4.0
1 เรตติ้ง (1 รีวิว)
ของหวาน฿฿฿฿
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 10:00
เมนูของร้าน Pierre Marcolini
The Belgian Chocolate Trail : Pierre Marcoliniด้วยชื่อเสียงของ Belgian Chocolate ที่โด่งดังไปทั่วโลกมาตั้งแต่ครั้งที่ Jean Neuhaus คิดค้น praline หรือช็อคโกแลตสอดไส้รสชาติต่างๆขึ้นมาได้เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว ทำให้เบลเยี่ยมเป็นประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนร้านช็อคโกแลตต่อจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อวันเวลาผ่านไปวงการช็อคโกแลตของเบลเยี่ยมนั้นได้ถูกมองเป็นวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ไม่ต่างไปจากไวน์หรือวงการแฟชั่นเลยล่ะค่ะ ร้านช็อคโกแลตในเบลเยี่ยมจึงมีให้เลือกตั้งแต่ร้านเล็กๆที่เป็นที่รู้จักเฉพาะในท้องถิ่น - ร้านที่เป็นแบรนด์ใหญ่เน้นการผลิตแบบเป็น mass เช่น Godiva, Leonidas และ Neuhaus - ร้านที่เน้นการทำช็อคโกแลตแบบช่างฝีมือตามแบบฉบับดั้งเดิม (artisanal chocolate) เอาใจคนที่ชอบรสชาติแบบคลาสสิค – และร้านช็อคโกแลตแบบ avant garde ที่เน้นการนำเสนอรสชาติและไอเดียแปลกใหม่จากฝีมือ chocolatiers ชื่อดัง เป็นที่ชื่นชอบของเหล่า chocolate aficionados ทั้งหลาย ซึ่งร้าน Pierre Marcolini นี้จัดเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเทรนด์ของร้านช็อคโกแลตแบบหลังสุดนี้ค่ะ ***-Profile-*** Pierre Marcolini นั้นจัดเป็น chocolatier ระดับ celebrity ...เสมือนว่าเป็น Gordon Ramsay แห่งวงการช็อคโกแลตเลยทีเดียว เส้นทางสู่ความสำเร็จในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ช็อคโกแลตสุดหรูที่มีสาขาในหลายประเทศทั่วโลกของเขาเริ่มจากการเป็น pâtissier ที่เชี่ยวชาญการทำขนมหวานจากช็อคโกแลตจนกวาดรางวัลจากการประกวดแข่งขันต่างๆมาแล้วมากมายอาทิเช่น Champion d'Europe de Pâtisserie (ปี 2000), Coupe du Monde de Pâtisserie (ปี 1995), Premier pâtissier glacier de Belgique (ปี 1991) ...ฯลฯ ...และได้เปิดร้าน Maison Pierre Marcolini สาขาแรกขึ้นที่ Brusselsในปี 1995 จากนั้นได้มีการขยายสาขาไปทั่วเบลเยี่ยม รวมไปถึงที่ London, Paris และที่ญี่ปุ่นด้วย ***-Concept-*** Pierre Marcolini สร้างสรรค์ช็อคโกแลตของเขาจากคอนเซ็ปต์ Bean-to-bar คือดูแลการผลิตตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดโกโก้ที่จะใช้กับช็อคโกแลตแต่ละตัว ไปจนถึงการคั่ว บด จนมากลายเป็นช็อคโกแลตที่ขายอยู่หน้าร้าน สำหรับ Marcolini แล้ว แค่การใช้ช็อคโกแลตคุณภาพดีในเปอร์เซ็นสูงๆ - ใช้ cocoa butter 100% ไม่เจือปนไขมันอื่นๆนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของเมล็ดโกโก้ด้วย เพราะเมล็ดโกโก้ที่ปลูกจากแต่ละที่นั้นให้รสชาติที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นหลักการที่คล้ายคลึงกับการชิมไวน์นั่นเอง dark chocolate ของที่นี่จึงได้ชื่อว่า Grand Cru Chocolate และมีให้เลือกชิมทั้งแบบที่เป็น single origin เพื่อให้เทียบรสชาติได้ชัดเจน และแบบที่เป็นการผสมผสานเมล็ดโกโก้จากแหล่งต่างๆตามสูตรที่ Pierre Marcolini คิดค้นขึ้น รวมไปถึงมีการครีเอทช็อคโกแลตรสชาติใหม่ๆขึ้นมากมายสมกับที่เป็นเชฟระดับมือรางวัล ด้วยความที่ช็อคโกแลตที่นี่แต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นด้วยความพิถีพิถันทุกขั้นตอน ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ มีการออกแบบรสชาติของแต่ละชิ้นแบบ individual แตกต่างกันไปทั้งเมล็ดโกโก้พันธุ์ที่ใช้และรสชาติที่ปรุงแต่ง เฉกเช่นเดียวกับห้องเสื้อแฟชั่นชั้นสูงหรือ Haute Couture ก็ไม่ปาน Pierre Marcolini จึงให้นิยามตนเองว่าเป็น taste designer ผู้ยกระดับการทำช็อคโกแลตให้เสมือนเป็นศิลปะแห่ง Haute Chocolaterie สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้หรูหราขั้นสุดเลยทีเดียวค่ะ ***-บรรยากาศ-*** เพื่อให้สมกับภาพลักษณ์ความเป็น Haute Chocolaterie ร้านของ Pierre Marcolini จึงได้รับการตกแต่งแบบเรียบ หรู ดู elegant แบบร่วมสมัยในสไตล์ minimalist ที่เน้นสีดำ-ขาวเป็นหลัก แม้แต่การจัดวางช็อคโกแลตในตู้กระจกก็ไม่มีการวางพูนซ้อนๆกัน หรือใส่กล่องรวมๆกันมาวางซ้อนไว้หรอกนะคะ แต่จะจัดเรียงช็อคโกแลตเพียงชั้นเดียวแยกให้เห็นเป็นชิ้นเดี่ยวๆ ราวกับจะให้ลูกค้าได้พิจารณาเลือกช็อคโกแลตแต่ละชิ้นเฉกเช่นเดียวกับการเลือกซื้อเพชรนั่นเลย สาขาที่เราไปนั้นอยู่ที่เมือง Bruge ซึ่งก็เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ แต่ร้านสาขาที่นี่กลับเล็กนิดเดียวและไม่มีที่นั่ง ถ้าเป็นที่สาขาแรกที่ Brussels นั้นจะมีลักษณะเป็น tea room มีที่ให้นั่งทานกันสวยๆ แถมนอกจากช็อคโกแลตแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มและขนมหวานทั้ง macarons และ eclairs ให้สั่งด้วยนะคะ (แอบเสียดายเบาๆที่ตัดสินใจผิดไป ก็นึกว่าจะเหมือนกันทุกสาขานี่นา) ***-ซื้อมาลอง-*** [Chocolates] ● Pierre Marcolini Grand Cru – เห็น Chocolate master ชื่อดังถึงกับเอาชื่อตัว (และชื่อร้าน) เป็นประกันแบบนี้ มาทั้งทีไม่ลองเห็นจะไม่ได้ ชิ้นนี้เป็น pure ganache ที่มีส่วนผสมเป็นช็อคโกแลตเกรดท็อปจาก Ecuador, Ghana และ Peru นำมาแต่งกลิ่นด้วยวานิลลาที่ได้มาสดๆจากฝัก ได้รสช็อคโกแลตเข้มข้นผสมกับกลิ่นวานิลลาบางๆ เนื้อ ganache นุ่มเนียนละลายในปาก อร่อยเด็ดจริงจังสมกับที่เป็นตัวเด่นค่ะ ● Venezuela Grand Cru Fondant – เป็น pure ganache ที่ทำจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกในภูมิภาค Sur del Lago ของ Venezuela ล้วนๆ ไม่ได้แต่งรสอื่นใด เลยได้รสช็อคโกแลตแบบดาร์คๆเข้มๆที่น่าจะถูกใจคนชอบ dark chocolate...ชิมเทียบกับตัวแรกแล้วก็รู้สึกว่าเออ... โกโก้จากแต่ละแหล่งนั้นให้กลิ่นรสต่างกันจริงอย่างที่เขาว่าเสียด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ชอบตัวแรกมากกว่าตัวนี้นิดนึงนั้นสำหรับเราแล้วไม่เกี่ยวกับความเหมือนหรือต่างกันของรสช็อคโกแลตจากคนละแหล่งหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะชอบการผสมผสานกลิ่นวานิลลาเข้ากับ chocolate ganache แบบของตัวแรกมากกว่าเท่านั้นเอง ● Fleur D’Oranger – ช็อคโกแลตรสส้มก็กินมาเยอะแล้ว แต่ช็อคโกแลตไส้ครีม ganache ผสมรสดอกส้ม (orange Blossom) นี่เพิ่งจะเคยลองคราวนี้นี่เองค่ะ ชิมแล้วกลิ่นเป็นกลิ่นแบบดอกไม้จริงๆซะด้วย ปนกับกลิ่นรสของ dark chocolate แล้วก็รู้สึกแปลกๆยังไงๆอยู่ สรุปว่าไม่แย่ แต่ก็ไม่ถึงกับฟินค่ะ ● Coeur Framboise – เจ้าช็อคโกแลตรูปหัวใจสีแดงชิ้นนี้อร่อยเว่อร์วังค่ะ ไส้เป็น ganache รส raspberry ผสมกลิ่น lemon ได้รสชาติแบบสดชื่นลงตัวสุดๆ ปลื้มเลย ● Praline Citron – dark chocolate ไส้ almond praline ที่มีการผสมกลิ่นรสของ lemon juice และผิวเลมอนขูดละเอียดลงไปจางๆ ชิมแล้วก็ชอบใจในความคิดสร้างสรรค์ แต่พูดถึงความอร่อยก็อยู่ระดับกลางๆประมาณ 3/5 ได้ค่ะ ● Caramel Fondant – ขอลองรสชาติคลาสสิคอย่างช็อคโกแลตไส้ครีมคาราเมลผสม sea salt (fleur de sel) นี้ดูบ้าง ชิ้นนี้ได้รสช็อคโกแลตเข้มข้นเนียนนุ่ม หอมกลิ่นคาราเมลชัดเจน และไม่หวานมาก เป็นอะไรที่เรียบง่ายแต่ฟินระเบิดระเบ้อเลยล่ะค่ะ [Macarons] มีพื้นฐานมาจากการเป็น pastry chef ทั้งที นอกจากช็อคโกแลตแล้วงานขนมหวานก็ต้องมา macarons ที่นี่จัดใส่กล่องไว้เสร็จให้หยิบซื้อได้เลย เราเลือกเป็นแบบกล่องเล็ก มีรสตามนี้ค่ะ ● Framboise – รส raspberry ผสม milk chocolate จาก Ecuador และ Ghana รสชาติหวานค่อนข้างมากไปนิดนะ แต่ texture ของ macaron ทำได้ดี ผิวชั้นนอกบางๆมีความกรอบนิดๆ ส่วนเนื้อในก็นุ่มนวลดีค่ะ ● Pistache – ชิ้นนี้ผสม pistachio ที่นำเข้าจากอิหร่าน ได้กลิ่นคั่วหอมฟุ้งผสมกับความมันและกลิ่นรสของ pistachio อร่อยขั้นสุดบอกเลย ● Passion – เห็นบอกว่าผสม passion fruit จาก Brazil แต่ชิมดูแล้วไม่ค่อยได้กลิ่น passion fruit เลยล่ะ ● Praline – ชิ้นนี้ตรงกลางเป็นครีมเนียนนุ่มที่ได้กลิ่นหอมของ hazelnut คั่วชัดเจน หอมฟินสุดๆค่ะ ***-The Verdict-*** มีคนเคยเตือนว่าความที่ช็อคโกแลตของที่นี่นั้นเน้นความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงสมกับราคา บางคนที่ไม่ชินกับรสของช็อคโกแลตที่เข้มข้นมากๆก็อาจจะว่าขมและไม่ปลื้มได้ แต่สำหรับเราซึ่งชอบหมดทั้ง milk ทั้ง dark chocolate แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ทำให้ปลื้มไม่สุดจึงกลายเป็นเพราะไม่ได้ชิมของที่อยากชิม (truffles ขายหมดเกลี้ยงยังไม่เอามาส่ง ส่วน éclair ที่เค้าว่าอร่อยนักหนานั้นก็ไม่เห็น คาดว่าคงหมดอีกเช่นกัน) ไม่มีที่ให้นั่ง ไม่มีเครื่องดื่มให้สั่ง ทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้สัมผัสกับตัวตนของแบรนด์นี้อย่างที่ตั้งความหวังไว้ ดังนั้นแม้ช็อคโกแลตและ macarons เท่าที่ได้ชิมจะคุณภาพเลิศจริงอร่อยจริง แต่ก็เลยไม่รู้สึก “เต็มที่” น่ะค่ะ ขอให้ไว้ที่ 4/5 ก่อนน้า (คือที่จริงถ้าได้ไปสาขาที่ full option แบบที่ Brussels นี่อาจจะไปได้ถึง 5 ดาวเลยก็ได้) Coming up next : Wittamer - Traditional chocolates with a twist... อ่านต่อ
76 Likes0 Comment
photo