยและกานพลู มีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการหวัด ไอ และเจ็บคอ เนื่องจากมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและลดการอักเสบด้วย เหมาะมาก ๆ กับช่วงฤดูหนาวที่ร่างกายเรามักจะอ่อนแอลง

โดยในปัจจุบัน มีการศึกษาบอกว่าสารบางชนิดในไวน์สร้างประโยชน์ต่อร่างกายเราจริง เช่น สารเรสเวอราทรอล (resveratrol) ในไวน์แดง ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และลดไขมันชนิดไม่ดี (LDL cholesterol) ได้จริงๆ แปลว่าจริง ๆ แล้วความเชื่อนี้ของชาวโรมันโบราณเป็นความจริงมาโดยตลอด แต่วิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันก็ได้เตือนมาด้วยว่า ต่อให้เราจะอยากสุขภาพดีแค่ไหน แต่ดื่มมากเกินไปก็ไม่ดี ควรบริโภคไวน์ร้อนในปริมาณที่เหมาะสม เพราะต่อให้ร้อนอยู่ ก็ยังมีฤทธิ์ของแอลกฮอล์เหมือนเดิมแหละ

อร่อยล้ำ ลึกลับ ใครทำได้ คือเป็นแม่มด!

ครั้งหนึ่งเคยถูกเชื่อว่าเป็นยา ดูมีประโยชน์ แต่ครั้งหนึ่งเครื่องดื่มนี้ยังเคยถูกโยงไปอีกด้วยว่า ใครทำเครื่องดื่มชนิดนี้คือยัยแม่มด! โดยความเชื่อนี้เกิดขึ้นในยุคกลาง เป็นยุคที่ผู้คนมักเชื่อว่า แม่มดเป็นศัตรูของพระเจ้า และต้องถูกกำจัดทิ้ง เกิดเป็นยุคแห่งการไล่ล่าแม่มดสุดบ้าคลั่งขึ้นมาในช่วงนั้น

สาเหตุที่มันมาเกี่ยวข้องกับไวน์ร้อนได้เพราะว่างี้ คือเครื่องดื่มชนิดนี้มีพวกเครื่องเทศ มีความประหลาด ๆ ที่คนทั่วไปในยุคนั้นไม่คุ้นเคย อีกทั้งเมื่อรวมเข้ากับความเชื่อในยุคนั้นที่ว่าผู้หญิงคนไหนมีความรู้ในการปรุงยา ในการหยิบจับสมุนไพร หรือเครื่องเทศเข้ามารักษา หรือทำให้อาการอะไรบางอย่างหายไปได้ ก็มักจะถูกตราหน้าทันทีว่าเป็นแม่มด ซึ่งเจ้าไวน์ร้อนที่ว่านี่ก็ดันสามารถช่วยรักษาโรคได้บ้างนิดหน่อย เช่น หวัด ไอ เจ็บคอ ก็เลยยิ่งทำให้ดูเข้าเค้าสุด ๆ ว่า คนที่ทำเมนูนี้ออกมาได้คือแม่มด

ทั้งที่จริงๆ เครื่องดื่มชนิดนี้ถูกพัฒนามาจากความรู้ทางการแพทย์พื้นบ้าน เป็นเพราะการเข้าใจในคุณสมบัติของเครื่องเทศล้วน ๆ และนำมาปรุงให้อร่อย พร้อมเสิร์ฟ แต่ในสมัยก่อน เรื่องอะไรแบบนี้มักไปปะปนอยู่กับไสยศาสตร์ เวทมนตร์ลึกลับและความเชื่อแทน และยิ่งบวกเข้ากับ ‘ความเป็นผู้หญิง’ ในยุคก่อนที่ต่างจากมุมมองตอนนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเมนูนี้ถึงถูกยึดโยงเข้ากับความเป็นแม่มดได้

เครื่องเทศหายาก ใครได้ทานคือชั้นสูง

เรารู้กันว่าการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเครื่องเทศเกิดขึ้นมานานกว่าพันปีแล้ว แต่ที่น่าสนใจคือ ในช่วงศตวรรธที่ 16-17 ช่วงเดียวกันกับที่ชา กาแฟ โกโก้ เริ่มแพร่หลาย เพราะยุโรปแพร่กระจายอำนาจทางทะเลมากขึ้น เครื่องเทศที่ใช้ใน Mulled Wine เช่น อบเชย กานพลู และลูกจันทน์เทศ มักเป็นสินค้าสำคัญที่ยุโรปให้ความสนใจมากด้วยเหมือนกัน

ความพิเศษของการดื่ม Mulled Wine คือผสมด้วยเครื่องเทศหายาก เช่น กานพลูจากหมู่เกาะโมลุกกะ ประเทศอินโดนีเซีย หรืออบเชยจากศรีลังกาา ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่ผสมสิ่งพวกนี้ลงไปแปล่วาเราสามารถเข้าถึงทรัพยากรระดับโลก แถมเครื่องเทศเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้ไวน์ แต่ยังทำหน้าที่แสดงภาพความฟุ่มเฟื่อย ความร่ำรวย พร้อมสะท้อนถึงสถานะทางสังคม เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและอำนาจของชนชั้นสูงอีก เพราะในอดีตราคาสูงของเครื่องเทศมักแปรผันตามระยะทางการขนส่ง ยิ่งไกลยิ่งแพงว่าแบบนั้น ตลอดจนการควบคุมการค้าโดยรัฐ การเก็บภาษี หรือบริษัทดัง ๆ ในยุคนั้น เช่น Dutch East India Company ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายสูงจากภาษีและการผูกขาดไปด้วย

ขอโทษนะคะ ที่เป็นได้แค่ ‘ไวน์คนจน’

กว่าจะมามีวันนี้ ก็ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ยังไม่หมด! เพราะแม้ว่าจะเคยถูกมองว่าเป็นของหายาก ราคาแพง แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นได้แค่ ‘ไวน์สำหรับคนจน’ อีก ช่วงนี้เกิดขึ้นในช่วงหลังการค้าขายที่สะดวกมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงเครื่องเทศทำได้แพร่หลายมากขึ้น บวกกับการเลือกไวน์คุณภาพไม่ดีมากหรือเหลือใช้ เพื่อมารักษาไวน์เก่า หรือป้องกันการเน่าเสีย ทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้เคยโดนมองว่าเป็นแค่ไวน์คนจนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จะรวยจะจน ในปัจจุบัน เครื่องดื่มนี้กลับมาได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดคริสต์มาส จนตอนนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นและความสุขในช่วงเทศกาลไปแล้วเรียบร้อย

การฟื้นคืนความนิยมของไวน์ร้อนในยุคปัจจุบันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและพลวัตในมุมมองของผู้คนต่อเครื่องดื่มนี้ คือจากที่เคยถูกมองว่าเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นล่างเท่านั้น กลับกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีความเชื่อมโยงกับประเพณีและวัฒนธรรมขึ้นมา เป็นเครื่องดื่มแห่งการเฉลิมฉลอง ความสุขของสิ้นปีแทนแล้วซะงั้น

การเปลี่ยนแปลงจากรวยมาจนและกลับไปเป็นของทั่วไป สะท้อนสังคมว่า จริง ๆ แล้ว ความคิดเห็นของสังคมเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ได้ยึดติดอยู่กับเพียงแค่หนึ่งความหมายตลอดไป มีอีกหลายเหตุการณ์ที่ชี้ความเปลี่ยนแปลงความคิดทางสังคมอยู่เรื่อย ๆ เพราะงั้นในตอนนี้อะไรที่เรามองว่าไม่ดีอยู่ อีกสิบปีข้างหน้าก็กลับมาเป็นสิ่งที่ดี ฮิต และนิยมขึ้นมาได้เหมือนกัน

ไม่ได้แค่คริสมาสต์เท่านั้น แต่ยังฉลองมาแล้วในหลายเทศกาล

นอกจากนี้ไวน์ร้อนไม่ได้ถูกใช้เฉลิมฉลองเพียงแค่ในเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มสุดฮิต ในประเพณีอื่นๆ มาตั้งแต่ยุคโรมัน เช่น เทศกาล Saturnalia (17–23 ธันวาคม) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองดาวเสาร์และการอุดมสมบูรณ์ ผู้คนจะดื่ม Conditum Paradoxum (ชื่อเก่าของไวน์ร้อน) เพื่อรำลึกถึงครีษมายันและการเกิดใหม่ของดวงอาทิตย์

หรือในยุโรปยุคเรเนซองส์ การเฉลิมฉลองตามฤดูกาลมักเกี่ยวข้องกับไวน์ โดยเฉพาะไวน์ร้อนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และการรวมตัวทางสังคมด้วยเหมือนกัน เช่น ในงานเลี้ยงของ Saint Martin’s Day และพิธีดื่มไวน์แรกของฤดูกาล นอกจากนี้ยังพบว่ามีภาพวาดหลายภาพที่บันทึกฉากการดื่มและความรื่นเริงในโรงเตี๊ยมของ ซึ่งอาจรวมถึงไวน์ร้อนตามสูตรดั้งเดิมจากศตวรรษที่ 16 ด้วย

จากนั้น ไวน์ร้อนจะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านหน้าที่ จากเดิมใช้สำหรับงานประเพณีกันเองในหมู่บ้านหรือชุมชน มาสู่คริสต์ศาสนา กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส และอยู่ยาวจนเป็นไอคอนนิกและภาพจำไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าไวน์ร้อนกับวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองนั้นคู่กันมาตลอด ไม่เพียงเป็นเครื่องดื่มสำหรับเทศกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญะของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีกด้วย

ดื่มเพื่อคิดถึงเธอ

จากที่เห็น ‘ไวน์ร้อน’ เป็นมาหลายอย่าง อยู่มาทุกยุค ส่วนสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเครื่องดื่มไอคอนนิกประจำตลาดคริสมาสต์ และอีกหน้าที่หนึ่งที่ไวน์ร้อนกำลังทำอยู่คือ การให้ความรู้สึกคิดถึงบ้าน เพราะเทศกาลคริสมาสต์คือเทศกาลที่เราจะได้วนกลับไปเจอครอบครัว กลับไปเจอความรัก ความอบอุ่นที่บ้าน การได้ดื่มเครื่องดื่มบางชนิดในช่วงเวลาที่พิเศษย่อมทำให้เรารู้สึกแตกต่างไปจากเดิม เครื่องดื่มประจำเทศกาลนี้เลยทำหน้าที่กระตุ้นความคิดถึงได้อย่างดี

ในทางวิทยาศาสตร์ อธิบายว่า กลิ่นและรสชาติของเครื่องดื่มสามารถกระตุ้นความทรงจำในอดีตได้ เนื่องจากสมองที่ใช้ประมวลผลกลิ่น มีการเชื่อมโยงโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์)และสมองส่วนที่เกี่ยวกับความทรงจำระยะยาว หลาย ๆ งานวิจัยเลยบอกว่า กลิ่นสามารถกระตุ้นความทรงจำที่ละเอียดและเต็มไปด้วยอารมณ์ได้ดีกว่าประสาทสัมผัสอื่น นอกจากนี้ รสชาติและกลิ่นที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์พิเศษได้อีกด้วย และมีผลต่อการกระตุ้นทั้งความทรงจำส่วนตัว และวัฒนธรรม ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับอดีตได้มากกว่าเดิม

สำหรับประเทศไทย เครื่องดื่มที่เป็นตัวแทนแห่งการเฉลิมฉลองอาจจะไม่ได้ชัดเจนนัก เราว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลนิดหน่อย คือคงขึ้นอยู่กับความทรงจำของแต่ละคนกับบ้าน หรือพื้นที่ที่เราเติบโตมามากกว่าว่าคืออะไร สำหรับคนเขียน เครื่องดื่มในความทรงจำที่ทำให้นึกถึงช่วงสิ้นปีและบ้าน และช่วงเวลาที่ใช้กับครอบครัว คือน้ำใบเตยผสมว่านหางจระเข้ที่อาม่าเคยทำให้กินเมื่อตอนเด็กๆ ไม่ก็อาจจะเป็นกลิ่นน้ำขิงที่ป๊าชอบกินบ่อย ๆ

เพราะว่าเครื่องดื่มเป็นได้มากกว่าแค่น้ำรสชาติอร่อยที่เพิ่มประโยชน์ให้กับร่างกาย เครื่องดื่มยังทำงานกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และจิตใจของมนุษยชาติอีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นไวน์ร้อน ชา หรือจะเครื่องดื่มประเภทใดก็ตาม ถ้าเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เรานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ความทรงจำทั้งดีและไม่ดีปะปนไป ก็นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยเพียงพอแล้วแหละ

อ้างอิง

https://www.onsullivan.com/blogs/news/mulled-wine-through-the-ages?srsltid=AfmBOoqX6x_sgL6K92nP7HUMc1YA2pjRNV_GUYevKAvWrzqNJ_e5XDKq&utm_source=chatgpt.com

https://www.tastinghistory.com/recipes/conditumparadoxum

https://www.foodandwine.com/women-brewers-witches

https://www.britannica.com/topic/wine/Flavoured-wines#ref110684

https://www.cabidigitallibrary.org/do/10.5555/blog-history-spice-trade#:~:text=The%20long%2Drange%20spice%20trade,them%20to%20Red%20Sea%20ports.

https://www.apollo-magazine.com/mulled-wine-history-christmas-celebrations/