- หน้าแรก
/
- รูป ซาว ลาบ ทองหล่อ


ZaoLarb ซาวลาบ ภาคต่อวัฒนธรรมอีสานที่ว่าด้วยอาหารเฟสทีฟอีสานความน่าสนใจของ ZaoLarb ซาวลาบ อยู่ที่การเปิดต่อจาก Zao ซาว ร้านแรกในกรุงเทพฯ ได้ไม่ถึง 3 เดือน อย่างที่ทราบว่าร้านแห่งนี้มีต้นกำเนิดในจังหวัดอุบลราชธานี แต่ทำไมคุณอีฟ - ณัฐธิดา พละศักดิ์ เจ้าของร้านจึงต้องพา Zao เข้าเมืองกรุง
.
ครั้งก่อนเราอยากชวนเธอคุย แต่ด้วยร้านแรก Zao ฮอตฮิตมาก ทำให้เธอดูยุ่งเกินกว่าเราจะรบกวน แต่ก็อย่างที่ทุกคนเห็น Zao ประสบความสำเร็จมาก คุณอีฟเล่าให้เราฟังคร่าว ๆ ว่าเธอเริ่มจากการทำงานคราฟต์กับลูกศิษย์ที่ม.อุบลฯ แล้วก็ได้กินอาหารของแม่ ๆ ในท้องถิ่นของอีสาน และมองว่าอาหารคือ “วัฒนธรรม” อย่างหนึ่ง เลยอยากเริ่มทำอะไรเกี่ยวกับอาหาร ซึ่ง Zao เกิดก่อนโควิดสักพักใหญ่ ในช่วงนั้นจึงยังเดินทางเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจกับทีมและได้ข้อสรุปเป็นอาหารอีสานที่กินตามบ้าน ทำให้ได้สูตรอาหารแบบรสมือยายจุย และสูตรอาหารของบ้านทีมงานแต่ละคนมาอยู่ในร้าน
.
แต่ที่ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ เพราะต้องการทำให้ของดีใกล้ตัวมีคุณค่ามากขึ้นอีก ฐานลูกค้าก็เดลิเวอรีเข้ากรุงเทพฯ เยอะมาก ประกอบกับคุณโอ - ศรัณย์ เย็นปัญญา แนะนำว่าถ้าอยากให้มีอิมแพ็คกับเรื่องวัฒนธรรมอีสานต้องไปที่กรุงเทพฯ เลยตัดสินใจมาเปิด
.
ความน่าสนใจของ ZaoLarb และ Zao อยู่ที่บ้านเก่าแบบสุขุมวิทที่ดูคล้ายกันมาก แต่มันก็เกิดจากการที่ขอเช่าตึกแถวกะทำร้านอีสานเล็ก ๆ แต่ถูกปฎิเสธว่าถ้าทำร้านอาหารอีสานไม่ให้เช่านะ เลยยิ่งเป็นตัวผลักดันให้คุณอีฟเล่นใหญ่แบบ “วิ” ไม่ต้องมาบอก อยากยกระดับอาหารอีสานจริงจัง
.
สำหรับ ZaoLarb มีคุณนีฟ - ฮะนีฟ พิทยาสาร หุ้นส่วน มาดูแล ทำให้ที่นี่ต่างจากซาว ด้วยความที่ลาบเป็นอาหารงานบุญ เฟสทีฟถึงจะได้กิน และผู้ชายก็รับหน้าที่ล้มวัว ทำลาบ ทำอาหารฉลองเทศกาล เลยลองทำร้านใหม่ที่ต่างจากเดิมในแง่ของวัฒนธรรมอาหารด้วย เป็นอาหารที่เราจะไม่ได้เจอทุกวันแบบส้มตำ
.
เมื่อสวมทับด้วยความเป็น “ปาร์ตี้อีสาน” ทำให้ที่นี่เลือกอาหารที่ไม่ได้เจอบ่อยอย่าง อ่อมตัวเดียวอันเดียว ซอยจุ๊ และแจ่วฮ้อนที่ต้องล้อมวงกันกิน แน่นอนว่าทีม ZaoLarb ก็ออกเดินทางเก็บข้อมูลของอีสานและได้ออกมาอย่างที่เห็น หนึ่งในนั้นคือ เนื้อวัวทาจิมะลำดวนจากฟาร์มกำนันเตียงในจังหวัดศรีสะเกษ ที่เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแนะนำมา
.
เร่ิมจาก “แจ่วฮ้อน” มี 2 แบบ คือ ปลา และเนื้อวัว จุดเด่นอยู่ที่ซุปที่ใช้เวลาอบกระดูกและเคี่ยวนานกว่า 1 วัน แจ่วฮ้อนเนื้อใช้กระดูกเนื้อ แจ่วฮ้อนปลาใช้ก้างปลา เรียกว่าข้น ๆ เช็ง ๆ ด้วยความที่ไม่อยากใส่ผงชูรสทำให้ใช้เวลานานเพื่อให้รสชาติแน่น มีกลิ่นของสมุนไพรอยู่เต็ม ๆ ส่วนเนื้อวัวทาจิมะลำดวนก็จะมีราคาสูงหน่อยเพราะว่าผลิตได้ไม่มาก แต่บอกเลยว่าดีไม่แพ้เนื้อนอก เคล็ดลับอยู่ที่การได้เนื้อวัวที่ดีและวิธีการดูแลของคุณนีฟที่มีสกิลของเชฟผสมกับความบ้าน ๆ ของทีมงาน ส่วนปลาใช้ปลาแม่น้ำจากอุบลฯ
.
นอกจากแจ่วฮ้อน เราว่า “ลาบเป็ด 3 ดาว” คือที่สุดต้องสั่ง คุณอีฟเล่าว่าถ้าคนอีสานจะกิน 5 ดาว คือแบบดิบมีเลือด แต่ที่นี่ไม่ได้เชือดเป็ดเองเลยทำแค่ 3 ดาว ไม่เกี่ยวกับไก่เจ้าดังแต่อย่างใด แถมมีใบขนุนอ่อนที่ได้จากต้นขนุนหน้าบ้าน ซึ่งใบขนุนนี่แหละที่คนอีสานกินกับลาบเป็ด รวมถึงกระเทียมดองน้ำผึ้งเดือน 5 ที่บอกเลยออกรส “ซอยจุ๊” เนื้อ ตับ และผ้าขี้ริ้ว จิ้มแจ่วขม ที่นี่ยังไม่แอดวานซ์ไปถึง “อุเพี้ย” ยังมี “ส้มเสือห้านาที” คือเนื้อส้ม แบบปลาส้ม แต่ใช้เนื้อาทาจิมะลำดวนส่วนเสือร้องไห้ให้มีมันหน่อย กินกับเนเชอรัลไวน์ให้สมเป็นอาหารเฟสทีฟอีสาน แถมยังมีข้าวเปียกขายช่วงมื้อกลางวันด้วย
.
แน่นอนว่าคุณอีฟไม่ลืมเรื่องแกนของ “Zao” ที่การหยิบจับอะไรที่ดีมาใช้ ทำให้ตอนนี้เธอและคุณนีฟออกหาเนื้อวัวที่ดีจากฟาร์มเล็ก ๆ ในอีสานเพิ่มเติม เพราะ “Zao” ไม่ใช่แค่อาหาร แต่มันคือวัฒนธรรมอีสาน ไม่แน่เราอาจจะเห็นซาวอื่น ๆ คลอดตามมาก็ได้
0 Like0 Comment
