4.2
15 เรตติ้ง (15 รีวิว)
เชิงประวัติศาสตร์ไม่มีค่าเข้าชม
วัดขนอนหนังใหญ่
ชมวัดโบราณและพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน (อ่านว่า ขะ – หฺนอน นะครับ เป็นการอ่านออกเสียงแบบอักษรนำ) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สามารถเดินทางจากตัวเมืองราชบุรีระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3090 เข้าอำเภอโพธาราม พอข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลองแล้วก็ให้เลี้ยวขวาไปตามถนนหลวงหมายเลข 3089 ไปประมาณ 3 กิโลเมตร จะเจอ วัดขนอน อยู่ทางด้านขวา วัดขนอน ราชบุรี มีเนื้อที่ 55 ไร่ กับ 40 ตารางวา ลักษณะพื้นที่ตั้งวัดและบริเวณโดยรอบพื้นที่วัดเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นวัด ส่วนที่เป็นโรงเรียน และส่วนที่เป็นลานปฏิบัติธรรมและป่าไม้ คาดว่าตั้งขึ้นวัดและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ก่อน พ.ศ. 2300 วัดขนอน ราชบุรี เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นวัดที่เป็นจุดเริ่มการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมการแสดงหนังใหญ่ ได้รับรางวัลการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก (UINESCO - United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ACCU) เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 และในวันที่ 8 มิถุนายน 2550 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกประกาศให้ "การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน" ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกที่มีผลงานในการอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเชิงนามธรรม (The safeguarding of Intagible Cultural Heritage : ICH) วัดขนอน ราชบุรี ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างมาตั้งแต่เมื่อใด แต่จากคำบอกเล่ากล่าวว่าบริเวณริมแม่น้ำซึ่งเป็นหน้าวัดเป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีอากร (ด่านขนอน) มีพื้นที่ค้าขายและตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า ภายในบริเวณวัดมีนกนานาชนิด โดยเฉพาะ นก กา ลิงและชะนี ตลอดจนสัตว์ป่าต่าง ๆ บริเวณโดยรอบวัดเป็นป่าไม้เต็ง ไม้แดง ไม้ยางขึ้นรกครึ้มพอค่ำลงบรรดาสัตว์ต่างๆ ก็จะพากันมาเกาะกิ่งไม้เต็มไปหมด ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า “วัดกานอนโปราวาส” ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ประพาสต้น ณ มณฑลราชบุรี ทรงบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ร.ศ. 128 แสดงให้เห็นถึงสภาพของวัดวาอารามต่าง ๆ ในมณฑลราชบุรี ยกเว้นในเมืองราชบุรีซึ่งไม่ถูกผลกระทบของสงคราม สีสภาพรกร้างหรือเกือบร้าง หรือพังทลายเสียหาย ถูกทิ้งรกรุงรังเป็นส่วนใหญ่ ชาวบ้านก็ปลูกบ้านห่างวัดมาก และคงไม่ค่อยมีใครสนใจหรืออยากเข้าไปใกล้วัดร้างด้วยเหตุผลของความกลัว นานไปผู้คนก็คงจะลืมเลือนแม้กระทั่งชื่อวัด โดยเฉพาะ วัดขนอน ที่รกร้างมากว่า 100 ปี สันนิษฐานว่าชาวบ้านคงเรียกตามสภาพที่เห็นว่า “วัดกานอนโปราวาส” หรือ “กานอน” เข้าใจง่ายว่าเป็นที่กานอน ส่วนคำว่า โปราวาส หมายถึง สถานที่โบราณ เอามาเติมเป็นสร้อยข้างท้าย ชื่อ “วัดกานอนโปราวาส” และคงไม่ใช่ชื่อจริงของวัดอย่างแน่นอน ท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) เจ้าอาวาสวัดขนอนในขณะนั้นได้กล่าวว่า "อายหลวงท่านว่า ชื่อวัดวาอารามยังเอาชื่อสัตว์มาตั้ง เห็นควรให้เปลี่ยนชื่อจะดีกว่า" ดังนั้นด้วยเหตุนี้ "วัดกานอน" จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดขนอนโปราวาส" ตามสถานที่ด่านขนอนเก็บอากรซึ่งอยู่ติดกับวัดนั่นเอง ประกอบกับชื่อ "ขนอน" ออกเสียใกล้เคียงกับคำเรียกเดิมจึงไม่มีผู้ใดคัดค้าน พระอุโบสถ แต่เดิมพระอุโบสถมีรูปแบบลักษณะใดไม่มีหลักฐานปรากฏ ต่อมาหลวงปู่กล่อมหรือพระครูศรัทธาสุนทร (จนฺทโชโต) ได้นำผู้มีศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์ช่อม - สร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2450 ให้มีลักษณะคล้ายกับพระวิหารหลวงของวัดสุทัศน์เทพวราราม โดยมีช่างชาวจีนเป็นแม่งาน ในการก่อสร้างหลวงปู่กล่อมเป็นผู้ออกแบบคิดประดิษฐ์ผูกลายประตู หน้าต่าง หน้าบัน ฯลฯ ตอนที่ถ่ายรูปมาก็แอบบสงสัยนิดนึงว่าทำไมที่ซุ้มประตูระเบียงคดมีจิตรกรรมคล้ายๆศาลเจ้าจีน ทั้งๆที่เป็นวัดไทย แต่พอมาอ่านประวัติการสร้างถึงได้ร้องอ๋อๆๆ ....... ยาวๆๆๆๆๆ เพราะมีช่างจีนเป็นแม่งานนั่นเอง ลักษณะของพระอุโบสถเป็นอาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูน กว้าง 29 เมตร ยาว 58 เมตร หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น 3 ชั้น ซ้อนกันชั้นละ 3 ตับ มีมุขลดทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 1 ห้อง โดยมีเสาสี่เหลี่ยม 4 ต้น รองรับโครงหลังคา ด้านข้างมีชายคาปีกนกคลุมมีเสาสี่เหลี่ยมรองรับด้าน ๆ ละ 9 ต้น มีช่อฟ้าใบระกาปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษาตรงกลางเป็นรูปวงกลม ฐานพระอุโบสถยกพื้น 2 ชั้น ชั้นแรกอยู่ในแนวเดียวกับเสารองรับชายคา ปีกนก ตั้งซุ้มใบเสมาปูนปั้นย่อมุมไม้สิบสอง ผนังด้านหน้าและด้านหลังก่ออิฐถือปูนเรียบ มีประตูทางเข้าด้านละ 2 ประตู ซุ้มประตูปูนปั้นทรงเจดีย์ บานประตูไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายดอกไม้กลมส่วนล่างเป็นภาพทวารบาลยืนถืออาวุธ ซุ้มประตูด้านหลังบริเวณมุมซุ้มด้านขวาตอนบน มีจารึกภาษาไทยคำว่า “เจกหัว” ซึ่งอาจจะหมายถึงชื่อของนายช่างชาวจีน ผนังด้านข้างก่ออิฐถือปูนมีช่องหน้าต่างด้านละ 7 ช่อง บานหน้าต่างไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก ลวดลายตอนบนเป็นลายตาข่ายดอกไม้ ตอนล่างเป็นลายรูปสัตว์ ลวดลายของบานหน้าต่างแต่ละบานจะไม่ซ้ำกัน ด้านหน้าพระอุโบสถมีบันไดเตี้ย ๆ ขึ้นทางด้านข้าง เสาบันไดมีภาพจิตรกรรมจีนและอักษรจีน ด้านหนึ่งมีอักษรภาษาไทยว่า “โบษเจ๊กทำงาม” ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปศิลาแลงประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย – ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ด้านข้างซ้าย – ขวา มีพระอัครสาวกยืนพนมมือ ฐานชุกชีด้านหลังพระประธานประดิษฐาน มีพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งแสดงปางมารวิชัยและปางสมาธิศิลปะรัตนโกสินทร์อีก 10 องค์ และ พระอัครสาวกยืนพนมมือ ภายนอกพระอุโบสถมีระเบียงคตก่ออิฐถือปูนล้อมรอบ มีซุ้มประตูทางเข้าอยู่ทั้งสี่ทิศ ภายในระเบียงมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย จำนวน 120 องค์ เจดีย์ราย ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถเรียงกันเป็นแถวประกอบด้วยเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองจำนวน 5 องค์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนย่อมุมไม้ สิบสอง ฐานเจดีย์เป็นฐานสิงห์ซ้อนกันสองชั้น องค์ระฆังขนาดเล็กมีบัวรองรับปากระฆัง ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยมรองรับชุดบัวคลุ่มเถาและปลียอด และพระปรางค์ 1 องค์ ศาลาการเปรียญ หลังใหญ่มากครับ กว้าง 20 เมตร ยาว 25.50 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2454 เป็นอาคารไม้ทรงไทย พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ราชบุรี พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ราชบุรี ตั้งอยู่ภายใน วัดขนอน ราชบุรี ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สามารถเดินทางจากตัวเมืองราชบุรีระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3090 เข้าอำเภอโพธาราม พอข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลองแล้วก็ให้เลี้ยวขวาไปตามถนนหลวงหมายเลข 3089 ไปประมาณ 3 กิโลเมตร จะเจอ วัดขนอน อยู่ทางด้านขวา พอจอดรถที่ลานวัดแล้วก็เดินมาหลังศาลากรเปรียญที่เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ๆเลยครับ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน เป็นอาคารทรงไทยทำด้วยไม้ ได้ผาติกรรมหอสวดมนต์เก่า ซึ่งเป็นเรือนไม้ทรงไทยมาสร้าง ตัวเรือนพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ผศ.สมใจ นิ่มเล็ก กว้าง 15.50 เมตร ยาว 19 เมตร และตกแต่งภายในโดย รศ.พงศ์ศักดิ์ อารยางค์กูร จัดแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาของหนังใหญ่ กรรมวิธีการแกะสลักตัว และจัดแสดงตัวหนังใหญ่อายุกว่า 100 ปี ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ หนังใหญ่ คือออะไร ..... ต้องลองนึกภาพ หนังตะลุง ครับ แต่หนังใหญ่จะมีขนาดใหญ่กว่ามากๆ เวลาแสดงต้องใช้คน 2 – 3 คนในการถือแสดง จะทำเป็นภาพของตัวละครสำคัญในฉากนั้นๆพร้อมด้วยองค์ประกอบให้ทราบว่าเป็นตัวละครตัวไหน หนังใหญ่ไม่นิยมลงสี ส่วนใหญ่จะมีสีธรรมชาติของหนังและสีดำ และข้อแตกต่างที่สำคัญจากหนังตะลุงคือ หนังใหญ่ขยับปาก ขยับแขนไม่ได้ครับ เวลาจะแสดงก็จะแตกต่างจากหนังตลุงมากๆ เพราะหนังใหญ่มีขนาดที่ใหญ่กว่า จึงต้องใช้จอที่ใหญ่กว่า ผู้เชิดก็ต้องใช้มากกว่า ผู้เชิดจะต้องมีพื้นฐานในการแสดงโขนทั้งตัวยักษ์ ตัวลิง และที่สำคัญหนังใหญ่จะสามารถออกมาแสดงหน้าฉากได้ ไม่เหมือนกันกับหนังตะลุงที่จะต้องแสดงอยู่หลังฉากเท่านั้น จากปากคำบอกเล่าว่ากันว่า หนังใหญ่ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่มามีหลักฐานการแสดงหนังใหญ่ในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีหลักฐานการสร้างตัวหนังใหญ่และบทวรรณคดีที่ใช้ในเรื่องรามเกียรติ์สำหรับใช้แสดงหนังใหญ่ชุดพระนครไหว ซึ่งต่อมาได้มีการนำมาเก็บไว้ ณ โรงละครแห่งชาติหลังเก่าแต่ถูกไฟไหม้เกือบหมด ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) พบการทำหนังใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี และหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี หนังใหญ่ ถือว่าเป็นมหรสพชั้นสูง เพราะเป็นการแสดงที่รวมศิลปะที่ทรงคุณค่าหลายแขนงคล้ายกับการแสดงโขน ได้แก่ ด้านศิลปะการแกะสลักตัวหนังใหญ่ และเมื่อทำการแสดงก็จะมีการนำศิลปะทางนาฏศิลป์ – โขน เข้ามาร่วม โดยผู้แสดงหนังใหญ่จะต้องมีความรู้ทางด้านโขนด้วยครับ หนังใหญ่วัดขนอน สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที 5 โดยท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) เป็นผู้ริเริ่มที่จะสร้างหนังใหญ่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จึงได้ชักชวนครูอั๋ง ช่างจาด ช่างจ๊ะ และช่างพ่วง มาร่วมกันสร้าง ชุดแรกที่สร้างคือ ชุดหนุมานถวายแหวน ต่อมาได้สร้างเพิ่มอีกรวม 9 ชุด ปัจจุบันมีตัวหนัง 313 ตัว ใน พ.ศ. 2532 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงเห็นคุณค่าในการแสดงและศิลปะในตัวหนังใหญ่ ทรงมีพระราชดำริให้ทางวัดช่วยอนุรักษ์ตัวหนังใหญ่ทั้งหมด และจัดทำหนังใหญ่ชุดใหม่ขึ้นแสดงแทน โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรรับผิดชอบงานช่างจัดทำหนังใหญ่ทั้งหมด และได้นำหนังใหญ่ชุดใหม่ทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ ณ โรงละครแห่งชาติ สำหรับการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอนนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชดำริให้มหาวิทยาลัยศิลปากรดำเนินการ โดยได้ปรับปรุงบูรณะหมู่เรือนไทยที่เป็นกุฏิสงฆ์และศาลาการเปรียญ ดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาตัวหนังใหญ่ชุดเก่าอย่างถูกวิธี สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าวิทยาการแขนงนี้แก่ผู้สนใจทั่วไป และใน พ.ศ. 2540 2542 ได้ดำเนินการตกแต่งภายในเพื่อเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 หนังใหญ่ วัดขนอน ได้รับรางวัลการขึ้นทะเบียนโดย องค์การยูเนสโก (UINESCO - United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ACCU) เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 และในวันที่ 8 มิถุนายน 2550 องค์การยูเนสโก (UINESCO - United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกประกาศให้ "การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน" ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกที่มีผลงานในการอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเชิงนามธรรม (The safeguarding of Intagible Cultural Heritage : ICH) วัดขนอนได้เปิดให้ประชาชนและผู้สนใจได้เข้าศึกษา เยี่ยมชมนิทรรศการหนังใหญ่ พร้อมทั้งการสาธิตการแสดงหนังใหญ่ ตลอดจนการฝึกเยาวชนให้เรียนรู้และสืบทอดศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ เพื่อสนองโครงการตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สืบต่อไป เปิดเข้าชม : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.30 น. (เปิดการแสดงหนังใหญ่ ณ โรงละครหนังใหญ่ ทุกวันเสาร์ เริ่ม 10.00 น.) ไม่เสียค่าใช้จ่าย... อ่านต่อ
0 Like0 Comment
photo