4.3
8 เรตติ้ง (6 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 17:00
Mikaku ชั้น 2 Maison Eric Kayser
เนื้อสไลด์บางพิเศษสำหรับ “กริลล์ชาบูคอร์ส” และ “สุกี้ยากี้คอร์ส”
Mikaku Teppan ที่สุดของเนื้อวากิวเทปันยากิชื่อดังจากเกียวโตMikaku Teppan ร้านเทปันยากิระดับพรีเมียมชื่อดังเก่าแก่จากเกียวโต ขยายสาขาสู่ต่างประเทศโดยเลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรก ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ตึก Maison Eric Kayser ซึ่งอยู่ระหว่างซอยทองหล่อ 3 และ 5 พอเข้ามาที่ตัวร้าน เราจะเห็นว่าตัวร้านตกแต่งเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยไม้สีอ่อน ให้ความรู้สึกอบอุ่น ร้านขนาดไม่ใหญ่นัก มีที่นั่งประมาณ 20 ที่นั่งเท่านั้น เพราะ Mikaku ต้องการให้บรรยากาศร้านเป็นเหมือนครอบครัวนั่นเอง ส่วนที่นั่งก็จะติดกับกระทะเทปันยากิ โดยเชฟจะมาทำให้ดูและเสิร์ฟให้ทานกันสดๆ ร้อนๆ นอกจากที่นั่งในส่วนปกติแล้วก็จะมีห้องไพรเวท 2 ห้อง ซึ่งเปิดทะลุกันได้ มีที่นั่งรวมกันประมาณ 10 ที่นั่ง สามารถโทรมาจองได้เลย โดยที่ห้องนี้ก็ไม่มีคิดค่าบริการเพิ่ม หัวใจหลักของร้าน Mikaku Teppan ก็คือ “เนื้อวากิว” เนื้อวากิวของ Mikaku นำเข้ามาจากญี่ปุ่นโดยตรงทั้งหมด เก็บรักษาอย่างดีในอุณหภูมิที่เหมาะสม และเป็นเนื้อวากิวในเกรด A5 ซึ่งเป็นเกรดที่ดีที่สุดของเนื้อวากิว รับรองถึงคุณภาพ ความนุ่มลิ้น เห็นได้จากชั้นไขมันแทรกเป็นลายสวยในตัวเนื้อ นอกจากจะเลือกใช้เนื้อวากิวชั้นยอดแล้ว ทางร้านยังใส่ใจและพิถิพิพันในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การแล่เนื้อ ที่พิเศษตรงที่เชฟของทางร้านจะใช้มีดแล่เนื้อเท่านั้น จะไม่ใช้เครื่องแล่เนื้อ (ยกเว้นเมนูสุกี้ยากี้และ กริลล์ชาบูที่ต้องการความบางพิเศษ) เพื่อให้เนื้อได้รับความเสียหายน้อยที่สุด ตลอดจนกรรมวิธีการปรุง ความแรงของไฟ และเครื่องเคียงต่างๆ ก่อนที่จะมาเป็นเทปันยากิคอร์สให้ได้ลิ้มลอง ก็เป็นไปด้วยความพิถีพิถันอย่างที่สุด เมนูเทปันยากิเนื้อวากิวของ Mikaku จะมี 4 คอร์สหลักด้วยกัน คือ - สเต็กคอร์ส (Steak Course) - ออยล์ยากิคอร์ส (Oil-yaki Course) - กริลล์ชาบูคอร์ส (Grilled-Shabu Course) - สุกี้ยากี้คอร์ส (Sukiyaki Course) ซึ่งในแต่ละคอร์สจะประกอบด้วย appetizer, ซุป, สลัด, อาหารจานหลักของแต่ละคอร์ส, ข้าวญี่ปุ่น พร้อมซุปใสและผักดอง (สามารถเปลี่ยนเป็นข้าวผัดกระเทียมได้ โดยเพิ่มเงิน 250 บาท) และของหวานตบท้าย และสำหรับใครที่ไม่ทานเนื้อ ทางร้านก็มีเมนูซีฟู้ดให้เลือกลิ้มลองเช่นกัน เมนูซีฟู้ดแนะนำคือ “หอยเป่าฮื้อดำ” (black abalone) และ “ล็อบสเตอร์” ซึ่งสองตัวนี้จะต้องสั่งจองล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์เพื่อจะได้นำเข้ามาจากญี่ปุ่นกันสดๆ สำหรับ appetizer ซึ่งจะมีมาในทุกเซ็ตเทปันยากิ จะเป็น “บีฟทาทากิ” (beef tataki) และ “ทูน่าโอโทโร่ทาทากิ” (tuna otoro tataki) “บีฟทาทากิ” เป็นเนื้อวัวแล่มาค่อนข้างบาง นำมากริลล์ให้ด้านนอกสุก แต่ด้านในยังไม่สุก (“ทาทากิ” แปลว่า ด้านนอกสุก ด้านในยังไม่สุก นั่นเอง) ทำให้ผิวด้านนอกมีความหอม มีเท็กซเจอร์ของเนื้อที่สุกแล้ว ส่วนด้านในยังนุ่มละมุนลิ้น หวานฉ่ำมาก วางมาบนผักสด ราดด้วยซอสทาทากิ ให้รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ สดชื่นเหมาะกับการทานก่อนจานหลัก ซึ่งตัวบีฟทาทากินี่ หากรู้สึกยังไม่จุใจ ก็สามารถสั่งเป็น side dish มาทานเล่นเพิ่มได้อีกด้วย อีกชิ้นคือ “ทูน่าโอโทโร่ทาทากิ” เป็นเนื้อปลาทูน่าโอโทโร่แล่ชิ้นหนา นำมากริลล์ให้ด้านนอกสุกแต่ด้านในยังไม่สุกเช่นเดียวกับบีฟทาทากิ เนื้อปลามีไขมันแทรกเป็นชั้นๆ ทำให้ยิ่งนุ่ม ผิวด้านนอกสุกหอม ด้านในยังนิ่ม ละมุนลิ้น ละลายในปาก ในส่วนของซุป ทางร้านก็จะหมุนเวียนไปไม่มีตายตัว สำหรับวันนี้เป็นซุปครีมหน่อไม้ญี่ปุ่นชื่อ ทาเคโนโกะ รสชาติหอมมันเข้มข้น เนื้อเนียนละเอียด ปรุงรสมากลมกล่อมกำลังดี ส่วนสลัดก็เป็นสลัดผักสดชามโต เพิ่มความสดชื่นก่อนทานจานหลัก มาเริ่มกันที่คอร์สแรก “สเต็กคอร์ส” (Steak Course) (ราคาคิดตามน้ำหนัก คือ 100 กรัม ราคา 3,500 บาท) จานหลักของเซ็ตนี้จะเป็นเนื้อส่วนเทนเดอร์ลอยน์และเซอร์ลอยน์ แล่ชิ้นหนานุ่ม นำมากริลล์บนกระทะซึ่งตรงนี้ก็สามารถรีเควสต์ระดับความสุกที่ต้องการกับเชฟได้เลย ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเท่านั้น เพื่อให้ได้สัมผัสถึงความเป็นเนื้อเต็มๆ รสชาติยอดเยี่ยมมาก เนื้อมีความนุ่มขนาดที่ใช้ตะเกียบตัดก็ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ด้านนอกสุกหอม ส่วนด้านในยังคงชุ่มฉ่ำอยู่ หวานลิ้นละลายในปาก สำหรับน้ำจิ้มที่จะใช้ทานคู่กับเนื้อนั้นจะมี 2 แบบ แบบแรกคือพอนซึเป็นซีอิ๊วญี่ปุ่นรสออกเปรี้ยวนำ ทำมาจากส้มยูสุของญี่ปุ่น พร้อมกับหัวไชเท้าขูดละเอียดเพื่อทำให้รสละมุนมากขึ้น ส่วนอีกแบบจะเป็นโชยุ ซึ่งสามารถเพิ่มรสชาติเองตามความชอบด้วยซอสงาบดและพริกแห้งที่มาพร้อมกันได้ หรือถ้าอยากรับรู้ถึงความเป็นเนื้อแท้ๆ ก็ให้ทานคู่กับวาซาบิและเกลือสักเล็กน้อย ซึ่งสองตัวนี้ก็จะช่วยดึงรสชาติความหวานล้ำของเนื้อออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ต่อกันที่คอร์สที่สอง “ออยล์ยากิคอร์ส” (Oil-yaki Course) (ราคาคิดตามน้ำหนัก คือ 100 กรัม ราคา 3,500 บาท) เป็นเนื้อส่วนเทนเดอร์ลอยน์แล่มาชิ้นกำลังดี นำมากริลล์บนกระทะโดยใช้น้ำมันจากตัวเนื้อให้ออกมาเอง จานนี้กริลล์มาค่อนข้างสุกหอมทั้งชิ้น ปรุงรสด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติหวาน มัน เค็ม เป็นอีกเมนูที่รสชาติยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ตามมาด้วยคอร์สที่สาม คือ “กริลล์ชาบูคอร์ส” (Grilled-Shabu Course) (ราคาคิดตามน้ำหนัก คือ 100 กรัม ราคา 3,500 บาท) จะเป็นเนื้อวากิวส่วนเซอร์ลอยน์แล่บางพิเศษ กริลล์แบบสุก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ทานคู่กับต้นหอมซอยละเอียด สำหรับคอร์สที่สี่ คือ “สุกี้ยากี้คอร์ส” (Sukiyaki Course) (ราคาคิดตามน้ำหนัก คือ 100 กรัม ราคา 3,500 บาท) เป็นเนื้อวากิวส่วนเซอร์ลอยน์แล่บางพิเศษเช่นเดียวกับในเซ็ตกริลล์ชาบูคอร์ส นำมากริลล์บนกระทะ ปรุงรสด้วยน้ำซุปสุกี้ยากี้สูตรพิเศษ สำหรับคอร์สนี้จะมีไข่ลวกมาให้ด้วย เวลาทานก็จุ่มเนื้อลงในไข่ลวก ความนุ่มของเนื้อ รสชาติหวานเค็มของน้ำซุปสุกี้ยากี้ และความหวานมันของไข่ลวก ทำให้รสชาติกลมกล่อมลงตัวสุดๆ นอกจากตัวเนื้อจะอร่อยระดับพรีเมียมสุดๆ แล้ว ผักเครื่องเคียง อย่าง มันฝรั่ง หอมใหญ่ และกระเทียม ก็อร่อยและช่วยเพิ่มรสชาติหลากหลายให้อาหารได้ดีเช่นกัน อย่างหอมใหญ่ก็กริลล์มาอย่างดี ด้านนอกหอมมาก ด้านในหวานฉ่ำ นิ่มมาก และไม่มีความเผ็ดหลงเหลือเลย จบจากจานหลักแล้ว เชฟจะเสิร์ฟด้วยข้าวญี่ปุ่น พร้อมซุปใสและผักดองต่อ ซึ่งหากใครต้องการก็สามารถเปลี่ยนเป็นข้าวผัดกระเทียมได้ โดยเพิ่มเงิน 250 บาท เชฟจะผัดข้าวผัดกระเทียมให้ดูกันสดๆ เช่นเดียวกับตอนปรุงเนื้อ เราจึงได้เห็นความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียดของเชฟ อย่างตัวกระเทียมก็ไม่ใช่ว่าใส่ลงไปผัดกับข้าวสดๆ เลย แต่จะต้องมีการเจียวจนสุกหอมได้ที่ ก่อนจะรีดน้ำมันออกแล้วค่อยใส่ข้าวลงไปผัด ผัดมาได้ค่อนข้างแห้ง ข้าวมีลักษณะเป็นเม็ดๆ ไม่เละและไม่แฉะเลย หอมกระทะและกระเทียมมากๆ ปรุงรสมากลมกล่อม พิเศษตรงที่ใส่ไข่ลงไปผัดด้วยทำให้รสละมุนยิ่งขึ้น อิ่มกับของคาวชั้นเลิศกันอย่างเต็มที่แล้ว ต้องตบท้ายด้วยของหวานที่อร่อยไม่แพ้กัน ของหวานนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ส่วนวันนี้จะเป็น “เครมบูเล่กับเชอร์เบทเมลอน” เป็นเครมบูเล่รสชาติเข้มข้น หอมหวาน เนียนละมุนลิ้นมากๆ เสิร์ฟพร้อมกับเชอร์เบทเมลอนซึ่งมีส่วนผสมของไวน์ขาว รสชาติสดชื่น ตัดรสได้ดีกับความครีมมี่ของเครมบูเล่... อ่านต่อ
5 Likes0 Comment
photo