เมนูของร้าน Party House One (PH1) สยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โอเต็ล แอนด์ สปา
ปาร์ตี้ให้สนุก แล้วมาชิมอาหารไทยแห่งศตวรรษที่ 21 ในบรรยากาศสุดติสท์ได้ที่ Party House One นี่เลยParty House One หรือที่เรียกย่อๆว่า PH1 นี้เป็นห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ชั้น G ของโรงแรม Siam@Siam ค่ะ พูดถึงโรงแรมนี้หลายคนคงทราบดีว่าเป็นหนึ่งใน Boutique Hotels รุ่นบุกเบิกที่เน้นความโดดเด่นเรื่องดีไซน์สุดอาร์ตซึ่งรวมเอาทั้งความดิบเท่ห์แบบ Industrial – การใช้สีสันแรงๆแต่ออกมาดูดี – ผนวกเข้ากับศิลปะแบบไทยประยุกต์ที่ดูมีเอกลักษณ์ ..กลายเป็นบรรยากาศสุดคูลที่ไม่เหมือนที่ไหนๆ และห้องอาหาร PH1 เองก็ยึดการตกแต่งในแนวเดียวกัน โดยไม่ลืมเน้น concept “Fun food and drinks” เหมาะจะมาปาร์ตี้กันสมกับชื่อร้าน ...ทั้ง drink bar ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทั้ง Live Bands ที่สลับสับเปลี่ยนกันมาเล่นเพิ่มความมีชีวิตชีวา ทั้งทีวีจอยักษ์ถ่ายทอดแม็ตช์ฟุตบอลเอาใจคอกีฬา ...และที่สำคัญที่สุดคืออาหารที่ “เชฟเทพ” ผู้เป็น Head Chef ตั้งใจใส่ทั้งความพิถีพิถันและความคิดสร้างสรรค์ลงไปสมกับที่อยากให้เป็นอาหารไทยแห่งยุคศตวรรษที่ 21 อันคู่ควรกับดีไซน์สุดล้ำสมัยของโรงแรม ..ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่ง hangout เก๋ๆอีกแห่งที่เหมาะจะนัดกันมาสังสรรค์จริงๆค่ะ ****-ข้อมูลพื้นฐาน-**** ● ห้องอาหาร Party House One ให้บริการตั้งแต่ 06.00 น.- 23.59 น. โดยแบ่งเป็นช่วงๆตามเวลาดังนี้... Breakfast Buffet : 06.00 - 10.15 น. Lunch Buffet : 11.30 - 14.15 น. Sunday Brunch : 11.30 – 14.15 น. A la carte : สั่งอาหารได้ตั้งแต่ 11.00 – 22.30 น. ● วงดนตรีสดมีเล่นตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 20.45 – 23.00 น. ค่ะ ● สำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 02-217-3000 หรือ fbrsvn@siamatsiam.com ค่ะ นอกจากจะให้บริการตามปกติแล้ว ทางห้องอาหารยังให้บริการในส่วนของการจัดงานแต่งงาน งานฉลองวันเกิดหรือ events ต่างๆด้วย ใครสนใจก็ลองติดต่อได้นะคะ ****-เมนูที่ได้ลอง-**** อันที่จริงแล้วเมนูอาหารที่นี่มีทั้งอาหารนานาชาติ อาหารฟิวชั่น และอาหารไทย โดย Wongnai Tasting ครั้งนี้พาเรามาลองอาหารไทยจากเมนู A la carte ที่เพิ่งมีมาไม่นานนี้ค่ะ [อาหารทานเล่น] ● Thai delicatessen – อาหารสไตล์ออเดิร์ฟแบบไทยๆจานนี้ประกอบไปด้วยหมูยอ ไส้อั่ว ไส้กรอกข้าว แหนมทอด กุนเชียง มีจุดเด่นที่ใช้ของคุณภาพดี เนื้อหมูเน้นๆไม่ปนมันเยอะ และทอดได้แห้งไม่อมน้ำมัน เพิ่มความไฮโซตรงที่เสิร์ฟเครื่องเคียงเป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์แทนถั่วลิสง กรอบใหม่เคี้ยวเพลินดีทีเดียว มีผัก ขิง พริกขี้หนูสดให้ครบ ทานกรุบกริบแกล้มเครื่องดื่มได้ดีค่ะ ● ลาบคั่ว – เป็นลาบที่รวนมาแห้ง รสชาติแบบลาบทางเหนือ คือไม่ได้เผ็ดจี๊ด-เปรี้ยวจ๋าอย่างลาบอีสาน แต่จะเป็นรสชาติเผ็ดร้อนนิดๆพอกลมกล่อม หอมเครื่องเทศที่ใส่มาถึง 10 ชนิด เข้ากันดีกับกลิ่นหอมของข้าวคั่ว อร่อยโดนใจมากมายบอกเลย ● ลาบปีกไก่ทอด – ปีกไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน รสลาบที่คลุกมาค่อนข้างเค็ม แต่ทางร้านเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มไก่แบบหวาน ก็เลยสมดุลกันดี ทานได้เพลินๆค่ะ ● คอหมูย่าง – จานนี้จัดว่ากลางๆ หมูนุ่มใช้ได้แต่ยังไม่สุด และจะฟินกว่านี้ถ้าย่างติดกลิ่นหอมควันนิดๆ ส่วนน้ำจิ้มแจ่วที่เสิร์ฟมาด้วยกันนั้นเข้มข้นดีค่ะ ● ส้มตำถาด – เป็นส้มตำที่เพิ่มความอลังการด้วยการใส่กุ้งสดและไข่กุ้งท็อปมาให้ด้วย แกล้มด้วยลาบปีกไก่ทอด ไข่ต้ม แคปหมู และหมูยอ เรื่อง presentation ถือว่าสอบผ่านฉลุย แต่เรื่องรสชาตินี่ส้มตำยังไม่เป๊ะเท่าไหร่นะ [ซุป] ● ต้มมะดัน – สำหรับเมนูนี้บอกเลยว่าดีเลิศระดับสิบ ชิมเผินๆน้ำแกงจะรสคล้ายต้มยำ แต่มะดันนั้นให้รสเปรี้ยวที่นุ่มนวลละเมียดละไมกว่ามะนาว พริกที่ใช้ก็เป็นพริกเม็ดใหญ่ที่เผ็ดร้อนนิดๆ ไม่เผ็ดแหลมอย่างพริกขี้หนู รสชาติจึงกลมกล่อมสมดุลกันดี เพิ่มความเก๋ตรงที่ใส่เป็นปลาหมึกยัดไส้มาให้ โดยใช้ปลาหมึกตัวเล็ก เนื้อนุ่มละมุน ไส้หมูยัดมาเต็มแน่น ยกระดับต้มยำธรรมดาๆให้มีความอร่อยแบบประณีตราวกับอาหารชาววังเลยทีเดียวค่ะ [จานหลัก] ● Siam Capellini – ชูความอร่อยแบบ East meets West ด้วยการนำเส้นพาสต้าเหนียวนุ่มมาผัดกับพริกและไส้อั่ว ท็อปด้วยแค็ปหมูมาอย่างเก๋ รสชาติเผ็ดนิดๆ หอมควันหน่อยๆ อร่อยมากๆ มาติดที่แค็ปหมูมันเหนียวไปนิด ไม่ค่อยกรอบ ถ้าแก้เรื่องนี้ได้นี่ฟินเลยนะคะ ● พิซซ่าลาบเนื้อ – จานนี้ไม่ได้ลองเนื่องจากไม่ทานเนื้อวัว แต่เห็นสมาชิกท่านอื่นๆบอกว่าอร่อยแบบเผ็ดร้อนถึงอกถึงใจดีเลยล่ะ ● ฉู่ฉี่แซลมอน – แซลมอนเนื้อนุ่มกำลังดี ราดเครื่องแกงรสเข้มข้น-หอม-มัน โรยหัวกะทิเน้นๆ ส่วนตัวว่ารสหวานนำเกินไปนิด แต่ในภาพรวมก็ใช้ได้นะ ● มัสมั่นแกะ – เมนูนี้เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็คท์มากกก... ปลื้มปริ่มสุดๆ เนื้อแกะนี่ใส่มาทั้งขา สุกทั่วถึงแต่เนื้อนุ่มละมุนไม่แห้งกระด้าง กลิ่นไม่แรง เลาะทานกันเพลินทีเดียว รสชาติเครื่องแกงก็เข้มข้นดีงาม มันฝรั่งใช้แบบหัวเล็กๆกลมๆเนื้อเนียนนุ่มเหนียวแบบที่เราชอบเป๊ะ อร่อยถูกใจทุกองค์ประกอบไม่มีอะไรจะติค่ะ ● กุ้งอบวุ้นเส้น – วุ้นเส้นนุ่มเหนียวกำลังดี ใส่กุ้งแชบ๊วยมา 2 ตัว รสชาติจัดว่าดีงามตามมาตรฐานแต่ยังไม่ถึงกับโดดเด่นนะ ● ข้าวผัดหยางโจว – ข้าวผัดใส่กุ้งและหมูแดง ส่วนตัวว่ารสอ่อนไปนิด กับให้กุ้งมาน้อยไปหน่อย ถ้าสั่งมาทานเดี่ยวๆดูจะไม่ค่อยโอเค แต่กับครั้งนี้ที่เราเอามาทานกับกับข้าวแทนข้าวเปล่าไปก็ถือว่าเหมาะสมดีล่ะค่ะ [ของหวาน] ● กะลอจี้ – กะลอจี้กรอบๆหนุบๆหอมงา แต่แปลกที่ยัดไส้ถั่วกวนมาด้วย คิดว่าเชฟน่าจะได้แรงบันดาลใจจากขนมโมจิย่างของญี่ปุ่น ซึ่งก็พอเข้ากันได้อยู่ค่ะ คิดในแง่นึงก็เป็นเอกลักษณ์ดี หาทานที่อื่นไม่ได้ง่ายๆ แต่ที่ไม่ฟินคือการที่เสิร์ฟไอศกรีมรสช็อกโกแลตมาให้ทานคู่กันนี่ล่ะ คือรู้สึกว่ารสชาติมันไม่ค่อยเข้ากันเอาซะเลย ทานแยกกันโอเคกว่านะ แอบคิดเล่นๆแทนเชฟว่าถ้าจะเอากะลอจี้มาเข้าคู่กับไอศกรีมจริงๆล่ะก็ ..ลองเป็นพวก Soft Serve รส Charcoal หรือรสผง Kinako (เคยชิมที่ญี่ปุ่น ไม่รู้บ้านเรามีเจ้าไหนทำมั๊ยนะคะ) อาจจะเวิร์คกว่าค่ะ ● ข้าวเหนียวมะม่วง – ใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ลูกโต รสชาติยังไม่หวานมาก มีอมเปรี้ยวอยู่บ้าง เลยยังไม่โดนใจซะทีเดียว (ถ้าเป็นอกร่อง จะเปรี้ยวบ้างก็ยังฟิน แต่ถ้าจะเอามะม่วงน้ำดอกไม้มาทานกับข้าวเหนียว เราชอบให้หวานเชี้ยบบบ..เท่านั้นค่ะ) ข้าวเหนียวมูนมาเหมือนกะทิยังไม่เข้าเนื้อเท่าไหร่ ถ้าเพิ่มกะทิที่ให้มาราดมากกว่านี้อีกหน่อยอาจช่วยได้ โดยรวมคือโอเคในระดับกลางๆนะ ● ทับทิมกรอบไอศกรีมกะทิ – เป็นการจับคู่ที่เข้ากันได้ดีอยู่แล้ว เลยอร่อยสอบผ่านฉลุยค่ะ [เครื่องดื่ม] เป็นห้องอาหารที่เน้นธีมปาร์ตี้ทั้งที เรื่องเครื่องดื่มก็เลยต้องจัดเต็มไม่แพ้ของหวาน เราลองไปตามนี้ค่ะ ● Sawasdee – เป็น Signature Cocktail ของที่นี่ ซึ่งเป็นส่วนผสมของ tequila, vodka, gin, rum, Sprite และ passion fruit …เสิร์ฟมาในถุงเก๋ๆ (แอบนึกถึงถุงให้เลือดในโรงพยาบาลยังไงอยู่ค่ะ 555) จิบแรกๆรู้สึกว่าหวานไป จนปักหลอดถึงก้นถุงถึงได้รู้ว่ามันแรงใช่เล่น พอผสมทั่วถึงกันแล้วเลยออกมารสชาติกำลังดี แต่คนดื่มเหล้าไม่ค่อยเป็นอย่างเราก็ขอชิมแค่รู้รสพอ ไม่สามารถจะเม้นต์ได้เยอะล่ะนะ ● Siam @ Smoothie (ราคา 200 บาท) – เป็นส่วนผสมของ Peach, liqueurs และ passion fruit ตอนสั่งคิดว่าจะมีรสเปรี้ยวๆ แต่ปรากฏว่า passion fruit ที่ใช้น่าจะเป็นน้ำเชื่อมน่ะค่ะ เลยออกมาหวานไปหน่อย ถ้ามีการใช้น้ำผลไม้สดผสมบ้างน่าจะอร่อยสดชื่นกว่านี้นะคะ ● Hot Americano (ราคา 125 บาท) – กาแฟร้อน กลิ่นรสกลางๆ ไม่เปรี้ยว ไม่ขม ไม่เข้มมาก จิบหลังอาหารพอเพลินๆดีค่ะ ในภาพรวมแล้วต้องถือว่าทีมเชฟสามารถครีเอทรสชาติที่ทั้งคนไทยและแขกต่างชาติสามารถมา enjoy ร่วมกันได้ค่ะ โดยเน้นความอร่อยแบบกลมกล่อมที่ไม่ทำให้ฝรั่งรู้สึกว่าจัดจ้านเกินไป แต่ก็สอดแทรกกลิ่นรสหอมแรงจากเครื่องเทศและวัตถุดิบต่างๆที่ทำให้คนไทยก็ทานได้โดยไม่รู้สึกจืดชืดเสียอรรถรส แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบไปซะทั้งหมด แต่ก็นับว่าเริ่มต้นได้ดี ในอนาคตเชฟบอกว่าอยากจะลองเอาอาหารสไตล์ street food มาใส่ในเมนูบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าคงต้องมีการยกระดับในเรื่องของวัตถุดิบและมีการใส่ลูกเล่นที่สมกับชั้นเชิงฝีมือเชฟโรงแรม ฟังดูน่าสนใจ ทำให้อยากติดตามรอชิมกันเลยทีเดียว สำหรับครั้งนี้ประมวลอาหารที่ได้ชิมไปทั้งหมดต้องขอสรุปไว้ที่ 3.5 ดาว ปัดขึ้นให้เป็น 4 ดาวนะคะ... อ่านต่อ
84 Likes0 Comment
photo