3.9
130 เรตติ้ง (95 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 11:00
เมนูของร้าน 100มหาเศรษฐ์ สี่พระยา
Wongnai Sneak Peek กับอาหารเหนืออีสานฟิวชั่นสุดหรู กับรสชาติสุดจิ๊ดจ๊าดเปิดรีวิวที่ 300 กับผม Pednoii AhHa สำหรับวันนี้ผมได้รับเชิญเข้าร่วมกิจกรรม Wongnai Sneak Peek จากทางวงใน โดยวันนี้เราจะได้มาชิมอาหารที่ร้านอาหารเปิดใหม่อย่าง “100 Mahaseth” ณ บ้านเลขที่ 100 ถนนมหาเศรษฐ์ โดยเมื่อก่อนร้านนี้เป็นเพียงร้านอาหารเล็กๆที่ขายจิ้มจุ่มทั่วๆไป แต่เมื่อการท่องเที่ยวสไตล์ฮิปสเตอร์กลับมาอีกครั้ง ทำให้คุณอิ๊บ เจ้าของร้านนี้ตัดสินใจลงทุนร่วมกับเชฟชาลี (วันนี้เค้าจะมารังสรรค์อาหารให้ทานกัน) และเชฟแรนดี้จากร้าน Fillets หลังสวน เนรมิตบ้านไม้สักเก่าหลังนี้ให้กลายเป็นร้านอาหารแบบไทยๆ สไตล์โรงนานั่นเอง ร้านนี้มี 2 ชั้น ซึ่งมีทั้งแบบโซน indoor และ outdoor แต่ส่วนใหญ่จะเป็น indoor ท่านใดที่สูบบุหรี่ ทางร้านก็จัดโซนไว้ให้เช่นกัน ชั้นล่างจะเป็นทั้งโซนห้องครัว โดยจะมีตู้แช่เนื้อให้เราได้เห็นเนื้อวัว เนื้อหมู ห้อยอยู่ในตู้ ด้านล่างจะมีวางถาดเกลือไว้สำหรับหมักเนื้อ นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นการทำอาหารของห้องครัวผ่านกระจกได้เช่นกัน มีก๊อกสำหรับกดเบียร์สดอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน และชั้นสองจะมีบาร์ไว้สำหรับบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โซนที่สูบบุหรี่และห้องน้ำจะอยู่ชั้นนี้ครับ วันนี้ทางร้านได้จัดโซนชั้น 2 ไว้สำหรับทานอาหารโดยเฉพาะ ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูงเลยทีเดียว และยังมีฉากขาวไว้สำหรับถ่ายอาหารด้วยครับ สำหรับการเดินทาง ซึ่งถ้าขับรถยนต์มาสามารถจอดได้ที่หน้าร้านเลยครับ หรือถ้าไม่อยากจอดรถที่ข้างทาง สามารถสอบถามกับทางร้านเพื่อหาที่จอดประจำของทางร้านได้เลยครับ แต่ถ้ามาด้วยขนส่งสาธารณะ แนะนำว่าให้นั่งแท๊กซี่มาลงที่หน้าร้านจะสะดวกที่สุดครับ ก่อนที่เราจะมารีวิวอาหารกันนั้น ขอเกริ่นถึงสไตล์อาหารของร้านนี้สักนิด ร้านนี้เมนูอาหารหลักๆจะเป็นอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นซึ่งจะค่อนไปทางอีสานและเหนือเป็นหลักครับ รวมทั้งจะมีปนนานาชาติมานิดๆหน่อยๆ ซึ่งแรงบันดาลใจของร้านนี้ เชฟชาลีได้เล่าว่า เชฟอยากทานอาหารสักอย่าง แต่เมนูเหล่านั้นมักจะไม่มีใครทำ เชฟเลยสรรค์สร้างเมนูอาหารที่หาทานได้ยากๆ หรือหาทานไม่ได้แล้ว ด้วยการนำวัตถุดิบแปลกๆ เช่นสมองหมู มาทำให้กลายเป็นเมนูที่มีรสชาติในแบบที่เชฟอยากจะทาน หรือจะเป็นเครื่องในที่เราเห็นทุกวันอย่าง ผ้าขี้ริ้ววัว มานำเสนอในรูปแบบที่คาดไม่ถึง วัตถุดิบหลายๆอย่างเชฟจะออกเดินทางค้นหาไปทั่วประเทศ และส่งวัตถุดิบเหล่านั้นกลับมาปรุงอาหารให้เราทานกัน ถึงแม้ว่าทั้งเชฟชาลีและเชฟแรนดี้เพิ่งจะมาจับอาหารไทย แต่กระนั้นเชฟยังนำประสบการณ์ที่มีจากอาหารนานาชาติ มานำเสนอเป็นอาหารไทยให้เราทานกันได้ โดยเรียนรู้เทคนิคหลายๆอย่างจากลูกมือที่ทำอาหารไทยอยู่แล้วนั่นเอง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่ารสชาติจะไม่ถูกปาก สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของร้านนี้จะเป็นชาวต่างชาติ ที่อยากจะทานอาหารไทยรสชาติแท้ๆ (รสชาติจัดจ้านไม่หวานเกินไป) และถ้าคนไทยมาเอง ผมบอกได้เลยว่าถูกปากอย่างแน่นอน เกริ่นกันไปแล้ว เรามาดูกันดีกว่าครับว่าวันนี้ทางร้านนำเสนออะไรบ้าง เริ่มต้นกันด้วยน้ำจิ้มกัน ร้านนี้จะมีน้ำจิ้มอยู่ด้วยกัน 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ 1. Thai chimichurri: น้ำจิ้มสไตล์อาร์เจนตินา ที่นำมาดัดแปลงสูตรให้เป็นแบบไทยนิดๆ ไว้สำหรับทานกับเนื้อครับ จะค่อนข้างมันๆเนื่องจากส่วนประกอบหลักเป็นน้ำมันมะกอก รสชาติผักชีจะโดดเด่นมาก และมีพริกแห้งตกแต่งครับ 2. จิ้มแจ่ว: รสชาติดีมากๆครับ เปรี้ยวนำและหวานตาม ความเผ็ดไม่มากเท่าไร แต่ช่วยชูรสชาติอาหารได้ดีเลยครับ 3. แจ่วบอง: ซอสสไตล์ภาคอีสานซึ่งส่วนประกอบหลักๆจะมาจากปลาร้าต้มสุก ดังนั้นทานได้ไม่ต้องกลัวท้องเสีย เสิร์ฟมาในถ้วยหินพร้อมกับช้อนไว้ตักครับ เป็นน้ำจิ้มที่ผมประทับใจที่สุดครับ เพราะรสชาติจัดจ้านแถมเผ็ดมาก แต่มีความหอมอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญไม่ได้กลิ่นปลาร้าเลยครับ ทั้ง 3 อย่างนี้จะเสิร์ฟคู่กับแคปหมูที่ค่อนข้างกรอบครับ แต่อาจจะแข็งไปสักหน่อยสำหรับคนที่ดัดฟันครับ และยังมีผักสดๆ ได้แก่ ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง ผักแพ้ว แตงกวา มะเขือ ผักชี โหระพา และขแยง ไว้สำหรับทานกับเนื้อต่างๆด้วยครับ ผ่านน้ำจิ้มไปแล้ว เรามาดูเครื่องดื่มกันดีกว่า 1. Passionfruit Juice ราคา 80 บาท: รสชาติจะค่อนข้างเปรี้ยวเป็นธรรมดา แต่ยังได้ความหวานเล็กๆครับ ทานแล้วสดชื่นมากๆ 2. โด่ไม่รู้ล้ม(ยาดอง): Welcome Drink ที่ทางร้านเตรียมไว้ต้อนรับครับ รสชาติเมื่อทานเข้าปากจะได้ความเย็นแบบมิ้นต์ๆครับ แต่เมื่อแอลกอฮอล์เริ่มทำงานจะทำให้ร้อนถึงร้อนมากๆครับ ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่แพ้แอลกอฮอล์ครับ ผมเองทานแล้วหน้าแดงมากและทำให้ประสาทรับรสชาติหน่วงๆไปด้วยครับ ประมาณ 2 ชั่วโมงถึงจะสร่างครับ โดยยาดองนี้ทางเชฟเป็นคนหมักเองครับ เจอเครื่องดื่มกันไปแล้ว วันนี้ทางร้านจัดเมนูของคาวไว้ให้ถึง 18 เมนูกันเลยทีเดียว และแต่ละเมนูจะเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มกันเลยครับ 1. ไขกระดูกส้าขี้ม่อน ราคา 360 บาท: ประเดิมด้วยไขกระดูกจากวัวซึ่งได้จากกระดูกส่วนแข้งวัวครับ โดยจะนำไปย่างและเผาบนเตาถ่านไม้ลำไยครับ ให้ส่วนของไขละลายออกมา แล้วโรยงาขี้ม่อนคั่ว (เป็นเม็ดกลมๆเล็กๆ ทานแล้วกรุบๆกรอบๆ) ต้นหอมและตะไคร้ ปรุงรสเพิ่มเติมด้วยน้ำตาลปี๊บ มะนาว น้ำปลา และพริกสด ซึ่งจะได้รสชาติที่หวานและมันจากตัวไขกระดูก บวกกับรสเปรี้ยวๆนิดหน่อยจากที่ปรุงรสเพิ่มเติมครับ เสิร์ฟมาในจานสแตนเลส วางบนหินแม่น้ำ โดยส่วนตัวชอบ Texture ตรงที่ทานแล้วกรุบๆ แต่ยังได้รสชาติหวานๆมันจากไขกระดูกครับ แต่จะตักทานค่อนข้างยากพอสมควรครับ เพราะตัวงาขี้ม่อนร่วงง่ายครับ 2. ผ้าขี้ริ้วทอดใส่ “ผักลืมผัว” ราคา 275 บาท: ใครหลายๆคนที่ทานเครื่องใน โดยเฉพาะเครื่องในวัว จะต้องคุ้นชื่อ “ผ้าขี้ริ้ว” หรือสไบนาง หรือกระเพาะวัวส่วนแรกที่เรียกว่า Rumen โดยปกติที่เราเห็นกันจะเป็นสีขาว ซึ่งสีขาวนั้นผ่านการฟอกขาวมาอีกทีครับ เพราะสีปกติจะเป็นสีดำนั่นเอง (ซึ่งถ้าสีดำๆคงจะไม่มีใครกล้าทาน) แต่สำหรับร้านนี้จะนำเสนอเป็นสีแบบออริจินัลเลยครับ วิธีการทำค่อนข้างจะยุ่งยากมากครับ เพราะต้องนำไปต้มในน้ำส้มสายชูถึง 3 รอบด้วยกัน แล้วนำไปตากบนเตาถ่านให้แห้ง จากนั้นก็หั่นและลงทอด หน้าตาจะเหมือนสาหร่ายยี่ห้อเถ้าแก่น้อยเลยครับ ส่วนรสสัมผัสเองก็เหมือนสาหร่ายทอดมากๆเลยครับ เมนูนี้คุณอิ๊บจึงบอกว่า เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทานเครื่องในหรืออยากจะแกล้งโดยหลอกว่าเป็นสาหร่ายครับ แต่ที่แยกออกว่าเป็นผ้าขี้ริ้วนั้น เพราะมันจะมีส่วนที่แอบเหนียวๆ ซึ่งสาหร่ายไม่สามารถทำให้เหนียวขนาดนี้ได้ จะทานเปล่าๆ หรือทานคู่กับน้ำจิ้มที่เสิร์ฟมาด้วยกัน รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ และยังมีผักลืมผัวให้กินคู่กันด้วยครับ สำหรับจานนี้ผมคิดว่าทานกับแจ่วบองอร่อยที่สุดครับ 3. เนื้อเค็ม ราคา 390 บาท: เค็มสมชื่อกับเนื้อเค็มจริงๆครับจานนี้ โดยเนื้อที่ใช้นั้นจะเป็นเนื้อไทย-วากิวครับ เอามาดองในน้ำปลา น้ำตาลปิ๊บ และเครื่องเทศ และตกแต่งด้วยซอสหลนกระเทียมดำที่ทำมาจากหนังควาย ชูรสชาติของเนื้อได้ดีมากๆ เสียดายที่น้ำจิ้มน้อยไปสักหน่อยครับ แต่กระนั้นทานกับจิ้มแจ่วเองก็อร่อยไม่แพ้กัน ช่วยลดความเค็มลงไปได้ค่อนข้างดี ส่วนรสสัมผัสเนื้อ ถือว่าค่อนข้างนุ่มมากเลยครับ เคี้ยวง่าย 4. หัวใจหมูย่างกับสลัดผักชี ราคา 300 บาท: หัวใจหมูที่ผ่านการหมักแล้วนำไปย่างบนไฟอ่อนๆ สไลด์เป็นชิ้นบางๆ ค่อนข้างเคี้ยวง่ายครับ ทานคู่กับสลัดผักชีที่ใส่ผักชีลาว มะเขือเทศ และปรุงด้วยมะนาว ทานด้วยกันแล้วเข้ากันมากๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งน้ำจิ้มใดๆครับ 5. หมูสามชั้นทอดจิ้มน้ำพริกกะปิคั่วผงลาบ ราคา 250 บาท: เมนูชวนอ้วนกับหมูสามชั้นทอด ที่เอาไปหมักด้วยรากผักชีและน้ำปลา ก่อนจะนำไปทอดกรอบ ทานเปล่าๆจะออกเค็มๆ ส่วนรสสัมผัสจะออกแข็งๆไม่กรอบเท่าไร ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าหั่นเป็นชิ้นๆแล้วค่อยนำไปทอดครับ ทานคู่กับน้ำพริกกะปิพริกลาบสูตรประจำร้าน โดยส่วนตัวมองว่ากะปิค่อนข้างจะโดดเด่นไปหน่อยครับ รวมทั้งค่อนข้างเค็มไปหน่อย ทำให้หมูที่เค็มอยู่แล้วยิ่งเค็มไปอีกครับ แต่อย่างน้อยก็ยังมีกะหล่ำปลีย่างไว้ทานคู่กันครับ ซึ่งจะออกฉ่ำๆกรอบๆหน่อยๆครับ 6. ฮอทดอกไส้อั่วรมควัน ราคา 190 บาท: เมนูนี้เป็นเมนูเพียงอย่างเดียวที่ไม่ได้ทำเองทั้งหมด โดยไส้อั่วได้จากร้านที่เชฟชื่นชอบที่เชียงใหม่ ส่วนขนมปังเองก็เป็นร้านที่เชฟชอบเช่นกัน โดยจะนำไส้อั่วมารมควันด้วยถ่านไม้ลำไยประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นนำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ เสิร์ฟบนขนมปังบาแก๊ตและทาด้วยแยมน้ำพริกหนุ่ม หั่นเป็น 2 ชิ้นและเสิร์ฟมาในกล่องสีเหลี่ยมสีแดง รสชาติค่อนข้างจัดจ้านไปจนเผ็ดมากเลยครับ ด้วยความที่ไส้อั่วเป็นแบบเผ็ดครับ บวกกับน้ำพริกหนุ่มที่เผ็ดเช่นกันครับ เมนูนี้จึงเหมาะกับคนที่ทานเผ็ดอย่างยิ่งครับ 7. ข้าวหุง ราคา 40 บาท: คั่นระหว่างจะไปเมนูถัดไปด้วยข้าวเกษตรอินทรีย์จากจังหวัดสุรินทร์ หมายเลข 105 ซึ่งจะมีกลิ่นหอมที่สุดในบรรดาข้าวไทยครับ โดยเป็นการผสมระหว่างข้าวนิลและข้าวหอมมะลิแบบสีเปลือกออกเพียงอย่างเดียว หุงได้นิ่มกำลังดีเลยครับ แอบเสียดายที่ทานไม่หมดเนื่องจากยาดองตีกะเพาะอาหารตลอดเวลาครับ T_T 8. ข้าวปุ้นสมองหมู ราคา 280 บาท: เริ่มองค์สองด้วยเมนูที่หาทานยากมากๆกับ เส้นขนมจีนที่ทานคู่กับ “สมองหมู” ที่นำไปมูสให้เหลวๆ และนำไปต้มในน้ำกะทิ ทานคู่กับหมูกรอบที่ทอดจนกลายเป็นกากหมู ผักสดเช่น ถั่วฝักยาวและถั่วงอก กะหล่ำปลีดอง พริกแห้ง ยังมีกระเทียมเจียวเสิร์ฟคู่ด้วยครับ ตัวเส้นนิ่มและอร่อยมากๆ ส่วนตัวน้ำกะทิรสชาติกลางๆไม่เผ็ดจนเกินไป ส่วนมูสสมองหมูจะออกเลี่ยนๆหน่อยๆครับ รสสัมผัสจะละมุนหน่อยๆแบบละลายในปาก จึงต้องทานตัดเลี่ยนกับน้ำยากะทิครับ เหมาะสำหรับคนที่กล้าลองของแปลกเป็นที่สุดครับ 9. ไส้หมูย่าง ราคา 220 บาท: เมนูร้านหมูย่างที่คุ้นเคย จะเป็นไส้หมูที่นำไปตุ๋นก่อน จากนั้นจะมาทาด้วยซอสสูตรประจำร้าน แล้วนำไปย่างบนเตาถ่านเช่นกัน ซึ่งจะได้กลิ่นไม้ลำไยติดบนไส้หมูด้วยครับ ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสูตรพิเศษรสจัดจ้านกว่าที่เสิร์ฟให้ตั้งแต่ตอนแรกครับ รสชาติไส้ดีมากๆครับ จะออกเค็มๆหน่อยๆ แต่ติดตรงที่ยังมีบางส่วนค่อนข้างเหนียวครับ ส่วนน้ำจิ้มรู้สึกว่าจะไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร แต่ถ้าลองจิ้มกับน้ำจิ้ม Chimichurri เข้ากันได้ดีเลยครับ 10. คางหมูทอด ราคา 320 บาท: เป็นส่วนของหมูอีกส่วนนึงที่อร่อยไม่แพ้ส่วนอื่นๆครับ คางหมูนั้นจะนำไปหมักในน้ำปลาและเครื่องเทศก่อน จึงค่อยนำไปทอด ทานคู่กับข้าวแห้งทอดกรอบเม็ดสีขาวๆ รสสัมผัสของหมูนั้นถือว่าพิเศษที่สุดของจานนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมันนิ่มกว่าส่วนของคอหมูอีกครับ แถมยังได้ความกรุบกรอบจากข้าวแห้งทอดด้วยครับ เมนูนี้หมดไวที่สุดของวันนี้เลยครับ 11. ตำหลวงพระบาง ราคา 160 บาท: ตำอย่างแรกที่เสิร์ฟให้ชิมกันวันนี้ ตำด้วยมะละกอแผ่น ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้าและน้ำปู่ และใส่ปูดองที่ทางร้านทำการดองเอง รสชาติจะเข้มข้นและเผ็ดจัดจ้าน ปิดท้ายด้วยการโรยเม็ดฟักทองสีเขียว ทานแล้วกรุบๆครับ 12. ตำไทย ราคา 160 บาท: ตำไทยสูตรดั้งเดิมโดยใช้มะละกอเส้น ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วเอง รสชาติจะค่อนไปทางหวานหน่อยๆครับ แอบเผ็ดเบาๆ เสียดายตรงที่น้ำยำค่อนข้างจะเยอะไปหน่อยครับ ส่วนตัวเส้นค่อนข้างกรอบเลยทีเดียว ถ้าแช่น้ำแข็งก่อนตำจะฟินมากๆครับ 13. ห่อหมกสมองหมู ราคา 300 บาท: เริ่มองค์สามกับเมนูที่หาทานยากมากๆกับการนำ สมองหมูไปคลุกกับเครื่องเทศสูตรประจำร้าน ห่อด้วยใบตองสด นำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นของใบเตยจะฟุ้งเบาๆเมื่อนำมาเสิร์ฟครับ โดยรสสัมผัสจะค่อนข้างเหมือนมูสในข้าวปุ้นเลยครับ เพียงแต่จะหนักแน่นมากกว่า จานนี้ถ้าทานเพียวๆอาจจะเลี่ยนเนื่องจากเป็นไขมันล้วนๆครับ แนะนำให้หยอดด้วยแจ่วบองซึ่งช่วยตัดรสชาติได้ดีและทานกับข้าวสวย เป็นอะไรที่ฟินมากๆครับ 14. ต้มขี้เหล็กหางวัว ราคา 380 บาท: เมนูสุดพิเศษของทางร้านอีกอย่างนึง โดยซุปจะได้จากการต้มด้วยใบย่านางและปลาทูเค็มครับ ใส่ใบขี้เหล็กที่ตำละเอียด และหางวัวที่ตุ๋นนานจนนุ่มมากๆครับ รสชาติกำลังดีเลยครับ โดยเวลาที่เราทานจะได้ความซ่าๆนิดๆจากใบย่างนาง ความหอมจากใบขี้เหล็ก และความนุ่มละมุนของหางวัว ทานคู่กับข้าวสวยเข้ากันดีที่สุดครับ นอกจากนี้ จานนี้ยังเสิร์ฟคู่กับตำมะอึกรสเปรี้ยวออกหวานหน่อยๆ ไว้แก้เลี่ยนจากใบขี้เหล็กครับ 15. ลิ้นวัวย่าง ราคา 490 บาท: เมนูอีกจานที่สุดแสนประทับใจ ด้วยการนำลิ้นวัวไปตุ๋นก่อนเป็นเวลา 3 ชั่วโมง จากนั้นนำไปย่าง รสสัมผัสนุ่มจนละลายในปากเลยครับ ถ้าทานเปล่าๆจะได้รสไหม้ๆในปากนิดๆครับ แต่ถ้าทานคู่กับน้ำพริกมะระขี้นก จะได้ความขมมาช่วยดึงความหวานของลิ้นวัวด้วยครับ คำแนะนำสำหรับจานนี้ควรจะทานกับมะระขี้นกดีที่สุดครับ แต่ควรใส่มะระขี้นกเพียงนิดเดียว เนื่องจากมะระขมมากๆครับ หรือจะทานกับแจ่วบอง หรือ Chimichurri ก็เข้ากันครับ ตกแต่งด้วย Edible Flower อย่างดอกดาวเรืองแบบ Food Grade ที่เราสามารถทานได้ครับ สีจะออกเหลืองซีดๆไม่เท่าแบบที่เห็นทั่วไป 16. ซี่โครงหมูอ่อนต้มใบชะมวง ราคา 280 บาท: ซุปแก้เลี่ยนหลังจากทานเมนูหนักๆมาหลายจานแล้ว โดยจะนำซี่โครงหมูไปต้มกับใบชะมวง โดยรสชาติจะออกเค็มหน่อยๆ ได้ความหอมและกลมกล่อมจากใบชะมวงครับ ส่วนเนื้อก็นิ่มมากๆ ลอกจากกระดูกได้ง่ายมากๆ โรยด้วยดอกดาวเรือง Food Grade เช่นกัน 17. ซี่โครงแพะย่าง ราคา 580 บาท: ซี่โครงแพะที่นำไปดองในน้ำปลา จากนั้นนำไปย่างให้สุกแบบ medium-well เนื้อมีความนุ่มมากๆ ไม่มีกลิ่นคาวของแพะหลงเหลืออยู่ครับ ทานคู่กับ Chimichurri อร่อยที่สุดครับ อย่าลืมทานเนื้อแพะคู่กับขิงดองเพิ่มความเปรี้ยวและเผ็ดเบาๆ 18. สันคอหมูรมควัน ราคา 330 บาท: ใกล้จะถึงเส้นชัยกับเมนูรองสุดท้ายอย่าง สันคอหมูรมควัน ที่ใครหลายๆคนต้องชอบ โดยจะนำสันคอหมูไปหมักด้วยพริกลาบบสูตรเฉพาะของทางร้าน และสำไปรมควันด้วยถ่านไม้ลำไยถึง 4 ชั่วโมงด้วยกัน เสิร์ฟพร้อมกับสับปะรดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆย่างพริกข่า ตกแต่งด้วยผักแพ้ว ผักชีลาว และ edible flower ดอกดาวเรืองครับ เมนูนี้รสชาติจะหนักเครื่องเทศเป็นหลัก ซึ่งรสชาติเผ็ดจากพริกลาบจะโดดเด่นเป็นพิเศษครับ ทานเพียวๆก็อร่อยแล้วครับ หรือจะทานกับน้ำจิ้มแจ่วก็โอเครเช่นกัน ส่วนรสสัมผัสของเนื้อนุ่มและได้กลิ่มหอมเบาๆจากคอหมูด้วยครับ 19. Tenderloin ราคา 780 บาท: เมนูของคาวจานสุดท้ายของวันนี้ โดยเนื้อที่ใช้เป็นเนื้อวัวไทย-วากิว ส่วนสันในที่นุ่มที่สุดจากสุรินทร์ ไม่มีไขมันแทรก นำมาย่างแบบ Medium Rare ด้วยถ่านไม้ลำไยเพื่อเพิ่มความหอม เนื้อมีความชุ่มฉ่ำและหวานมากๆ นอกจากนี้ยังนุ่มสมชื่อเลยครับ ทานคู่กับยำมะเขือเผาถึง 3 ชนิดด้วยกัน โดยหลักๆจะเป็นมะเขือเปาะครับ จานนี้มีความเป็นไทยค่อนข้างสูงมากๆ เพราะว่าเนื้อเองก็ผ่านการหมักเครื่องเทศก่อนนำไปเผา และยำมะเขือเผาเองก็ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีเช่นกัน ถือเป็นการปิดองค์ 3 ของมื้อนี้ได้สมบูรณ์ครับ ผ่านของหวานกันมาแล้ว ต่อไปก็ต้องปิดท้ายด้วยของหวานครับ ซึ่งในวันนี้เมนูเชอร์เบทสับปะรดยังไม่พร้อม จึงมีลอดช่องวัดเจษฯ เสิร์ฟแทนครับ ซึ่งค่อนข้างสดใหม่เลยทีเดียว ตัวลอดช่องยังนิ่ม และส่วนของน้ำกะทิก็ยังไม่เป็นไขครับ สรุปปิดท้ายสำหรับมื้ออาหารวันนี้ถือว่าทำได้ประทับใจมากๆครับ ในเรื่องรสชาติค่อนข้างจัดจ้านสมกับเป็นอาหารไทยจริงๆครับ เสียดายที่ผมทานเผ็ดมากกว่านี้ไม่ได้ อาจจะมีบางเมนูที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ในเรื่องของการบริการก็ดีเยี่ยมครับ ส่วนอาหารมาค่อนข้างไวมากครับ ทำให้บางช่วงอาหารเต็มโต๊ะเลยครับ ในเรื่องของการสร้างสรรค์นั้นถือว่าดีเยี่ยมครับ โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์ที่นำผ้าขี้ริ้วมานำเสนอใหม่ในรูปแบบสาหร่าย O_O และความพิถีพิถันไม่ได้อยู่แค่เฉพาะอาหารเท่านั้น ยังรวมไปถึงจานชามช้อนที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เข้ากับบรรยากาศมากๆ ซึ่งแอบสงสารพนักงานเลยครับเพราะว่าแต่ละภาชนะนั้นหนักมากๆครับ สำหรับร้านนี้ ถ้าใครมีเพื่อนชาวต่างชาติมาเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วละก็อย่าลืมพามาร้านนี้นะครับ และขอขอบคุณทีมงานและพี่ๆ Elite user ทุกท่านที่มาร่วมกิจกรรมวันนี้ด้วยกันนะครับ ถ้ารีวิวนี้มีข้อผิดพลาดประการต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ... อ่านต่อ
45 Likes0 Comment
photo