- หน้าแรก
/
- รูป Empty Plates Bangkok

4.3

อาหารฟิวชั่นไทยฝรั่งรสชาติจัดจ้าน โดยฝีมือของเชฟฝรั่งเนื่องจากทุกท่านที่ไปทานอาหารด้วยกันอยากให้ผมรีวิวก่อน ถ้าผิดถูกประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
เป็น Chef Table ที่มีความลึกลับมากอีกร้านนึงและได้มีโอกาสจาก Wongnai มาทานที่สถานที่แห่งนี้ครับ โดยตำแหน่งร้านทางเชฟขอให้เป็นความลับเนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนตัวครับ สำหรับใครที่อยากทานให้เข้าไปที่ Facebook หรือ website: http://emptyplatesbangkok.com/reservation/ เพื่อติดต่อจองทานอาหาร โดยราคาอยู่ที่ 2400 บาทต่อ 7-9 เมนูต่อคอร์สพร้อมกับ welcome drink ที่เป็น cocktail หรือ mocktail ได้เช่นกันครับ แต่ถ้าใครอยากทานไวน์ด้วย ต้องเปิดเป็นขวดอย่างเดียวครับ มีทั้งไวน์ขาวและไวน์แดงครับ ขั้นต่ำ 4 ท่าน
ตัวร้านจะเป็นห้องเล็กๆ ที่มีโต๊ะกลมประมาณ 5 ตัว และกลิ่นในร้านอาหารเป็นกลิ่นอาหารไหม้ คล้ายๆปลาทูทอดครับ ด้วยความที่เป็นครัวแบบบ้านๆ การควบคุมกลิ่นอาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร นอกจากนี้ระเบียงด้านนอกเองก็สวยเช่นกัน แต่รองรับคนได้ประมาณ 2 – 3 ท่านอย่างมากครับ
ก่อนอื่นขอแนะนำเชฟ Steve John ลูกครึ่งไทยสวิส โดยโตมาจากสวิสเซอร์แลนด์ แต่ด้วยความเป็นไทยในตัวจึงกลับมาเมืองไทยโดยเก็บประสบการณ์จากร้านอาหารต่างๆ รวมทั้งสายการบินชื่อดังหลายแห่ง ก็ได้เชฟเป็นผู้คิดค้นเมนูให้ครับ และเชฟเองด้วยความที่ชอบความเผ็ดของพริกและความจัดจ้านของอาหารไทย จึงนำสิ่งต่างๆเหล่านี้มาสร้างสรรค์อาหารและเปิดร้าน Empty Plate แบบ Chef Table ในเดือนเมษายน 2018 นอกจากนี้เชฟยังรับทำอาหารตามงานเลี้ยง Private ต่างๆ ซึ่งสามารถสอบถามเชฟในส่วนนี้ได้เพิ่มเติม เชฟพอฟังภาษาไทยออกและพูดไทยบางคำชัดมาก แต่โดยหลักจะเน้นภาษาอังกฤษซึ่งเชฟถนัดกว่าครับ
สำหรับวันนี้เรามาเริ่มต้นที่ตัว Welcome Drink ซึ่งเป็น Mango+Passion Fruit โดยทำเป็นทั้ง Puree และ juice ผสมกัน รสชาติตัวนี้ไม่ค่อยโดนสักเท่าไร ออกจะจืดไปสักหน่อยครับ และผมได้ชิมตัวที่เป็น Cocktail เช่นกันซึ่งรสชาติเฟรชมากกว่าและไม่ขมแอลกอฮอล์ที่ผสมลงไปเลยครับ ชอบ Cocktail มากกว่าครับ
และมาเริ่มส่วนของ Course ในวันนี้กันครับ
1. Breakfast Khao man gai: เริ่มต้นด้วย starter เบาๆ อย่างข้าวตัง แปะด้วยโครเก้ไก่ทอดด้านนอกกรอบด้านในนุ่มมาก ใช้ส่วนสะโพกมาทำ และซอสเป็นซีอิ๊วดำที่รสชาติเผ็ดและหนืด น่าจะเป็นพริกขี้หนูเอาไปคั่วและกรองให้เอาแต่รสเผ็ดมาอย่างเดียวครับ แรงบันดาลใจตัวนี้มาจากข้าวมันไก่ แต่มาปรับหน้าตาให้ดูมีราคามากขึ้นครับ concept ดีครับแต่ติดที่ execution
2. Switzerland on a plate: หน้าตาเหมือนพิซซ่าที่ด้านบนอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบหลายชนิด ทั้งแซลมอลและไข่แซลมอนที่เป็นตัวชูโรง รสชาติจะออกเค็มๆ ปนหวานและเผ็ดนิดๆ และแป้งด้านล่างกรอบดีครับ
3. Larb Dib namtok – waterfall: จานนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์เลยครับ เพราะว่าตอนแรกที่อ่านเมนูคิดว่าเป็นเนื้อมาทำเป็นทาร์ทาร์ แต่ว่าเชฟนำมะเขือเทศมาทำการปรับสภาพให้น้ำน้อยลงโดยใช้เวลาถึง 2 วันด้วยกัน Texture ที่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนทานเนื้อดิบแบบออแกนิค กินได้อีกและเรื่อยๆ การปรุงรสชาติเหมือนลาบจริงๆ ที่ข้าวคั่วและพริกโดดเด่นมาก ทำให้จานนี้เป็นจานที่ผมประทับใจมากจานนึง และมีขนมปังฝรั่งเศสมาให้ทานคู่กัน ก็เข้ากันได้ดีเลยครับ
4. Nature in a bowl: จานนี้จะพาเข้าสู่โซนสีเขียวของทางร้าน โดยเชฟใช้ปลากระพง มาเป็น main ไม่คาวเลยครับ และน้ำซุปทำจาก watercress จะออกมันๆจืดๆ แต่ให้ความเฟรชๆ ทานคู่กับแตงกวารมควัน เห็ด และใส่ข้าวพองเพิ่มความกรอบ พร้อมกับท๊อปด้วยคาร์เวียร์ที่ออกเค็มนิดๆ จานนี้ใครรักสุขภาพต้องชอบครับ
5. Savory seafood cracker: เป็นการนำปลาหมึกกรอบแบบแผ่นที่รสชาติหวานๆ มาเพิ่มมูลค่าโดยการท๊อปด้วยพุงปลากระพงและซอสศรีราชาที่ทำเป็นลักษณะ Hollandaise ตกแต่งด้วยดอก Bok Choy และหัวหอม รสชาติจะออกหวาน เหมือนจะเลี่ยนแต่พอทานแล้ว อยากทานอีกครับ
6. Spicy Chili pineapple-express: เป็นซุปที่คล้ายๆกับ Nature in a bowl แต่ว่าเปลี่ยนมาใช้สับปะรดเป็น main ของจานนี้ โดยตัวสับปะรดเชฟจะนำไป infuse กับพริกเพื่อให้รสชาติพริกซึมเข้าไปในสับปะรด และมาพร้อมกับกุ้งลายเสือที่ด้านในจะยังไม่สุก เพื่อให้รสชาติหวานยังคงอยู่ และราดด้วยซุปเย็นที่มีส่วนผสมสับปะรดและมัน เพราะทานแล้วจะได้ความมันๆจากแป้งผสมอยู่ รสชาติซุปจะไม่เผ็ดมาก แต่ที่เผ็ดสุดในจานนี้คือสับปะรดอยู่ตรงกลางนั่นเอง
7. Silence of the Thai red lamb: Main Dish จานแรกที่เชฟทำแกะไทยมาเป็นส่วนประกอบหลัก มาทำให้เป็นลักษณะคล้ายๆหมูแดง ซึ่งเป็น Inspiration ของจานนี้ พร้อมกับแตงโมที่นำไป infuse กับโหระพาและสาระแหน่ ท๊อปด้วยพริกหยวก ทานคู่กับโยเกิร์ตขิงที่รสชาติขิงออกนิดๆ ไม่แรงมาก และแยมจากผลนากาโมของญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าที่ทอดกรอบเหมือนเลย์ จานนี้เชฟให้ทานสลับระหว่างเนื้อแกะและแตงโม เพื่อให้รสชาติครบเครื่องที่สุด จานนี้ทำออกมาได้ดีครับ เนื้อแกะนุ่มอร่อย แทบไม่มีกลิ่นสาบเลยครับ ส่วนแตงโมทานแล้วเฟรชดีครับ ล้างลิ้นจากเนื้อแกะได้เป็นอย่างดี
8. Purple rain, violet never fades: Main Dish จานที่สอง เป็น smoked duck อกเป็ดแน่นๆ ทานคู่กับ แครอทสีม่วงที่นำไป puree และผสมกับช็อกโกแลตให้เป็นคล้ายๆซอสตัวนึงเพื่อให้เนื้อติดอยู่กับที่ รสชาติมีให้ texture คล้ายๆทาน mash potato แต่รสชาติมีความซับซ้อนกว่า และจะมีซอสลับที่ชื่อว่า trois rois jus ที่เป็นซอสที่เชฟภูมิใจนำเสนอ โดยซอสตัวนี้ต้องใช้กระดูกของสัตว์ 3 ชนิดประมาณ 10 กิโลกรัมมาเคี่ยวจนได้ซอสเหลือเพียง 1.5 ลิตรเท่านั้นและมีใส่ white wine ลงไปด้วยครับ ตัวซอสนี้จะเหนียวหนึดมาก รสชาติมีหลายมิติ บอกไม่ถูกว่าเป็นยังไงแต่รู้ว่าอร่อยมากครับ ทานกับอกเป็ดเข้ากันมากๆครับ เนื้อเป็ดจะเหนียวไปสักหน่อยเพราะเนื้อแน่นครับ และแกล้มด้วยแครอทสีม่วงและสีส้มที่นำไปทอด เพื่อเพิ่ม texture ความกรุบกรอบ
9. Sweet treats are made of these: เมนูของหวานลับในวันนี้เป้น พานาคอตต้ามะม่วง เสิร์ฟมาพร้อมกับมะม่วงหลากหลายชนิด โดย inspire มาจากมะม่วงเช่นเดียวกัน แต่นำมาเพิ่มคุณค่าของมะม่วงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น มะม่วงอร่อยและพานาคอตต้าผ่านครับ
โดยรวมแล้ว รสชาติอาหารถือว่าดีและคุ้มค่ากับราคา 2400 บาทจริงๆ ครับ ถือว่าได้เปิดประสบการณ์ด้านอาหารเพิ่มเติมและได้ทานอาหารไทยจากเชฟฝรั่งที่เข้าใจวัตถุดิบของไทยจริงๆ อาจจะมีบางอย่างที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติม แต่เชื่อได้ว่าร้านนี้จะไปได้ไกลอีกครับ สำหรับวันนี้ขอขอบคุณเชฟ Steve John ที่ได้นำเสนออาหารที่น่าสนใจมากๆ ให้ได้ทานและขอบคุณทีมงานวงในที่เปิดโอกาสดีๆให้กับเหล่า elite ได้มาทานอาหารดีๆแบบนี้อีก และพี่ๆทุกๆท่านที่ได้มาทานอาหารร่วมกันวันนี้ครับ
1 Like0 Comment



