ถ้าเลือกได้ใคร ๆ ก็อยากจะมีผิวหน้าตึงกระชับอยู่เสมอ แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้ผิวหน้าร่วงโรยตามกาลเวลา ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้น แต่วัยรุ่นก็สามารถประสบปัญหาเรื่องริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้เช่นกัน
สำหรับปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อย อาศัยแค่การใช้สกินแคร์ลดเลือนริ้วรอยเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ หากใครต้องการให้ใบหน้ามีความยกกระชับขึ้น ผลลัพธ์คงทนมากขึ้น “โปรแกรมดึงหน้า” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยในวันนี้ Wongnai Beauty จึงถือโอกาสพาทุกคนมาเจาะลึกเทคนิคการผ่าตัดดึงหน้ายกกระชับกับคุณหมอเจ แห่ง The Art Clinic กันค่ะ
The Art Clinic เป็นคลินิกศัลยกรรมและความงามที่ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยทีมแพทย์และทีมงานมากประสบการณ์ คลินิกมีมาตรฐาน ซึ่งหากพูดถึงโปรแกรมศัลยกรรมที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คงจะหนีไม่พ้น “การผ่าตัดดึงหน้า” โดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง อย่างคุณหมอเจ นพ. อนุชิต อดิโรจนานนท์
1. โปรแกรมดึงหน้าคืออะไร
โปรแกรมดึงหน้า (Facelift) หรือการศัลยกรรมเพื่อยกกระชับใบหน้าและทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการในด้านการศัลยกรรมเสริมความงามที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งหัตถการนี้สามารถเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับปัญหาได้ขึ้นอยู่กับความต้องการหรือลักษณะเดิมของแต่ละบุคคลด้วย
โดยปกติแล้วศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง แพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะต้องเป็นผู้ประเมินและวางแผนหรือออกแบบการผ่าตัดให้เหมาะสมแบบเคสต่อเคส และต้องอยู่ภายใต้ความสามารถที่จะดูแลคนไข้ให้ปลอดภัยได้ครับ
จุดประสงค์ของหัตถการดึงหน้า คือ สามารถช่วยให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น และใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ โดยโปรแกรมดึงหน้าถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหา สำหรับผู้ที่มีความกังวลหรือมีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิวใบหน้า ซึ่งมักเกิดเป็นปกติตามอายุที่มากขึ้น หลังทำโปรแกรมดึงหน้าจะเห็นได้ถึงผลลัพธ์ที่ค่อนข้างตอบโจทย์ตามความต้องการของแต่ละบุคคลได้
2. เทรนด์การทำศัลยกรรมหรือการเสริมความงามในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ในปัจจุบันการศัลยกรรมหรือการเสริมความสวยความงาม ส่วนตัวผมในฐานะศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ผมคิดว่าถือเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบันครับ เนื่องจากการศัลยกรรมหรือการเสริมความงามค่อนข้างได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เพราะว่าการเสริม การเติม การแต่ง ทั้งในส่วนของรูปร่างหรือใบหน้า เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจและส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของบุคคลนั้น ๆ ให้ดีขึ้น แน่นอนว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมการเสริมความงามค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้สถานที่ให้บริการในด้านการศัลยกรรมความงามเกิดขึ้นมากมาย
อย่างสมัยก่อนหลายคนมักจะมองว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงาม มักจะต้องเป็นคนที่มีความบกพร่อง หรือมีความผิดปกติเท่านั้น โดยในปัจจุบันเริ่มเป็นที่ยอมรับ หลายคนให้ความสนใจเรื่องสุขภาพหรือการดูแลตัวเองมากขึ้น
และยังมีอีกหลายคนมองว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงามนั้นถือเป็นการทำเพื่อดูแลตัวเอง และเสริมสร้างความมั่นใจ หรือเป็นการเติมเต็มความสุขในชีวิต เป็นการให้รางวัลตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
อะไร?... ทําให้การบวมช้ำหลังผ่าตัดดีขึ้น พักฟื้นน้อยลง
เนื่องจากในปัจจุบันเริ่มมีคนหันมาสนใจการทำศัลยกรรมเสริมความงามมากขึ้น การเลือกสถานพยาบาลหรือสถานที่ผ่าตัดเพื่อทำศัลยกรรม จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้ที่มีความสนใจควรพิจารณาคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงการบริการของสถานที่ที่เลือก โดย ดิอาทคลินิก ส่วนตัวผมในฐานะศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ถือว่าดิอาทคลินิกเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สามารถจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้เข้ารับบริการของแต่ละบุคคลในหลาย ๆ ด้าน ด้วยมาตรฐานการบริการและทีมแพทย์
3. กว่าจะมาเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง
การเรียนแพทย์ว่าท้าทายแล้ว แต่การเรียนเพื่อเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางยากยิ่งกว่า เพราะการศึกษาต่อเฉพาะทางของแพทย์แต่ละสาขาจะมีกฎเกณฑ์ในการวัดผลที่แตกต่างกันครับ สำหรับใครที่สนใจอยากเป็นหรืออยากศึกษาต่อทางด้านศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางจำเป็นจะต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการ และการฝึกฝนที่ค่อนข้างมีความเข้มงวด
หลังจากสำเร็จการศึกษาทางการแพทย์ทั่วไปแล้ว แพทย์จะต้องใช้ทุนเป็นระยะเวลา 3 ปี ในสถานพยาบาลที่รัฐกำหนด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเก็บประสบการณ์และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการศึกษาต่อในเฉพาะทางด้านนั้น ๆ
เมื่อครบกำหนดการใช้ทุนแล้ว แพทย์ที่ต้องการเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางจำเป็นจะต้องสมัครและมีการแข่งขัน เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมในสาขาที่มีความเฉพาะทางด้านนั้น ๆ
นอกจากนี้หลักสูตรที่จะเปิดการเรียนการสอนอยู่ ก็จะมีเฉพาะบางโรงเรียนแพทย์เท่านั้น เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น
โดยแต่ละปีทั่วประเทศแพทย์ที่ศึกษาด้านการตกแต่งเฉพาะทางจะต้องฝึกอบรมด้านศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ซึ่งจะได้ประมาณ 20 คนต่อรอบเท่านั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้นเลยทีเดียวครับ
ในวงการด้านการศัลยกรรมเสริมความงามจำเป็นจะต้องอาศัยความถนัด ทักษะ หรือความรอบรู้ของศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง จะไม่ใช่แค่การอาศัยฝึกอบรมระยะสั้น ๆ เพียง 5 - 7 วัน เท่านั้น แต่การที่จะกลายเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ที่มีทักษะ ความถนัด หรือความรอบรู้ที่แท้จริงนั้น จึงจำเป็นจะต้องผ่านการฝึกอบรมที่เข้มงวดและใช้เวลานานถึง 5 ปีเลยทีเดียวครับ
ทําไมต้องใช้ระยะเวลาในการอบรมนานขนาดนั้น?
เพราะการเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่มีทักษะ ความถนัด หรือความรอบรู้นั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีคือความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคของร่างกายอย่างละเอียด ตั้งแต่กระดูกทุกชิ้น กล้ามเนื้อทุกมัด แม้แต่เส้นเลือดและเส้นประสาททุกเส้น ตามบริเวณใบหน้าเป็นพื้นที่ที่ซับซ้อน ซึ่งศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางจำเป็นต้องรู้ตั้งแต่รายละเอียดของกระดูกและกล้ามเนื้อไปจนถึงเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด เพื่อแก้ไขและตกแต่งในจุดต่าง ๆ อย่างละเอียด
นอกจากนี้ยังต้องรู้จักโรคที่สามารถเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น บริเวณใบหน้าต้องรู้จักโรคความผิดปกติตั้งแต่เกิด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ โรคเนื้องอกบริเวณใบหน้า การรักษาแผลฉีกขาดหรือกระดูกหักตั้งแต่ระดับง่ายจนถึงซับซ้อน รวมถึงการผ่าตัดเสริมความงาม เช่น โปรแกรมดึงหน้า โปรแกรมตัดหรือแก้ไขหนังตาตก หรือโปรแกรมเสริมจมูกนั่นเองครับ
ทําไมศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางจําเป็นที่จะต้องเรียนรู้มากขนาดนี้?
เหตุผลหลักคือการที่ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางต้องสามารถผ่าตัดโรคที่มีความยากได้ เช่น ความพิการแต่กำเนิด หรือเนื้องอก มะเร็ง ด้วยเหตุนี้เลยทำให้จำเป็นต้องมีความรู้และทักษะ ความถนัด ซึ่งเมื่อนำความละเอียดรอบคอบในการผ่าตัดโรคที่มีความยากมาปรับใช้กับการผ่าตัดทางด้านการเสริมความงาม ผมเชื่อครับว่าศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่มีทักษะ ความถนัด หรือความรอบรู้จะทราบและสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและตรงจุด นอกจากนี้ยังได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของแต่ละบุคคลได้ดีด้วยครับ
4. ทําไมต้องทําโปรแกรมดึงหน้าที่ดิอาทคลินิก?
- ที่ดิอาทคลินิกของเราจะทำการผ่าตัดโปรแกรมดึงหน้า โดยใช้เทคนิค UltimateFace Lock ซึ่งถือว่าเป็นเทคนิคที่คิดค้นโดยดิอาทคลินิก และมีความแตกต่างจากที่อื่น
ด้วยทีมศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางและแพทยศาสตร์บัณฑิตทุกท่าน ล้วนมีทักษะ ความถนัด และความรอบรู้ในด้านหัตถการนั้นจริง ๆ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ดิอาทคลินิกของเราได้ร่วมกันคิดค้น รังสรรค์ และพัฒนาเทคนิคนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานพอสมควรเลยครับ
โดยโปรแกรมดึงหน้าที่เราทำจะเน้นดึงลึกถึงระดับกล้ามเนื้อชั้น SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด ที่สำคัญคือผลลัพธ์อยู่ได้นานมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นยุคก่อน ๆ การทำโปรแกรมดึงหน้าส่วนใหญ่มักจะดึงชั้นตื้น ๆ หรือดึงแค่ 2 ชั้นแรก อย่างชั้นผิวหนังกับไขมัน เลยทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูไม่เนียน และผลลัพธ์อยู่ไม่คงทนเท่าที่ควร ส่งผลให้ใบหน้าอาจจะกลับมาหย่อนคล้อยดังเดิม
- แต่ปัจจุบันทางดิอาทคลินิกของเราได้มีการคิดค้นและร่วมกันพัฒนาโปรแกรมการดึงหน้า โดยมีเทคนิคที่จะดึงได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อเลยทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นได้ถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของความคงทนและใบหน้าที่แลดูมีความเรียบเนียนนั่นเองครับ
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ทางเราจะมีการประเมินระดับความหย่อนคล้อยของใบหน้าในคนไข้ทุกรายอย่างละเอียด เพื่อเลือกวิธีการรักษาหรือเทคนิคที่เหมาะสมที่สุดกับคนไข้ทุกราย
สำหรับการผ่าตัด ทางเราจะเน้นคอนเซปต์ว่า “ปากไม่กว้าง ตาไม่ชี้ หน้าไม่แปลก” และในทุกเคสคุณหมอจะมีการออกแบบใบหน้าและออกแบบในส่วนของรอยแผล โดยเฉพาะที่ดิอาทคลินิก ปัจจัยของเทคนิคนี้จำเป็นต้องเย็บโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางเท่านั้น เนื่องจากการซ่อนรอยแผลเป็นแบบเฉพาะที่ดิอาทคลินิก จะต้องอาศัยความละเอียด ฝีมือการเย็บ จึงจำเป็นต้องผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ซึ่งจะแตกต่างจากเทคนิคการเย็บทั่ว ๆ ไป หรือแม้แต่โปรแกรมดึงหน้าที่ใช้เทคนิคต่างจากการดึงแบบเดิม ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ของใบหน้ามีความกระชับ ได้รูปสวย ผิวเรียบขึ้น มีความเต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ตามสไตล์ของเคสรายบุคคล เพื่อทำให้คนไข้หรือผู้เข้ารับบริการของเรามีความมั่นใจในตัวเองได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ในหลาย ๆ เคสเรายังมีการใช้คอนเซปต์ ที่เรียกว่า “Lift & Fill” ร่วมด้วย เพราะในบางกรณีเมื่อทำโปรแกรมดึงหน้าไปแล้ว ใบหน้ามีความตึงแล้วแต่ผลลัพธ์ยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการเท่าที่ควร เราควรมีโปรแกรมในการเติมหน้าให้เต็มด้วย
โดยโปรแกรมการเติมให้เต็มของเรา คือ การที่จะนำเอาเทคนิคการเติมความเต็มให้ใบหน้าด้วยการเติมไขมันตัวเอง ที่ผ่านกระบวนการสกัดแล้วเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากตึงแล้วยังมีความเต็มด้วย และยังมีโปรแกรมอื่น ๆ ที่สามารถทำร่วมกันได้ ซึ่งผสมเกล็ดเลือดปั่นเข้าไปในตัวไขมัน จะยิ่งทำให้คุณภาพผิว เม็ดสีดีขึ้นด้วยครับ โดยผมจะประเมินการใช้เทคนิคตามความเหมาะสม
5. ช่วงอายุที่เหมาะสมกับการทำโปรแกรมดึงหน้า
ปัจจุบันโปรแกรมดึงหน้าสามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของคนไข้ และในปัจจุบันเริ่มพบว่ากลุ่มวัยกลางคนก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะมาทำโปรแกรมดึงหน้าเร็วขึ้นเช่นกัน จากประสบการณ์ของผมที่พบคนไข้ สามารถแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามช่วงอายุได้ ดังนี้
คนไข้วัยกลางคน (อายุ 25 - 50 ปี) ซึ่งมักจะมีปัญหาเหล่านี้ คือ
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าให้แลดูอ่อนเยาว์ เพื่อเสริมบุคลิกภาพให้กับตนเอง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแก้มหย่อนหรือห้อย จากการลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไป
- ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดหรือมีเหนียง ต้องการปรับรูปหน้าให้ใบหน้าเรียวเป็น V - Shape
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากกรรมพันธุ์ เช่น มีร่องแก้มลึกจนถึงผิวหย่อนคล้อยบริเวณคอ
- ผู้ที่มีปัญหาระยะห่างระหว่างคิ้วและตาไม่สมส่วน โปรแกรมการดึงหน้าก็สามารถที่จะช่วยทำให้คิ้วและตาห่างออกจากกันอย่างสมดุล ทำให้ดวงตาสดใสมากยิ่งขึ้น
ซึ่งในกลุ่มนี้หากอยากทำโปรแกรมดึงหน้าแบบเฉพาะส่วน เช่น บริเวณขมับ อาจจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงครับ เพราะถือเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ทักษะ ความละเอียด และความช่ำชองของแพทย์อย่างมาก และที่สำคัญคือการดูแลรักษาตัวเองค่อนข้างง่าย
คนไข้สูงอายุ (อายุ 50 ปีขึ้นไป) ซึ่งมักจะมีปัญหาเหล่านี้ คือ
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นตามวัย ต้องการทำโปรแกรมดึงหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาและความหย่อนคล้อยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนยาน ไม่กระชับบริเวณใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
* ดังนั้นโปรแกรมดึงหน้าในปัจจุบัน จึงไม่จำกัดเฉพาะผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่สามารถทำได้ในผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยในช่วงวัย 30 - 40 ปี ด้วยเทคนิคที่มีความทันสมัยและต้องอยู่ในความสามารถดูแลให้คนไข้ปลอดภัยได้ด้วย
6. การผ่าตัดโปรแกรมดึงหน้า สามารถช่วยทําให้แลดูลดอายุได้จริงหรือไม่?
เมื่อพูดถึงโปรแกรมดึงหน้า ตอนนี้ทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าหลังจากการทำโปรแกรมดึงหน้าแล้ว ใบหน้าจะแลดูอ่อนวัยลงกี่ปี แต่จากการประเมินผลลัพธ์โดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางจะดูที่การเปลี่ยนแปลงของร่องริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เช่น ร่องลึกตื้นขึ้น ริ้วรอยลดลง และความหย่อนคล้อยลดลง แม้จะไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าใบหน้าแลดูเด็กลงกี่ปี แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถวัดและสังเกตได้
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ยุคที่โลกมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทางดิอาทคลินิกได้นำเอาเทคโนโลยี AI มาผสานกับการประเมิน วิเคราะห์ใบหน้า ทำให้สามารถบอกอายุผิวของคนไข้จากเพียงรูปถ่ายได้ครับ ดังนั้นเราจึงสามารถเปรียบเทียบใบหน้าและอายุของคนไข้ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดจากโปรแกรม AI เหล่านี้ครับ
ทั้งนี้ อาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อผลลัพธ์ของการผ่าตัดด้วย เช่น ระดับความหย่อนคล้อยเดิม ถ้าเดิมคนไข้มีความหย่อนคล้อยและริ้วรอยมาก การทำโปรแกรมดึงหน้าจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงอายุของคนไข้สำหรับคนไข้ที่อายุน้อย 30 - 40 ปี โปรแกรมดึงหน้าอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดที่คนไข้กังวลได้
7. หากสนใจเกี่ยวกับโปรแกรมดึงหน้า ควรเริ่มต้นอย่างไรดี
หากคุณกำลังพิจารณาการทำโปรแกรมดึงหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ที่มีทักษะหรือความถนัดในด้านการดึงเป็นอันดับแรก ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการมาพบกับแพทย์ เพื่อซักประวัติและประเมินสภาพผิวหน้าอย่างละเอียด แพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหาและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
สําหรับผู้ที่สนใจทําโปรแกรมดึงหน้า การตรวจวิเคราะห์โดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางถือเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและแพทย์ยังสามารถดูแลคนไข้ให้ปลอดภัยได้ ดังนั้นหากคุณกำลังคิดจะทำโปรแกรมดึงหน้า อย่าลืมศึกษาข้อมูลของศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง หรือสามารถเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนเสมอครับ
ทั้งนี้ หากคนไข้ที่อยู่ต่างประเทศ และไม่สะดวกมาปรึกษาก่อน ถ้ามีข้อสงสัยต้องการจะสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อและปรึกษาผมผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผมได้ครับ
8. ข้อควรระวังในการผ่าตัดโปรแกรมดึงหน้า
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ โรคประจำตัวของคนไข้ที่ผมให้ความสำคัญ และมักจะถามคนไข้ก่อนเสมอ เนื่องจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีความสนใจโปรแกรมดึงหน้าจะเป็นกลุ่มคนที่เริ่มมีอายุ ดังนั้นผมจะให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของโรคประจำตัว หรือโรคร่วมที่อาจจะจำเป็นต้องดูแลก่อนอย่างเคร่งครัด เพื่อเราจะสามารถดูแลคนไข้ให้ปลอดภัยระหว่างผ่าตัดและหลังผ่าตัดนั่นเองครับ เช่น หากมีโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะมีการเลื่อนผ่าตัดออกไปก่อนครับ เพราะถ้าเราผ่าตัดไปทั้ง ๆ ที่ความดันโลหิตสูงอยู่ก็อาจจะทำให้เกิดอาการบวมช้ำ ภายหลังผ่าตัดได้ค่อนข้างเยอะครับ และหากลดความดันโลหิตด้วยการใช้ยาขณะสลบก็อาจทำให้เกิดภาวะที่เลือดไม่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ของร่างกายได้เช่นเดียวกันครับ
ส่วนการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด พวกนี้จะมีวิธีตามหลักการแพทย์อยู่แล้ว จะเน้นไปที่การลดบวม ไม่ว่าจะเป็นการนอนหัวสูง ประคบเย็น ใส่ชุดกระชับรัดหน้าร่วมกับการให้ยาลดบวมและยาฆ่าเชื้อเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อครับ
9. ก่อนตัดสินใจทําโปรแกรมดึงหน้าควรพิจารณาจากอะไรบ้าง
การตัดสินใจทำศัลยกรรมดึงหน้าเป็นเรื่องใหญ่ และต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะโปรแกรมดึงหน้าในปัจจุบันมีหลากหลายเทคนิค ต้องอาศัยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ ทักษะ ความถนัด และความรอบรู้ในหัตถการของแพทย์ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือแพทย์ต้องมีความรับผิดชอบต่อคนไข้ที่ตัวเองดูแล หากคนไข้มีปัญหาควรแก้ไขให้ตามความเหมาะสม ส่วนสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญในการพิจารณาก่อนผ่าตัดโปรแกรมดึงหน้า มีดังนี้
1.) ความปลอดภัยในการผ่าตัด : ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกสถานพยาบาลและต้องตรวจสอบว่าสถานพยาบาลมีวิสัญญีแพทย์ในการดมยาสลบ มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน เนื่องจากการทำศัลยกรรมในสถานที่ที่ไม่มีวิสัญญีแพทย์และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน อาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้
2.) คุณภาพ : ควรพิจารณาคุณภาพของการผ่าตัด เทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด และที่สำคัญคือประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ที่มีประสบการณ์และความถนัดในการทำโปรแกรมดึงหน้า นอกจากนี้การฟังประสบการณ์ตรงจากคนใกล้ชิดหรือคนที่เคยทำโปรแกรมดึงหน้ามาก่อน ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น ญาติหรือเพื่อนจะช่วยทำให้คุณยิ่งมั่นใจในผลลัพธ์และคุณภาพ ยังสามารถดูหรืออ่านรีวิวออนไลน์เพิ่มเติมได้เพื่อความน่าเชื่อถือ
3.) ราคา : หลังจากพิจารณาหัวข้อข้างต้นแล้ว ควรพิจารณาราคาเป็นลำดับสุดท้าย เนื่องจากราคาของการทำโปรแกรมดึงหน้าจะแตกต่างกันไปตามเทคนิค และทักษะประสบการณ์ หรือความถนัดของแพทย์ อย่าตัดสินใจเพียงเพราะราคาถูก อาจทำให้ต้องเสียเงิน และเวลาในการแก้ไขปัญหาภายหลัง
*การตัดสินใจทำโปรแกรมดึงหน้าเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนั้นควรพิจารณาความปลอดภัยในการผ่าตัด เพื่อให้ผลลัพธ์ตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด
10. ดูแลสุขภาพผิวง่าย ๆ ทําได้อย่างไร ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดโปรแกรมดึงหน้า
1.) การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- ผิวที่มีความชุ่มชื้นจะมีโอกาสหย่อนคล้อยน้อยกว่าผิวแห้ง การใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีมอยส์เจอไรเซอร์และสารบำรุงผิวต่าง ๆ จะช่วยให้ผิวหน้ามีคอลลาเจนมากขึ้นและคงความชุ่มชื้น
- เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับลักษณะผิวของคุณ เช่น หากมีผิวแห้งควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารให้ความชุ่มชื้นสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นจากภายใน
2.) การป้องกันแสงแดด
- แสง UV ทั้ง UVA และ UVB เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ใบหน้าดูแก่เร็ว (Photoaging) การทาครีมกันแดดเป็นประจำจะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และลดการเกิดริ้วรอย
- เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง และสามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB
- หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลาที่แดดจัด เช่น ช่วงเที่ยงถึงบ่าย
3.) ดูแลสุขภาพจิต
- สุขภาพจิตมีผลต่อสุขภาพผิว หากคุณมีความเครียด ความกังวล หรือความคิดแง่ลบจะมีผลต่อผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลียและไม่สดใส
- การดูแลสุขภาพจิตสามารถทำได้โดยการหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ชอบ หรือการพูดคุยกับคนใกล้ชิด
- พยายามมองโลกในแง่บวกและจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
การดูแลผิวหน้าให้ดีไม่ได้ยากเกินไป แค่เพียงคุณใส่ใจและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะมีผิวหน้าที่สดใสและมีสุขภาพดี
มาถึงตรงนี้ต้องยอมรับเลยว่าการผ่าตัดดึงหน้าเป็นการทำศัลยกรรมที่ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้รวมถึงทักษะของศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง หากใครมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความตึงกระชับ และกำลังสนใจเกี่ยวกับการผ่าตัดดึงหน้ายกกระชับอยู่ล่ะก็ The Art Clinic ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้ สามารถจองคิวเข้ามาปรึกษาคุณหมอเจกันได้เลยนะคะ
ช่องทางการติดต่อ
- Facebook : https://www.facebook.com/drjaytheart
- Instagram: https://www.instagram.com/dr.jay_the_art
- Tiktok : https://www.tiktok.com/@dr.jaytheartclinic
- Youtube : https://www.youtube.com/@DrJayTheArt
- LINE OA : https://lin.ee/JMIUv4R or @drjaytheart
- Lemon8 : https://s.lemon8-app.com/s/cefxcxsrQR