4.1
71 เรตติ้ง (42 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 12:00
Shinkanzen Omakase สยาม (Omakase)
Omakase Experience กินเพื่อให้ลืมว่าที่ผ่านมาเราเคยกินอะไรมาบ้างเคยมีคนบอกว่าถ้าลองได้เริ่มกินโอมากาเสะแล้ว ชีวิตจะอยู่ยากขึ้น เพราะจะไม่สามารถกลับไปกินซูชิแบบเดิมได้อีก จริงหรือไม่ต้องคอยดู? นี่คือการกินซูชิแบบ Omakase ครั้งแรกของไช้ชวนชิม ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ได้กินซูชิไปด้วย ชมกรรมวิธีการปั้นซูชิจากเชฟไปด้วย อารมณ์เหมือนดูคอนเสิร์ตแล้วซื้อตั๋ว VIP ได้นั่งแถวหน้าอะไรงี้ สำหรับคนที่ได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโอมากาเสะ คือ การกินแบบ "ตามใจเชฟ" คล้าย ๆ อาหารแนว Chef’s Table คือเราจะไม่รู้ล่วงหน้าว่าเชฟจะทำอะไรให้เรากิน เราแค่บอกไปคร่าวๆ ว่าเรากินอะไรไม่ได้ เช่นไม่ทานเนื้อวัว ไม่สามารถกินไข่หอยเม่น แพ้วาซาบิ อะไรประมาณนี้ แล้วเชฟก็จะรังสรรค์เมนูตามจินตนาการ ตามวัตถุดิบที่คัดสรรมาได้ในช่วงนั้น ซึ่งอาหารแนวนี้เขาก็จะจำกัดจำนวนลูกค้าต่อรอบเพราะเชฟจะต้องปรุงอาหารต่อหน้าต่อตาลูกค้า [ทำไงจึงจะได้กิน?] จองครับ ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น เพราะ Omakase ส่วนใหญ่จะไม่รับลูกค้า Walk-in ถ้าเป็นร้านดังระดับมิชิลินสตาร์หลายดาวนี่อาจต้องจองหลายเดือนล่วงหน้าจนถึงข้ามปีด้วยซ้ำ สำหรับร้าน Shinkansen ถือเป็นโอมากาเสะในระดับกลางที่คอซูชิทั่วไปสามารถเอื้อมถึงได้ อย่างกรณีของคณะผมมากัน 4 คนจองล่วงหน้าประมาณ 2-3 อาทิตย์ ต้องระบุรอบด้วยว่าสะดวกมื้อไหน ที่นี่เหมือนจะมี 3 รอบต่อวัน เราเลือกรอบเที่ยงครึ่งจบคอร์สประมาณบ่ายสอง ใช้เวลากินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง คอร์สจะมีให้เลือก 2 ราคาคือ 1,500 บาท/หัว และ 3,000 บาท/หัว ราคาที่ดับเบิ้ลก็ต่างกันที่คุณภาพวัตถุดิบและจำนวนคำที่เชฟเสิร์ฟให้ทาน และเพื่อไม่ให้ลูกค้าที่จองหนีหายไปไหน ลูกค้าจะต้องโอนเงินมัดจำล่วงหน้า 50% นะครับ คือถ้าเบี้ยวนัดก็คงจะถูกริบเงินมัดจำ [ไปไงมาไงอ่ะ?] ร้านนี้ถือว่าแปลกตรงที่ในขณะที่ร้าน Omakase ส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนเงียบๆ แต่ที่ Shinkanzen ที่ตั้งดันอยู่ใจกลางเมืองเลยครับ เพราะฉะนั้นใครที่มาด้วยรถไฟฟ้านี่สะดวกเลย ลงจากสถานีสยามแล้วเดินมาทางถนนอังรีดูนังต์ Shinkanzen Omakase ตั้งอยู่ชั้น 3 ของตึก ชั้น 1-2 เป็นร้านซูชิราคาย่อมเยา แนะนำมาให้เดินทางมาถึงล่วงหน้าซัก 10-15 นาที เขาจะมีห้องรับรองก่อนเข้าที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ รอบนึงน่าจะรับลูกค้าได้ไม่เกิน 16 คน แบ่งเป็น 2 ปีก ปีกซ้ายสำหรับคอร์ส 1,500 และปีกขวาสำหรับคอร์ส 3,000 บาท มื้อนี้เชฟชาญเป็นคนดูแลคณะเราครับ [อิ่มไหมถามใจเธอดู?] ลองจินตนาการว่าต้องป้อนซูชิเข้าปากตัวเอง 22 คำ ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสอยู่ แต่พอได้ลองกินแล้ว อึม...มันก็อิ่มพอดีนะ แต่ละคำเชฟไม่ได้ปั้นข้าวก้อนใหญ่มากเพื่อเราได้สัมผัสรสชาติของเนื้อปลามากกว่าข้าว นี่คือลิสต์รายการอาหารที่ได้กินเข้าไปเมื่อวันนั้น ขออนุญาตไม่อธิบายคำต่อคำ แต่จะเล่าภาพรวม คำเด่นๆ ที่ไช้ชวนชิมประทับใจเป็นพิเศษ เอาจริงๆ วันนั้นก็มัวแต่ถ่ายรูป ฟังไม่ทัน จดไม่ทันว่าความพิเศษของแต่ละเมนูมันคืออะไรยังไงบ้าง? นี่เลยต้องไปทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อให้รู้ว่าแต่ละเมนูที่มีชื่อเรียกไม่คุ้นหู นั้นมัน match กับหน้าตาภาพถ่ายของเรายังไง? Appetizer - Kanpachio (ปลาบุรี เสิร์ฟมาในถ้วยค๊อกเทลปรุงรสด้วยซอส ponzu)* - Suwaikani Tempura (ขาปูเอามาทำเป็นเทมปุระ) - Chawanmushi (ไข่ตุ๋น) - Kaki Ponzu (หอยนางรมในซอส ponzu) Sushi - Kanpachi (ปลาบุรีหรือปลาหางเหลือง) - Nodoguro (ปลาโนโดะกุโระ) - Namasujiko (ไข่ปลาแซลมอนแบบสด) - Aorika (ปลาหมึกสด) - Kuruma Ebi (กุ้งลายเสือญี่ปุ่น)* - Awabi (หอยเป๋าฮื้อ) - Sunomono (จำไม่ได้ว่ามี) - Akami (ปลาทูน่าส่วนที่เนื้อค่อนข้าง lean หรือไขมันน้อย) - Anago (ปลาไหลทะเล) - Kamatoro (เนื้อโอโทโร่ส่วนอกของทูน่า)* - Ikura Uni (ไข่หอยเม่น)* - Negitoro Temaki (ซูชิโรลไส้ปลาโอโทโร่) - Kobe Wagyu A5 (เนื้อวากิว) - Tamagoyaki (ไข่ม้วน) - Hamasui (ซุปหอยตลับ) - Cheesecake (ชีสเค้ก) - Melon + Grape (เมล่อนและองุ่น) เมนูติด * คือที่ประทับใจเป็นพิเศษครับ อย่าง Kapanchio ที่เสิร์ฟมาในถ้วย cocktail มันน่าตื่นเต้นเพราะเป็นเมนูแรก รสชาติมันก็จะฟุ้งๆ หน่อย เป็นครั้งแรกที่ได้กิน Kamatoro มันนุ่มลิ้นบอกไม่ถูก มันไม่มีเอ็นเหนียวๆ ให้รู้สึกรำคาญใจด้วย ส่วน uni นั้นไม่มีกลิ่นเหม็นคาวแต่อย่างใด กุ้งลายเสือญี่ปุ่นนี่ก็หวานดีจัง หัวกุ้งเอาไปทอดเทมปุระ ผมกินเข้าไปทั้งคำเลย [รู้สึกอย่างไร ช่วยบอกหน่อย?] เป็นความรู้สึกแบบ Mixed Feeling เกี่ยวกับ Shinkansen Omakase ขอเล่าทั้งในส่วนที่ประทับใจ และในส่วนที่รู้สึกสะกิดใจนิดๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การกินมื้อนี้ครับ 1) สถานที่ตั้งค่อนข้างสะดวกต่อการเดินทางมาก อยู่ใกล้สถานีสยาม ไปมาสะดวก นี่เป็นข้อเด่นอันดับแรกเลย 2) ตัวร้านยังดูไม่ค่อย exclusive, private และสะอาดเท่าที่ควร เนื่องจากอยู่ในตึกเก่า ชั้นล่างมีลูกค้าค่อนข้างพลุกพล่าน อารมณ์มันดูวุ่นวาย ไม่สงบอย่างที่เราคาดหวัง แม้ในส่วนนี้จะถูกแยกออกมาต่างหาก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเจ๊าะแจ๊ะจอแจตั้งแต่เดินเข้ามาในตึก แม้ที่ร้านจะมีเครื่องดักแมลงหลายตัว แต่ก็ยังเห็นแมลงหวี่เล็ดลอดเข้ามาได้ 3) การต้อนรับและการบริการทั่วไปจัดได้ว่าดี เชฟหน้าตาดูยิ้มแย้ม สุขุม ดูไม่ดุดันหรือมีความติสท์เหมือน indy chef ที่มีชื่อเสียงบางคนที่ยากต่อการเข้าถึง 4) วัตถุดิบที่นำมาใช้จัดได้ว่าพรีเมียม อย่างปลาโอโทโร่ (เนื้อดี นุ่มลิ้นไม่ติดเอ็น) ไข่หอยเม่น (เป็นคนไม่ชอบกลิ่นไข่หอยเม่น แต่ของที่นี่กินได้ ไม่มีกลิ่นสะดุดจมูกเลย แสดงว่าคุณภาพดีกว่าเกรดทั่วไป) หอยนางรม (ก็ไม่คาว) แต่มีติงนิดนึงคือเมนูเชฟชาญจะมีรสจัดจ้านสไตล์ไทยมากไปหน่อย เกือบทุกเมนูถ้าไม่กินกับ ponzu ก็จะมีซอสราดและโรยผิวส้ม yuzu ลงไปด้วย จนบางครั้งแยกไม่ออกว่าซูชิแต่ละคำที่ใช้ปลาคนละชนิดแต่ละส่วนมีรสสัมผัสแตกต่างกันอย่างไร? 5) ทุกเมนูมีที่มาที่ไป มีเรื่องราว และกรรมวิธีการทำค่อนข้างซับซ้อน น่าสนใจสำหรับมือใหม่หัดกินโอมากาเสะ แต่เรายังไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์สุนทรียะได้ครบทุกมิติ เรื่องเล่าไม่ได้ถูกเล่าอย่างออกอรรถรสจนต้องร้องว้าว บางเมนูถูกปรุงเกือบเสร็จมาแล้ว แค่นำมาตกแต่งเพื่อจัดเสิร์ฟต่อหน้า ทำให้พลาดโอกาสในการเห็นเบื้องหลังการถ่ายทำที่ดูน่าอัศจรรย์ใจ การกินโอมากาเสะให้จบใน 1 ชั่วโมงครึ่งน่าจะเป็นอะไรที่บีบคั้นมาก คงเป็นเราเองที่อาจคาดหวังความเป็น slow food ที่ปล่อยให้ใจมันเตลิดกับการกินอาหารมื้อพิเศษที่สัมผัสได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และจินตนาการ 6) ราคาเริ่มต้นต่อหัวคือ 1,500 บาท นับว่าไม่แพงสำหรับคนที่อยากทดลองกินโอมากาเสะ พอเริ่มจ่ายหลัก 3,000-5,000 บาท มันก็จะมาพร้อมความคาดหวังที่วิจิตรบรรจงขึ้นไปอีก รีวิวนี้ถือเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลนะครับ เขียนจากประสบการณ์ตรง ซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างจากท่านอื่นก็ได้ คงต้องสะสมประสบการณ์การกินต่อไป กินให้รู้ กินให้เข้าใจ และเข้าถึงความพิเศษของอาหารมื้อหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดเราไปตลอดกาล... อ่านต่อ
0 Like0 Comment
photo