เห็ดทรัฟเฟิล? ไขข้อสงสัย อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า
  1. เห็ดทรัฟเฟิล? ไขข้อสงสัย อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

เห็ดทรัฟเฟิล? ไขข้อสงสัย อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้านั้น บ้างถูกเล่าว่าสาเหตุจากท้องร่วง การฉันเห็ดพิษ ไปจนถึงฉันเนื้อหมูอ่อน เบื้องหลังเมนูสุดท้ายของพระพุทธเจ้านั้นคืออะไรกันแน่?..
writerProfile
17 มิ.ย. 2024 · โดย

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้านั้น บ้างถูกเล่าว่าสาเหตุจากท้องร่วง การฉันเห็ดพิษ ไปจนถึงฉันเนื้อหมูอ่อน หรือบางทฤษฎีนั้นกล่าวโทษไปยังนายจุนทะ ไม่ว่าเบื้องหลังเมนูสุดท้ายของพระพุทธเจ้านั้นคืออะไร ร่วมกันค้นหาคำตอบได้ใน Wongnai Story Ep.99 : เห็ดทรัฟเฟิล? ไขข้อสงสัย อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

สุดท้ายเองพระพุทธเจ้าก็ถึงคราวต้องเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน มีวาระสุดท้ายคือความตาย ไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไป เมื่อเราตัดความแฟนตาซีที่ถูกเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลัง เราจะพบว่าพระพุทธเจ้ามีช่วงวาระสุดท้ายหรือการดับขันธ์ที่ธรรมดามากกว่าที่พวกเราคิด

“พระพุทธเจ้าป่วยเป็นโรคทางเดินอาหาร และเสด็จดับขันธ์”

หากในสมัยพุทธกาลมีโซเชียลมีเดีย นายจุนทะก็คงจะโดนแขวนจนไม่มีที่ยืน เพราะพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้านายจุนทะเป็นคนถวาย นั่นจึงทำให้เราตั้งสมมติฐานได้ว่า สาเหตุของการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้า มาจากอาหารของนายจุนทะ เศรษฐีแค้วนมัลละ ซึ่งถวายอาหารชื่อประหลาดไม่คุ้นหูยุคปัจจุบันอย่าง สูกรมัททวะ

หากจะบอกว่านายจุนทะวางยาพิษพระพุทธเจ้า ก็คงจะดูเป็นทฤษฎีสมคบคิดมากเกินไป ซึ่งตามพระบาลีไม่ได้มีกล่าวถึงเรื่องนี้ ตามพระไตรปิฎกเจตนาของนายจุนทะคือปราณีตและตั้งใจจัดเตรียมอาหารอย่างดีด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอาการอาพาธอยู่แล้ว ทฤษฎีนี้ขอพักไว้ก่อน

แท้จริงแล้ว สูกรมัททวะ คืออาหารที่เป็นพิษในตัวมันเอง ซึ่งไปตอบสนองอาการป่วยของพระพุทธเจ้าให้กำเริบ แล้วจริง ๆ สูกรมัททวะ นั้น คืออะไรกันแน่ ทั้งหมดนี้เป็นข้อสันนิษฐานตามภาษาบาลี ซึ่งแปลออกมาได้หลากหลายรูปแบบการตีความ เพราะ สูกรมัททวะ ไม่ได้มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์แน่ชัด

มีการตีความ "สูกรมัททวะ" ว่าเป็นอาหารชนิดใดไว้หลายทาง เช่น

1.เนื้อสุกร ที่อ่อนนุ่ม (สูกรมทฺทวนฺติ สูกรสฺส มุทุสินิทฺธํ ปวตฺตมํสํ)

2.หน่อไม้ที่สุกรแทะดุน (สูกเรหิ มทฺทิตวํสกฬีโร)

3.เห็ดชนิดหนึ่งที่เกิดในถิ่นที่สุกรแทะดุน (สูกเรหิ มทฺทิตปฺปเทเส ชาตํ อหิฉตฺตกํ)

4.เป็นชื่อรสอาหารชนิดหนึ่ง เรียกว่า สูกรมัททวะ (สูกรมทฺทวํ นาม เอกํ รสายตนํ)

มีทฤษฎีที่น่าสนใจจากนิกายมหายานบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมังสวิรัต อธิบายว่าอาจเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ศึกษาบางคนเชื่อว่าอาจจะเป็นทรัฟเฟิลก็ได้

หากกล่าวถึงบริบทในวันที่รับเสวยอาหารนายจุนทะบวกกับการตีความของข้อสาม เห็ดทรัฟเฟิลก็น่าคิด เพราะเห็ดทรัฟเฟิลจัดอยู่ในหมวดหมู่อาหารที่มีราคาสูง สอดคล้องกับเจตนาของนายจุนทะซึ่งบรรจงเฟ้นหาอาหารที่ดีที่สุดมาถวายพระพุทธเจ้าตามเนื้อหาพระไตรปิฎก อีกทั้งยังบ่งบอกว่า เห็ดนั้นคือเห็ดที่เกิดในถิ่นอาศัยของหมู นั่นก็คือเห็ดจำพวกเห็ดทรัฟเฟิล

ในเรื่องของหมู หมูสามารถดมกลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีประสาทรับกลิ่นที่ไว อีกทั้งยังมีสัญชาตญาณในการใช้จมูกคุ้ยเขี่ยหาอาหารอยู่แล้ว ประกอบกับเห็ดทรัฟเฟิลมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ดึงดูดความสนใจของหมู ไม่แปลกที่นักวิชาการหรือคนบางกลุ่มเชื่อว่านั่นคือเห็ดทรัฟเฟิล แต่ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ของถิ่นกำเนิดทรัฟเฟิลนั้นทำให้ทฤษฎีนี้ตกเป็นข้อถกเถียง ก็เพราะต้นกำเนิดเห็ดทรัฟเฟิลที่เราเข้าใจส่วนใหญ่มักพบในแถบทวีปยุโรป ขณะที่เห็ดสูกรมัททวะถูกกล่าวถึงในบริบทของอินเดีย

เมื่อทีมงานสอบถามไปยังผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านให้ความเห็นว่า ทฤษฎีที่น่าสนใจและดูมีเหตุผลมากกว่า คือ สูกรมัททวะ เป็น ข้าวสุกอ่อน ที่จัดปรุงด้วยปัญจโครส นมสด, นมส้ม, เปรียง, เนยข้น, เนยใส พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ อารมณ์น่าจะเหมือนโจ๊กหรือข้าวต้มที่ปรุงกับนมทั้ง 5 ชนิด (แค่ฟังก็ดูแสลงท้องแล้ว)

อีกทั้งรูปพรรณสัณฐานของอาหารก็ใกล้เคียงกับอาหารในแถบนั้นอีกด้วย ทั้งยังสอดคล้องกับอาหารที่นายจุนทะเตรียมไว้สองแบบสำหรับการถวายซึ่งก็คืออาหารปกติ และอาหารอ่อนสำหรับพระภิกษุที่ชราหรือป่วย ซึ่งพระพุทธเจ้าเลือกฉันอาหารประเภทอ่อน

ใด ๆ ทฤษฎีเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางความเชื่อที่แตกต่างในเมื่อสูกรมัททวะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัด

ปรากฎว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสวย สูกรมัททวะ ก็รับสั่งให้นายจุนทะ นำสูกรมัททวะที่เหลือไปกลบดินฝังทันที คนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นต้องอึ้งกับฉากดราม่านี้ ดุเดือดพอ ๆ กับ Hell’s Kitchen

“เราตถาคตมองไม่เห็นใครในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่บริโภคสูกรมัททวะแล้วจะย่อยได้ดีนอกจากเราตถาคต”.. แปลง่าย ๆ ก็คือ “ไม่เห็นว่าใครจะย่อยอาหารชิ้นนี้ได้แล้ว ทั้ง เทวดา ฟ้าดิน หรือ มารตนไหน ”

หลังจากนั้นไม่นานพุทธเจ้าก็เกิดอาพาธอย่างแรง พระโรคที่เรียกว่า “ปักขันทิกาพาธ” กำเริบ (ถ่ายเป็นโลหิต) อาการหนักหน่วงมาก ซึ่งโรคนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ตอนนี้กำเริบหนักขึ้นกว่าเดิมมาก กล่าวกันว่าทรงทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนจะปรินิพพาน ทรงมีรับสั่งให้พระอานนท์ตักน้ำเพื่อมาฉันถึงสามครั้ง แสดงให้เห็นถึงอาการขาดน้ำของพระพุทธเจ้าอย่างรุนแรง

ในทางการแพทย์เรามองอาการป่วยของพระองค์เป็นอย่างไรได้บ้าง (อ้างอิงจากบทความศิลปวัฒนธรรม , มหาปรินิพพานสูตร พระสุตตันตปิฎก สยามรัฐ เล่มที่ ๙ )

มีแหล่งข้อมูลที่หลากหลายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากพระไตรปิฎก แต่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดทางการแพทย์ที่ชัดเจน นักวิชาการจึงนำข้อมูลจากพระไตรปิฎกมาวิเคราะห์ ผสานกับความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่เพื่อวินิจฉัย

โรคบิด คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการติดเชื้ออะมีบาในลำไส้ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องเสียชนิดมีเลือดหรือมูกปน การแพร่กระจายของโรคบิดมักเกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีโดยผู้ป่วยมักได้รับเชื้อ จากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ในสมัยนั้น

การแตกของกระเปาะโลหิตของเส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องเข้าสู่ลำไส้ส่วนปลาย (aorta-intestinal fistula) ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการปวดท้องที่รุนแรง และการตกเลือดจำนวนมากจนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการกินอาหาร จึงเป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้

การบริโภคอาหารมื้อใหญ่มักเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการลำไส้ขาดเลือดได้ เมื่อลำไส้ที่ต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมากหลังมื้ออาหารไม่ได้รับเพียงพอ อาจทำให้ลำไส้นั้นตายลงกะทันหัน

ทั้งหมดนี้ชี้ไปยังประเด็นว่าสุกรมัททวะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรง แต่เป็นตัวการที่ทำให้โรคของพระองค์กำเริบมากกว่า

วาระสุดท้ายของพระพุทธเจ้า

พระองค์เดินทางต่อไปที่เมือง กุสินารา และในระหว่างทางทรงพักที่ริมแม่น้ำกกุธานที เพื่อพักเหนื่อย ระหว่างนั้นพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระอานนท์มาตรัสถึงเรื่องนายจุนทะ เป็นเมตตาธรรมของพระองค์อย่างแท้จริง เพราะทรงจะเคลียร์คดีของนายจุนทะซึ่งผู้กำลังจะตกเป็นผู้ต้องหา และอาจจะกำลังซวยโดยไม่รู้ตัวจากอาหารของตน

แปลสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกได้ง่าย ๆ ว่า “จงอย่าได้กล่าวโทษนายจุนทะเลย อาหารนายจุนทะนั้นวิเศษมาก การที่นายจุนทะนั้นได้ถวายภัตตาหารมื้อสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นบุญ จะถวายมื้อแรกก็เป็นบุญ เหมือนอย่างนางสุชาดา ที่นายจุนทะถวายมื้อสุดท้ายก็เป็นบุญ” ซึ่งการกระทำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อนายจุนทะนี้ ถูกมองว่าเป็นการปกป้องคนดีไม่ให้ถูกใส่ร้ายหรือเกิดความเสียหาย

ยามเย็น แสงแดดอ่อน ๆ ในที่ประทับของพระองค์ใต้ต้นสาละ พระพุทธเจ้าทรงแสดงปัจฉิมโอวาท(แสดงธรรมครั้งสุดท้าย) แก่เหล่าภิกษุ ด้วยหลักคำสอนถึงเรื่องการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท

"สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์กับตัวเองและประโยชน์ต่อผู้อื่นให้ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

ไม่นานนักพระพุทธเจ้าของเราก็เข้าฌาณ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาต่อมา เป็นอันจบเรื่องราวที่ให้ทั้งข้อคิดและการเปรียบเปรยในการใช้ชีวิต

ส่วนเรื่องสูกรมัททวะนั้น จะเป็นอาหารชนิดใดหรือแบบใด ด้วยข้อเท็จจริงหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นมีไม่มากพอให้สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่เราพอจะสรุปได้ว่าทฤษฎีเห็ดทรัฟเฟิลอาจมีความเป็นไปได้น้อยกว่ามาก เนื่องจากเรื่องแหล่งกำเนิดและข้อมูลทางประวัติศาสตร์

ส่วนทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากกว่าคือข้าวอ่อนที่หุงด้วยปัญจโครส ซึ่งเป็นของแสลง และเมื่อบวกกับอาการป่วยของพระพุทธเจ้าโรคที่มีอยู่ก็คงปะทุขึ้นจนเป็นเหตุให้ต้องอดกลั้นสังขารและปรินิพพานในเวลาต่อมา

แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ คิดว่าสูกรมัททวะคือเมนูอะไร? อยากจะลองกินสักครั้งดูไหม?

---------------------------------------------------------------------------------------------------

#Wongnai #Food #History #Vesak #วิสาขบูชา #วิสาขบูชา2567

ปรินิพพานสูตร : พุทธจริยาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า. วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น (6:2), หน้า 86–87

เสฐียรพงษ์ วรรณปก. วาระสุดท้ายของพระพุทธองค์, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่ 6 สิงหาคม 2552

อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

"มหาปรินิพพานสูตร". พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก