5.0
2 เรตติ้ง (2 รีวิว)
วัดชมชื่น
โบราณสถานสมัยสุโขทัยน่าเที่ยวชมวัดชมชื่น ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม ทางทิศตะวันตกของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง ราว 400 เมตร ใกล้ๆกันมีโบราณสถานที่สำคัญนอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัยตั้งอยู่อีกแห่งคือ วัดเจ้าจันทร์ ในบริเวณ วัดชมชื่น มีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ โถใส่อัฐิของมนุษย์ และเครื่องปั้นดินเผา แกละแม้ว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆในวัดชมชื่นจะมีลักษณะศิลปกรรมสมัยสุโขทัย แต่จากการศึกษาและขุดแต่งบริเวณฐานพระวิหารและการสำรวจและศึกษารูปแบบภายในเจดีย์ประธาน น่าจะมีการสร้างสิ่งก่อสร้างในสมัยสุโขทัยทับลงไปบนปรางค์แบบขอมมาก่อน รอบเขตพุทธาวาสของวัดชมชื่น มีกำแพงแก้วโดยรอบ มีประตูเข้าหลักๆ 2 ประตู อยู่ทางทิศเหนือและทิอใต้ (ประตูเปิดลงสู่แม่น้ำยม) ซุ้มประตูก่อแบบย่อมูม สัณนิษฐานว่าคงทำเป็นซุ้มโค้งแหลมแบบที่นิยมในสมัยสุโขทัย ส่วนทางเข้าด้านหน้า (เจ้าของบล็อกคาดว่า .... ) คงเปิดกำแพงแก้วเป็นทางเข้าหลักในภายหลัง เพราะถ้ายืนถ่ายรูปจากตรงที่เปิดกำแพงแก้วหน้าพระวิหารจะเห็นวัดชมชื่นเต็มตามมากกว่า พอเดินเข้ากำแพงแก้วจะเห็นพระวิหารอยู่ด้านหน้าสุดคือ เป็นวิหารโถงขนาด 6 ห้อง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีมุขยื่นออกมากที่ด้านหน้าและทำทางขึ้นตรงกลาง นอกจากนั้นยังทีบันไดสำหรับขึ้นพระวิหารด้านข้างมุขทั้งสองข้างอีกด้วย ถ้าลองลังเกตุดีๆจะเห็นว่าถ้าเราเดินขึ้นพระวิหารตรงมุขกลางจะเข้าไปในพระวิหารไม่ได้ เพราะจากมุขกับภายในพระวิหารจะมีแถวศิลาแลงขวางอยู่ ต้องไปใช้บันไดตรงข้างๆมุขกลางทั้งสองข้างถึงจะเข้าไปภายในพระวิหารได้ (ถึงคำบรรยายจะบอกว่าเป็นวิหารโถงคือไม่มีกำแพงรอบ แต่แถวของศิลาแลงที่ขวางอยู่ก็สูงเกินกว่าจะก้าวข้ามไปได้) ทำให้คิดไปได้ว่ามุขกลางน่าจะใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ เช่น พระพุทธรูป (เหมือนหลายๆวัดในปัจจุบันก็นิยมประดิษฐานพระพุทธรูปที่หน้าทางเข้าพระวิหาร) ฐานพระวิหาร ทำเป็นรูปบัวคว่ำ จากการขุดแต่งและบูรณะวิหารพบว่ามีฐานวิหารรูปบัวคว่ำซ้อนอยู่ภายในฐานวิหารที่เราเห็นในปัจจุบันอีกชั้นหนึ่ง แสดงว่าวิหารหลังนี้มีการสร้างซ้อนทับกัน ๒ ครั้ง เสาภายในพระวิหารแกนเป็นศิลาแลงซอนกันแล้วโกลนเป็นเสา ฉาบปูน ทำเป็น 8 เหลี่ยม ยังหลงเหลือร่องรอยของช่องสำหรับสอดเครื่องหลังคาที่ทำด้วยไม้ให้เห็นอย่างชัดเจน ด้านซ้ายของพระวิหารยกสูงขึ้นตลอดเพื่อเป็นอาสนะพระนั่งประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สุดพระวิหารทำเป็น มณฑป กุฎี หรือ กุฎาคาร (Cella-shrine หรือ Ku-dee) คล้ายเป็นห้องทึบอยู่ท้ายวิหาร มีส่วนฐานเชื่อมติดกัน เป็นมณฑปทรงจั่วแหลม หลังคาใช้ศิลาแลงก่อเหลี่ยมเข้าหากันจนเป็นรูปจั่วแหลม ด้านหน้าทำเป็นซุ้มทรงสูงทั้ง 2 ข้าง ส่วนบนของมณฑปยังคงหลงเหลือร่องรอยของปูนปั้นสำหรับประดับตกแต่งอยู่หลายจุด บางจุดก็เห็นว่าเคยมีปูนปั้นประดับตกแต่งเป็นลวดลาย “บัวคอเสื้อ” ที่ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนา บางจุดก็เห็นได้ชัดเพราะยังคงมีปูนปั้นตกแต่งอยู่ ในมณฑปมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ภายในเต็มพื้นที่ ส่วนด้านหลังของมณฑปทำเป็นซุ้มจระนำเคยมีพระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานอยู่ แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว เจดีประธาน เป็นเจดีย์ทรงกลมหรือเจดีย์ทรงระฆัง ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยศิลาแลง ฐานเขียงชั้นล่างสุดมีซุ้มพระตรงกึ่งกลางทั้ง 4 ด้านและบริเวณมุม พร้อมกับมีแทนสักการะ คล้ายกับเจดีย์ของลังกาและล้านนา ถัดขึ้นไปเป็นชั้นมาลัยเถา 3 ชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์แบบลังกาในสมัยสุโขทัย ยังคงหลงเหลือร่องรอยการประดับตกแต่งชั้นมาลัยแต่ละชั้นด้วยกลีบบัว ส่วนบนตั้งแต่ชั้นบัลลังก์หักพัง มีปล้องไฉนส่วนยอดตกอยู่ใกล้ๆองค์เจดีย์ ดร.ฌ็อง บัวสเซอลีเย่ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังสันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานของวัดน่าจะสร้างครอบทับปราสาทศิลาแลง ซึ่งกลายเป็นห้องบรรจุพระธาตุไป เนื่องจากพบอาคารสี่เหลี่ยมมีซุ้มคล้ายปรางค์แบบขอมอยู่ภายในองค์เจดีย์ ใกล้ๆกับเจดีย์ประธานมีวิหารขนาดเล็กอีกหนึ่งหลัง... อ่านต่อ
0 Like0 Comment
photo