4.6
32 เรตติ้ง (16 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในวันอังคาร เวลา 10:00
บรรยากาศ Takeaway by Chef Art - ถนนสุขุมวิท 63 เอกมัย 10
บรรยากาศ
French Italian, Classic never die by Chef Artขอสวัสดีเพื่อนๆ ชาววงในกันอีกครั้งกับผม Pednoii AhHa กับรีวิวแบบ Exclusive จากกิจกรรม Wongnai Chef Table Present Chef Table by Chef Art ที่จะพาทุกท่านไปทานอาหารที่บ้านของ Chef Art จากรายการ Top Chef Thailand นั่นเอง ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ Chef Art เรามาหาทางไปบ้าน Chef Art กันก่อน โดยเส้นทางที่จะมาบ้านเชฟนั้น สามารถเข้าได้หลายทางมาก โดยทางเข้าที่ง่ายที่สุดคงจะเป็นเอกมัยซอย 10 ครับ ตรงเข้าไป เมื่อเห็นแยก 6 ด้านขวามือ ให้เลี้ยวเข้าไป เจอสามแยกให้เลี้ยวซ้าย ตรงเข้าไปประมาณ 10 เมตร จะเจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง จากนั้นให้ตรงยาวๆ ผ่านโค้งนิดนึง จะมีซอยอีกซอยนึงด้านซ้าย เลี้ยวเข้าไปและตรงให้สุดซอย บ้านเชฟจะเป็นประตูเหล็กสีอิฐด้านขวามือครับ ถ้าอ่านแล้วงงๆ เปิด Google เพื่อนำทางเข้าไปได้เลยครับ มีปักหมุดเรียบร้อย คำแนะนำสำหรับร้านนี้ เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจะสะดวกที่สุด สามารถจอดรถได้ภายในซอยดังกล่าว หรือจะจอดในตัวบ้านของเชฟเลยก็ได้ครับ เนื่องจากปกติครัวที่ใช้ทำอาหารจะเป็นครัวในบ้านของเชฟอาร์ตเอง สำหรับวันนี้เองก็เป็นโอกาสพิเศษเนื่องจากได้ทำการเปิดครัวใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งเหล่า Elite user มาวันนี้ จะเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆที่ได้มาใช้ครัวแห่งนี้นี่เอง O_O มีอุปกรณ์ครบครันไม่ว่าจะเป็นตู้แช่ที่มีทั้งตู้ใหญ่ และตู้แช่ที่ซ่อนอยู่ใต้เคาเตอร์ด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีเครื่อง Combi – Oven ยี่ห้อ Rational ตู้อบสารพัดนึกซึ่งจะเป็นพระเอกของอาหารในวันนี้ ซึ่งคุณสมบัติค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว ทั้งอบ ทอดแบบไร้น้ำมัน ย่างด้วยความร้อนจากพัดลมร้อนครับ และที่เจ๋งที่สุด คงจะเป็นตรงที่สามารถตั้งโปรแกรมสำหรับทำอาหารได้ครับ ถ้าสนใจเพิ่มเติมสามารถ Search ใน Google ได้เลยครับ สนนราคาที่หลักหลายแสนบาทครับ Y_Y อุปกรณ์ไปแล้ว ก็ยังมีสมุนไพรสดๆ ที่เด็ดจากต้นที่ตั้งอยู่บนเคาเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น Rosemary, โหรระพาสีม่วง, Basil และอื่นๆอีกหลายชนิดที่ไม่รู้จัก ซึ่งได้จาก Supplier จากทั้งเมืองนอกและเมืองไทยครับ สำหรับการทานอาหารวันนี้เราจะทานบนเคาเตอร์ครับ ซึ่งจะได้รับประสบการณ์พิเศษที่จะได้เห็นการทำอาหารแบบ Real Time กันไปเลย เรียกได้ว่า อร่อยตั้งแต่ยังไม่เสิร์ฟกันทีเดียว มาถึงร้านนี้ทั้งที จะไม่กล่าวถึง Chef Art ก็คงจะไม่ได้ ด้วยประสบการณ์การทำร้านอาหารมา 10 กว่าปี รวมถึงท่องเที่ยวไปทั่วโลก เพื่อเปิดและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านอาหาร ในที่สุดก็ตัดสินใจมาเปิดร้านอาหารสไตล์ Chef Table เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ในสมัยนั้นยังเป็น Trend ใหม่ๆ โดย Concept คือ ทำอาหารตามความต้องการของลูกค้าและเชฟนั่นเอง (เคารพซึ่งกันและกัน) โดยหลักๆ เชฟจะถนัดทำอาหารสไตล์ French Italian แบบ Classic (Traditional) คือเน้นรสชาติแบบพื้นๆ อร่อยตามสูตรดั้งเดิมครับ นอกจากนี้ยังทำอาหารไทยได้ด้วยเช่นกัน มีคนถามว่าอาหารอะไรที่ Challenge Chef ที่สุด Chef บอกว่า Vegetarian ยากที่สุดครับ (อันนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าเชฟไม่ถนัด เพราะดูจากเมนูของคาววันนี้มีเนื้อเป็นส่วนประกอบหลักทั้งหมด) นอกจากเปิด Chef’s Table ในบ้านของเชฟเองแล้ว ยังรับ Order แบบทำอาหารกันที่บ้านของคุณลูกค้าเลยทีเดียว โดยการที่จะดูก่อนว่าครัวของบ้านลูกค้าเป็นอย่างไร จากนั้นจะเตรียมอุปกรณ์ที่ยังขาดไปให้พร้อม โดยจะใช้เวลาอยู่บ้านลูกค้าถึง 5 ชั่วโมง (ตั้งแต่เตรียมของจนทำอาหารเสร็จ) อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าใครสนใจที่จะไปทานอาหารฝีมือของเชฟอาร์ตละก็ เปิด Instagram และค้นหา Chef’s Table by Chef Art ได้เลย Reservation ผ่านทาง Line: @cheftablebychefart และทางผู้ดูแลจะติดต่อกลับไปเพื่อสอบถามรายละเอียดครับ และแน่นอนครับว่าตอนนี้คิวทองยาวเป็นหางว่าว จองกันข้ามเดือนกันเลยทีเดียวครับ โดยจะรับเพียงแค่วันละ 1 group เท่านั้น เริ่มต้นที่ 4 ท่าน ไปจนถึงสูงสุด 18 ท่าน โดยทางผู้ดูแลจะสอบถามรายละเอียดอีกทีครับ (งบประมาณคุณลูกค้าจะต้องกะมาคร่าวๆก่อนครับ) ก่อนจะเริ่มถึงเมนูอาหาร (อีกรอบ) จะขอพูดถึงโลโก้ร้านนิดนึง โดยเราจะพบ Logo ที่ถาดรองสแตนเลสสีทองแดงซึ่งเป็นรอยจากการขูดได้ง่ายมากๆ (แต่ขัดได้เช่นกัน) ถ้าสังเกตจะมีรูปกล้วยอยู่บนระหว่างตัว r และ t ซึ่งมาจากชื่อเล่นของแฟนเชฟอาร์ต ผู้ดูแลและรับออเดอร์จากคุณลูกค้าผ่าน Line นั่นเอง และสาวๆหรือหนุ่มๆ ท่านใดที่เล็งเชฟไว้ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เรามาเริ่มต้นด้วยเมนู Appetizer ด้วยขนมปังกระเทียมที่กลิ่นหอมมาก เสิร์ฟในจานสแตนเลสแบบยาว หั่นเป็นชิ้นสามเหลี่ยมขนาดทาน 2 คำ รสชาติดีมากๆ กลิ่นกระเทียมและกลิ่นเนยพอๆกัน ส่วนขอบกรอบแต่ไม่แข็ง ส่วนด้านในนุ่มมากครับ แก้หิวได้ดีมากๆครับ ถ้าหมดแล้ว ทางบริกรก็จะนำเสิร์ฟใหม่จนกว่าจะเริ่มจานหลักของเราครับ นอกจากนี้ถ้าทานไม่หมด ด้านข้างจะมีการวางถ้วยแก้วสำหรับใส่ขนมปัง ไว้สำหรับพักขนมปังที่เราทานไม่หมดก่อนจะกลับมาทานใหม่อีกครั้งครับ สำหรับเมนูอาหารที่เราจะได้มาทานกันนั้น จะมีทั้งหมด 5-course dinner มีดังต่อไปนี้ครับ (ชื่ออาหารจะยาวสักหน่อย) 1. Foie gras mousse with seared Hokkaido scallop, wild mushroom and wild mushroom foam: course นี้ตอนแรกทางเชฟตั้งใจจะเสิร์ฟเป็นจานแรก แต่ด้วยปัญหาทางเทคนิค เชฟจึงเสิร์ฟจานนี้เป็นจานที่ 2 ครับ โดยเริ่มต้นที่ตัว Foie gras นำไปทำเป็น mousse แล้วแช่เย็นไว้ครับ จากนั้นจะตกแต่งด้วยเห็ดป่าที่นำไปปรุงจนสุก ราดด้วย wild mushroom foam ที่ผ่านการตีฟองก่อนครับ จากนั้นจะตกแต่งด้วย Herb ที่อยู่บนโต๊ะตามที่กล่าวไว้ด้านบน ค่อยๆจัดทีละจาน รวมทั้งเพิ่มสีสันด้วย edible flower เช่นดอกอัญชัน เป็นต้น จากนั้นปิดท้ายด้วยหอยเชลล์ฮาโกดาเตะตัวใหญ่ขนาดเท่าช้อนทานอาหาร ที่นำไป Sear ให้สุกก่อนทานครับ เพิ่มรสชาติด้วยการหยด Herb Oil ที่ทำจากใบไทม์ ทารากอน เบซิลและอื่นๆมาปั่นแล้วสกัดเอา Oil ออกมา โดยรวมรสชาติอาหารจานนี้ ถ้าทานตัวฟัวร์กรามูสจะให้ความรู้สึกเหมือนทานโจ๊กเลยครับ จะออกเค็มนิดๆแต่ละมุนลิ้นดีครับ ได้รสชาติของฟัวร์กราบางๆ แต่ถ้าทานพร้อมกันกับ หอยเชลล์เอย เห็ดป่า หรือจะเป็น Herb หรือ flower ก็ตาม รสชาติจะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เดาไม่ออกเลยทีเดียว แต่อร่อยมาก ซึ่งประทับใจใน combination ของจานมากๆ ตัวหอยเชลล์สุกกำลังดี ด้านนอกจะกรอบหน่อยๆ เนื้อด้านในยังนุ่มครับ ดึงความอร่อยจากวัตถุดิบออกมาได้ดีมากๆครับ 2. Lobster bisque puff soup with truffle and lobster tail: ซุป Lobster กับเห็ดทรัฟเฟิล สีส้มเข้มสวยงาม เคี่ยวจนได้ที่ ใส่เนยและคนให้ละลาย จากนั้นเทใส่โถพร้อมกับแปะแป้งพัฟแทนฝา ทาไข่แดงที่ตีแล้วบนตัวแป้งเพิ่มสีสันให้ตัวแป้ง และโรยพริกไทย ก่อนที่จะนำเข้า combi-oven เพื่อทำให้แป้งพัฟฟูเป็นก้อนกลมๆ ตอนออกจากตู้กลิ่นหอมมากๆ วิธีทานคือการเจาะตัวพัฟให้แตก และดันๆลงไปในน้ำซุป หรือจะทานเปล่าๆ เนื้อนุ่มดีเลยครับ หรือถ้าจะจุ่มในน้ำซุปแล้วทาน จะได้รสชาติของกุ้งบางๆ เข้ากันดีครับ ส่วนของตัวน้ำซุปร้อนถึงร้อนมาก (ห้ามจับโถเพื่อถ่ายรูปเป็นอันขาด) เพิ่มความกระชุ่มกระชวยก่อนจะทานอาหารจานต่อไปได้ดี รสชาติจะค่อนไปทางกุ้ง lobster มากกว่าจนกลบรสของ truffle ไปครับ มีความคาวนิดๆ ออกเค็มๆจากเนยสดเบาๆ ละมุน กลิ่นหอมมาก ส่วนตัวเนื้อกุ้ง เด้งและอร่อยมาก ยังคงรสชาติของตัวกุ้งได้ดีครับ โดยเฉพาะส่วนหางที่ชิ้นใหญ่กว่าช้อนอีกครับ ทานคู่กับเห็ดทรัฟเฟิลเพิ่มความหอมครับ 3. Roasted stuffed French quail with foie gras, wild mushroom, wild rice and quail red wine butter sauce: เมนูเนื้อนกกระทาจากฝรั่งเศส ที่ผ่าส่วนเครื่องใน และนำมายัดไส้ด้วยข้าวบัสมาตีเม็ดเรียวยาวที่คลุกเคล้ากับเครื่องเทศที่เรียกว่าหญ้าฝรั่น หรือ Saffron เพื่อให้มีสีเหลืองสวย เห็ดหอมและ Spinach จากนั้นปิดท้ายด้วยการยัดฟัวร์กราดิบเข้าไป ทาด้วยซอสที่ทำจากกระดูกนกกระทา ปรุงแต่งด้วยไวน์แดงและมะเขือเทศ นำไป Grill ให้ด้านนอกสุก จากนั้นนำไปอบในเครื่อง Combi-Oven เพื่อให้เนื้อด้านในสุกครับ ตอนที่ออกมากลิ่นหอมเย้ายวนใจอีกแล้ว จากนั้นพักเนื้อให้เย็นลง ทำการผ่าครึ่งตัวและจัดจานที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการอบก่อนเสิร์ฟครับ โดยจะมีการราดด้วยซอสที่ทาตัวนกกระทาครับ และหยด Herb Oil ลงไป ปิดท้ายด้วยการตกแต่งด้วย Spinach ที่นำไปผัดในน้ำมันมะกอกโรยพริกไทย และ Rosemary ส่วนรสชาตินั้น ตัวเนื้อสุกทั่วถึง ไม่มีกลิ่น เนื้อนุ่ม และอร่อยมาก ทานกับส่วนที่ยัดเข้าไปด้วยกันช่วยให้ไม่เลี่ยนครับ ส่วนที่แปลกคงจะเป็นฟัวร์กราที่ยัดไว้ โดยเชฟมีความตั้งใจจะใช้ฟัวร์กราเพื่อดึงความหอมและความมันให้กับตัวนกกระทาที่ปกติเนื้อจะค่อนข้างแห้งครับ ทานพร้อมกับเนื้อนกกระทาเช่นกันแต่รสชาติจะไม่โดดเด่นเท่านำไป Sear ครับ ซึ่งดีตรงที่ไม่แย่งซีนของนกกระทาครับ 4. Pan seared Australian wagyu rib eye steak with creamy mashed potato, butter vegetables and bone marrow red wine sauce: Main Dish ของเราในวันนี้ จะเป็นเนื้อวากิวจากออสเตรเลีย ที่นำมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องก่อน จากนั้นจะนำมาหมักด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิด กระเทียม และทาด้วยซอสที่ทำจากกระดูกหน้าแข้งของวัว โดยใช้เวลาเคี่ยวถึง 5 วันกันเลยทีเดียว ปรุงแต่งด้วยไวน์แดงเช่นกัน (เชฟจะมีเตรียมน้ำสต๊อกไว้อีกหม้อเพื่อคอยเติมไม่ให้ซอสแห้งจนเกินไป) จากนั้นจะนำไป Sear บนกระทะเพื่อให้ด้านนอกสุกพอประมาณ จากนั้นก็นำเข้าเครื่อง Combi-Oven อีกครั้งเพื่ออบให้เนื้อด้านในสุกครับ พออบเสร็จเปิดตู้ออกมา กลิ่นสมุนไพรหอมไปทั้งครัวเลยครับ จากนั้นทำการพักเนื้อและหั่นเป็นชิ้นขนาดพอประมาณ เนื้อสีแดงสดใสน่าทานมากๆ จากนั้นก็ไปจัดจานกันก่อน ราดด้วยซอสที่ทาเนื้อก่อนนำไป Sear เมื่อสักครู่ วางเห็ดหอม และผักที่นำไปให้ความร้อนในกระทะ ได้แก่ หัวไช้เท้า แครอท และหน่อไม้ฝรั่ง เพิ่มความมันด้วยการวาง Creamy Mash Potato สีขาวนวล และปิดท้ายด้วยการวางเนื้อลงไป จานนี้เด็ดที่สุดครับ ด้วยเนื้อที่ด้านนอกจะออกเหนียวหน่อยๆ แต่ด้านในนุ่มและหวานแบบธรรมชาติมาก ตัว Creamy มีความนุ่มและละมุนมากๆ เพิ่มความอร่อยและมันๆให้กับเนื้อวากิว มากๆ ส่วนผักและเห็ดมีเพื่อไม่ให้จานนี้เลี่ยนจนเกินไปครับ และที่ประทับใจสุดคงจะเป็นตัวซอสที่เข้ากับทุก ingredient ทุกอย่างจริงๆ เรียกได้ว่า จานนี้ทานจนซอสหยดสุดท้ายกันเลยทีเดียว 5. Chocolate fondant with vanilla ice cream: และสุดท้ายงานเลี้ยงก็มีวันเลิกรา กับเมนูของหวานอย่าง Chocolate ที่ทำในรูปแบบของ fondant ที่ด้านนอกจะเป็นแป้งใส่ในถ้วยขนมเค้ก ที่ก้นถ้วยจะทาเนยและโรยด้วยผงโกโก้เพื่อกันแป้งติดก้นถ้วย นำไปอบให้พอประมาณ จากนั้นจะใส่ dark chocolate และปิดด้วยแป้งและนำให้อบสุกอีกครั้ง จากนั้นพักตัวให้เย็นและนำไปเข้า Combi-Oven อีกครั้งเพื่อให้มีกลิ่นไหม้ๆหอมๆหน่อย และนำมาจัดจาน ทานคู่กับไอศกรีมวานิลลา และสตอเบอรี่สด เวลาทานให้เจาะตัว fondant จะได้ lava chocolate ไหลเยิ้ม ตักไอศกรีมมานิดหน่อยและจุ่มใน Chocolate รสชาติเยี่ยมครับ ได้ความหอมจากตัววานิลลาและความเข้มจาก chocolate ที่เข้ากันพอดิบพอดี เป็น perfect combination เลยครับ นอกจากนี้ตัวไอศกรีมเองยังหอมและมีรสชาติพิเศษเหมือนทานไอศกรีมของ Haggen Dazs เลยครับ เพียงแต่ไอศกรีมนี้เป็นไอศกรีมทำเองของเชฟครับ ส่วนถ้าทานแล้วเริ่มรู้สึกเลี่ยน ลองทานแก้เลี่ยนและปรับลิ้นด้วยสตอเบอรี่ที่ออกรสเปรี้ยวครับ ซึ่งถ้าไอศกรีมให้เยอะกว่านี้มันจะ perfect เลยครับ เพราะ chocolate fondant ค่อนข้างเยอะกว่าไอศกรีมเลยทีเดียว ทั้ง 5 course นี้ใช้เวลาทานและทำอาหารกันถึง 3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว (ตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงสามทุ่มนิดๆ) คุ้มค่าทั้งเวลาและขนาดของกระเพาะอาหารมากๆเลยครับ สรุปรสชาติอาหารประทับใจมากๆครับ นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว ในส่วนของการบริการวันนี้ นอกจากเชฟเองแล้ว ยังมี Sous Chef อีก 2 ท่านที่มาช่วยสรรค์สร้างอาหาร และบริกรอีก 2 ท่านที่คอยอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นเช็ดโต๊ะ เปลี่ยนอุปกรณ์ทานอาหาร และเก็บจานครับ ถามว่า สิ่งที่ผมได้กลับไปนั้นมีอะไรบ้าง ผมคงจะบอกได้ว่า เราได้ทานอาหารดีๆ แบบที่เราไม่จำเป็นต้องไปทาน Fine Dining หรูๆที่ภัตตาคาร และที่สำคัญ ได้พบกับเชฟ ได้เห็นว่ากรรมวิธีต่างๆ ที่ต้องใช้ความใส่ใจอย่างมาก กว่าจะได้เป็นอาหารมาจานนึงครับ และรู้สึกเป็นกันเองเพราะเชฟใจดีมากๆครับ ไม่ว่าใครจะถามอะไรเชฟจะพยายามตอบระหว่างที่ทำอาหารไปด้วยครับ รวมทั้งแนะนำเทคนิคอาหารที่ได้เขียนไว้ข้างต้นด้วยครับ นอกจากนี้เรายังสามารถติชมอาหารได้เช่นกัน โดยจะมีทั้งแฟนของเชฟ และ ร้านนี้เป็นร้านโปรดผมไปแล้วครับ :) ก่อนจากกันต้องขอขอบคุณ พี่เตย @ toeyhugebear และ ทาง Wongnai Team ที่จัดกิจกรรมดีๆ ได้มาชิมอาหารฝีมือเชฟอาร์ต และพี่ @Toon_HappyEater และพี่ @Thitipong ที่เจอกันที่ร้านและให้คำแนะนำอาหารเพื่อเขียนรีวิวนี้อีกเช่นเคยครับ และพี่ @nannan412 ที่พยายามจะให้ผมกินมันๆอีกเหมือนเคยครับ T_T สุดท้ายนี้มีคำถามนึงที่มีพี่คนนึงถามเชฟว่า อยากได้ดาวจากมิชลินมั้ยครับ เชฟตอบว่า “ถ้าได้ก็ดีครับ แต่ที่เชฟมาเปิด Chef Table เพราะว่าเชฟรักในสิ่งที่เชฟทำ และเชฟอยากจะทำมันให้ดีที่สุดครับ โดยที่เชฟไม่เคยแคร์ว่าจะต้องได้มิชลินครับ” ถ้าเรารักที่จะทำอะไรสักอย่าง เราจงทำให้ดีที่สุด แล้วสุดท้ายเราจะได้รับรางวัลจากสิ่งที่เราทำนั่นเองครับ... อ่านต่อ
30 Likes0 Comment
photo