- หน้าแรก
/
- Complimentary Purple Jam flatbread ร้าน Canvas


ออกจาก Comfort Zone คืองานของเราขอสวัสดีเพื่อนๆชาววงในกันอีกครั้งกับผม Pednoii AhHa วันนี้ผมได้รับโอกาสไปงาน Wongnai Testing อีกครั้งกับร้าน “Canvas” ร้านอาหารสไตล์ Contemporary Bangkok Cuisine เป็นร้านอาหารที่นำเสนอวัตถุดิบจากกรุงเทพรวมทั้งของไทย มาผสมผสานสร้างสรรค์อาหารด้วยเทคนิคการทำอาหารแบบสมัยใหม่ ให้กลายเป็นศิลปะอาหารในแนวร่วมสมัยที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งรังสรรค์โดยเชฟ Riley Sanders จาก Texas การันตีความอร่อยจากประสบการณ์ร่วมงานกับร้านมิชิลินมาแล้ว โดยแรงบันดาลใจจากเชฟที่มาเปิดร้านอาหารในเมืองไทย เกิดจากเชฟประทับใจในเมืองไทย และเห็นวัตถุดิบหลากหลายของเมืองไทยแล้ว เกิดความอยากที่จะ Challenge ตัวเองขึ้นมา เลยกลายมาเป็นร้าน Canvas นั่นเอง
ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ริมถนนทองหล่อใกล้กับซอยทองหล่อ 5 ครับ ไม่มีที่จอดรถ แต่ทางร้านจะนำรถไปจอดให้ครับ พอจะกลับก็แจ้งทางร้าน เพื่อให้ทางร้านไปรับรถมาคืนให้ครับ ร้านจะมี 2 ชั้นกับ 4 โซนที่ผมพอจะแบ่งได้ โดยชั้นล่างจะมีทั้งแบบโต๊ะคู่ และแบบนั่งเคาเตอร์ ซึ่งแบบหลังจะสามารถดูการทำอาหารของเหล่าเชฟทั้งหลายได้เลยครับ ส่วนชั้นบนจะมีโซนบาร์งามๆ และโซนโต๊ะอาหารเช่นกัน แต่ขอแอบบอกนิดๆว่า ช่วงร้านเปิดใหม่ๆ แอร์ค่อนข้างร้อนเลยครับ โดยเฉพาะชั้นบน สำหรับเมนูของเราวันนี้ เนื่องจากเป็น Testing ปริมาณอาหารจึงน้อยกว่าปกติ เพราะเน้นเรื่องของรสชาติกับการติชมอาหารมากกว่าครับ โดยเรามาดูกันครับว่าวันนี้มีอะไรมานำเสนอบ้าง
เริ่มต้นด้วยเครื่องดื่ม Mock tail กับ Preserved Mangosteen With Ginger Ale เป็นน้ำมังคุดที่นำไปหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน รสชาติจะออกเปรี้ยวๆค่อนหวานนิดๆ ก่อนเสิร์ฟจะเติม Ginger ale เพิ่มความซ่าและสดชื่นก่อนชิมอาหารนั่นเอง นอกจากนี้ยังมี Mock tail อีกอันอย่าง น้ำว่านหางจระเข้กับน้ำฝักบัวเชื่อม(ชื่อภาษาอังกฤษไม่ทราบ) แต่เมนูนี้ไม่ได้ชิมครับ โดยบาร์เทนเดอร์มาจากร้าน Rabbit hole การันตีความอร่อยครับ ส่วนไวน์ที่เสิร์ฟจะมี 2 อย่างคือ LAPLAYA CHARDONNAY “un-oaked” 2016 กลิ่นหอมและรสชาติใช้ได้ครับ และ COL DI SASSO TOSCANA 1GT - SANGIOVESE & CABERNET SAUVIGNON 2015 ไวน์แดงกลิ่นหอมเช่นกัน แต่ส่วนรสชาติไม่ได้ชิมครับเพราะต้องขับรถ T_T
ตอนนี้เรามาเริ่มในส่วนของอาหารกันดีกว่าครับ
1. Complimentary_Purple Jam flatbread: เริ่มต้นด้วยเมนู Appetizer กับแป้งสาลีผสมกับมันม่วง มาทำเป็นขนมปัง นำไปย่างเพิ่มความหอม และทาด้วย Spread ที่ทำมาจาก มันหมู ผสมกับกระเทียมและสมุนไพรหลายๆชนิด และโรยด้วยหมูหยองที่ค่อยข้างกรอบและเป็นเม็ดเล็กๆ รสชาติจะแอบเผ็ดนิดๆ ทานกับขนมปังแล้วเข้ากันดีมากๆครับ
2. Raw Phuket cobia & sour tangerine beet, Szechuan pepper: ปลาช่อนทะเลจากภูเก็ตมาทำ Sashimi ราดด้วยซอสส้ม Beet puree ซึ่งมีราดน้ำมันสับปะรดลงไป และโรยด้วยพริกเสฉวนบางๆ ตัวปลาไม่มีกลิ่น ส่วนรสชาติปลาไม่คาวและเนื้อหวานใช้ได้เลยครับ ทานกับบีตรูทหั่นบางที่รสชาติไม่มีรสคล้ายๆแครอทติดมาเลยครับ ส่วนตัวซอสออกหวานครับ ทานด้วยกันรสชาติค่อนข้างแปลกแต่อร่อยครับ
3. Market vegetables chili shaved ice, herbs: เมนูผักและสมุนรวมกันกว่า 30 ชนิดจากตลาดสดในกรุงเทพฯ ที่เชฟเดินค้นหามานำเสนอ โดยแต่ละวันผักที่ใช้นั้นแทบจะไม่เหมือนกันทั้งหมดครับ โดยวันนี้ผักที่พอจะบอกได้นั้น มีคะน้า(ส่วนดอก) แครอท ชะอม มะเขือเทศ ต้นกระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว พริกหยวก ใบชะพลู กะหล่ำม่วง และอื่นๆ โปะด้วย Chili Shaved ice หรือตัวน้ำจิ้มพริกแช่แข็ง ทานแล้วรสชาติพริกออกเผ็ดหน่อยๆ จะช่วยกลบความเหม็นเขียวจากผักไปได้บางส่วน และเพิ่มความสดชื่นด้วยกลิ่นหอมๆจากพริกครับ เป็นเมนูที่ Creative มากๆครับ
4. Grilled squid, filled with cha-om coriander, passionfruit: หมึกกล้วยไซส์กลางๆ นำไป Grilled เนื้อนุ่มใช้ได้ ราดด้วยน้ำซอสเสาวรส ออกเปรี้ยวดับคาวได้ดี ทานคู่กับชะอมที่ส่วนนึงนำไปทอด และอีกส่วนนำไปยัดไส้หมึกและ Grilled ไปด้วยกันครับ เมนูนี้ไม่ค่อยแปลกเท่าไรครับ แต่ชอบตรงที่นำซอสเสาวรสมาราดครับ
5. Shrimp noodles & shrimp head sauce kaffir lime, red chili: เมนูเส้นพาสต้าทำจากแป้งข้าวเหนียว(อ่านไม่ผิดครับ แป้งข้าวเหนียวจริงๆ) มาคลุกเคล้ากับซอสที่ทำจากหัวกุ้งและใบมะกรูดครับ กลิ่นกุ้งมาแต่ไกลครับ แต่ได้ความหอมจากใบมะกรูดกลบไว้ครับ และโรยด้วยพริกป่นครับ แรงบันดาลใจเมนูนี้มาจากผัดไทกุ้งสดครับ รสชาติแป้งข้าวเหนียวค่อนข้างชัดเหมือนทานเส้นก๋วยเตี๋ยวเลยครับ แต่ค่อนข้างเลี่ยน เพราะเมนูนี้นำเสนอแต่เส้นครับ ควรมีเนื้อสัตว์มาช่วยตัดรส หรือใส่หัวกุ้งลงไปจริงๆด้วยครับ
6. Wild mushrooms & duck yolk brassicas, Thai truffle: เมนูเห็ดผัดกับซอสเค็มๆ กลิ่นเนยหอมมากๆ ทานคู่กับไข่แดงจากไข่เป็ดที่นำไป Sous Vide หรือการนำไข่แดงไปใส่ในถุงสุญญากาศ และนำไปต้มในน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสตลอด 3 ชั่วโมง โดยการเจาะไข่แดงและคลุกเคล้ากับตัวเห็ดให้เข้ากัน และด้านบนจะตกแต่งด้วยผักคะน้าส่วนดอกและผักอื่นๆอีก 2 อย่างครับ รสชาติค่อนข้างเค็มไป โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ และตัวไข่แดงเองไม่ค่อยเหลวพอ ถ้าหากรสชาติอ่อนกว่าและไข่เหลวกว่านี้ เมนูนี้จะอร่อยที่สุดเลยครับ ส่วน Thai truffle นั้นคือเห็ดเผาะครับ
7. Meklong catfish, caramelized with tamarind eggplant, grape, coconut: นำเสนอความแปลกด้วยการนำปลาดุกแม่กลองมา Grilled กับซอสมะขาม ทานกับน้ำกะทิที่ราดบนองุ่นที่นำไปเผา 1 ชิ้นและทานสดอีก 1 ชิ้น และมะอึกหรือ eggplant จากภาคอีสาน และซอสสีเขียว herb puree ครับ โดยแรงบันดาลใจจานนี้ได้จากปลาไหลย่างของญี่ปุ่นครับ ซึ่งรสชาติปลาดุกบ้านๆ ที่เรากินกับส้มตำ นำมา Grilled นั้นรสชาติไม่คาว เนื้ออร่อยและเข้ากับองุ่นมากๆครับ แต่ตัวมะอึกอาจจะดูตัดๆกันจนรสชาติแปลกๆไปหน่อยครับ เวลาทานต้องทานด้วยกันทั้งหมดครับ
8. Pigeon & roasted watermelon wild pepper leaf: เมนู Signature ของร้านกับการนำเนื้อนกพิราบ ส่วนอกไป Grilled แบบ Medium Rare และส่วนขานำไปทอดครับ รสชาติให้ความรู้สึกเหมือนทานเนื้อไก่แต่มีความละมุนกว่ามากๆครับ ทานคู่กับแตงโมย่าง รสชาติจะออกแห้งๆหน่อยครับ ทานคู่กันกับใบชะพลู รสชาติใช้ได้เลยครับ เนื้อนกพิราบส่วนอกจะหั่นค่อนข้างยาก แต่ตัวเนื้อนั้นนิ่มมากๆและไม่คาวครับ และน้ำสีเขียวๆนั้นคือน้ำจากใบชะพลูคัรบ
9. Bone-in thai wagyu short rib, grilled peppercorn, pandan: เมนู Signature ที่ทุกคนรอคอยกับเนื้อวากิวที่นำไป Grilled โดยนำส่วนซี่โครงมานำเสนอ ดับกลิ่นด้วยใบเตย ตัวเนื้อนิ่มมากๆเพราะส่วนใหญ่จะเป็นไขมันครับ เกือบจะละลายในปากได้เลยครับ โดยเฉพาะเนื้อติดซี่โครง ส่วนนี้อร่อยและนุ่มมากๆ รสชาติการปรุงแต่งตัวเนื้ออร่อย กลมกล่อม ฟินเลยครับ แต่รสชาติจะค่อนไปทางหวานครับ ถ้าใครไม่ชอบเลี่ยน เมนูนี้ไม่แนะนำครับ สำหรับเมนูนี้ต้องสั่งจองล่วงหน้าเท่านั้นเพราะวัตถุดิบมีจำกัด ของจริงใหญ่และราคาแรงตามขนาดเลยครับ
10. Lamb beck & Blood Clam: เมนูนี้อยู่นอกรายการ เนื่องจากมีบางท่านไม่ทานเนื้อวัว ทางร้านจึงนำเสิร์ฟเมนูนี้ให้ลองชิม โดยเอาเนื้อแกะมา Grilled เหมือนกัน เนื้อนุ่มมากและไม่คาวเลย เพิ่มเติมคือทานกับสตอชิ้นเล็ก โดยกลิ่นสตอหึ่งมาก แต่รสชาติละมุนมากๆ และยังมีซอสที่ทำจากสตอที่หอมและอร่อย รวมทั้งเนื้อหอยแครง ทานเนื้อแกะ สตอ ซอสสตอ และหอยแครงพร้อมกัน ได้ความนุ่มจากเนื้อ ความละมุนจากสตอ และควาหวานจากเนื้อหอย โดยรวมแล้ว มันแปลกและไม่น่าจะเข้ากันเลย แต่อร่อยที่สุดในทุกจานเลยครับ
11. Roasted chestnut cake bael, tangerine: เค้กเกาลัคและครีมซอสที่ทำจากมะตูม ทานคู่กับเมอแรงก์ส้ม รสชาติเข้ากันมากๆ ทั้งตัวเค้กและเมอแรงก์ที่ตัดรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี ตัวเค้กมีความนิ่มกำลังดี เมนูนี้คนที่แพ้แป้งก็สามารถทานได้เช่นกันครับ
12. Melon shaved ice & jellies coconut, mango, rambutan: ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่นำเมลอนไปทำเป็นน้ำแข็งไส ทานคู่กับเจลลี่ที่ทำจากมะพร้าว มะม่วง และเงาะครับ รสชาติเข้ากันใช้ได้เลยครับ
สรุปการรีวิวร้านนี้รสชาติอาหารอาจจะแปลกๆไปหน่อย แต่ความคิดสร้างสรรค์บวกกับความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนรสชาติอาหารจำเจแบบเดิมๆ ให้เกิดความแปลกใหม่ด้วยวัตถุดิบจากไทยๆ หลุดจากกรอบเดิมๆ สำหรับผมแล้ว ถือว่าความตั้งใจนี้สำคัญกว่ารสชาติหรือปริมาณอาหารมากๆครับ เชฟได้บอกกับทุกคนที่มา Testing วันนี้ว่า เค้าต้องการที่จะนำเสนออาหารด้วยวัตถุดิบที่เค้าไม่เคยเจอ ไม่เคยชิม ไม่เคยใช้ มานำเสนอให้กับแขกที่มาทานอาหารที่ร้านเค้า ซึ่งเป็นทั้งการ Challenge ตัวเชฟเอง และเป็นการสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับร้านของเค้าเอง ซึ่งผมประทับใจใน Memo นี้มาก และผมเอง อยากให้ร้าน Canvas สร้างสรรค์อาหารให้มีความหลากหลาย และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ต้องไม่ทิ้งความเป็น Original ไปครับ
ขอขอบคุณ Wongnai ที่มอบโอกาสดีๆ ได้มาลองชิมและเปิดโลกทัศน์ของศิลปะอาหารใหม่ๆ และขอขอบคุณพี่ๆ Elite โดยเฉพาะพี่ตุ่น @Toon_Happyeater ที่ให้ความรู้เรื่องอาหารที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนครับ สำหรับรีวิวนี้ใช้เวลาเขียนนานที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วครับ T_T สำหรับท่านไหนที่อยากรู้อยากลอง กล้าเสี่ยงที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะรสชาติอาหารที่คาดเดาไม่ได้อย่างร้าน Canvas ละก็ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ
28 Likes0 Comment
