4.3
87 เรตติ้ง (60 รีวิว)
ปิดอยู่จะเปิดในเวลา 18:00
เมนูของร้าน Cuisine de Garden BKK กรุงเทพ
อาหารฝรั่งเศสที่ผสมผสานกลิ่นอายความเป็นไทยได้อย่างสร้างสรรค์ Cuisine de Garden BKKร้านอาหารฝรั่งเศส สาขาที่ 2 ของ " เชฟแนน ลีลาวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ " พิกัด อยู่ที่ เอกมัย ซอย 2 เข้าซอยมา ร้านจะอยู่ทางขวามือ จอดรถได้ที่โรงแรม sommerset เลยร้านไปนิดนึงค่ะ ร้านเพิ่งเปิดเมื่อเดือน กค. ที่ผ่านมา ครั้งนี้ได้มาเทสติ้งกับทางวงใน ต้องขอขอบคุณวงในและ Cuisine de Garden มา ณ ที่นี้ด้วยที่ให้การต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดีค่ะ ตัวเชฟแนนยังเป็นเชฟอาหารโมเลกุลด้วยค่ะ ซึ่งวันนี้เค้าบอกว่าอาหารเค้าจะใส่ความเป็น Molecular เล็กๆ ลงไปด้วย เริ่มตื่นเต้นจนอยากจะชิมซะตอนนี้เล้ยยยย สำหรับการตกแต่งร้าน จะเป็นแนว เรียบหรูด้วยสีดำจากเฟอร์นิเจอร์อย่างโต๊ะ เก้าอี้ และสีเทาจากปูนเปลือย แต่ดูอบอุ่น ด้วยการเลือกโทนสีน้ำตาลจากไม้มาผสมผสาน ตัวร้านไม่ได้ใหญ่มากจึงมีการใช้กระจกมาตกแต่งทำให้ร้านดูกว้างขึ้น เน้นความเป็นธรรมชาติ จากวัสดุที่เลือกใช้เป็นพื้นไม้ และ “ ต้นไม้ ” (มาทั้งต้น) ประดับอยู่ในร้านเลยค่ะ เก๋ไก๋แต่มีความเป็นธรรมชาติสมคอนเซปร้านจริงๆ ถึงแม้ร้านจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ออกแบบจัดสรรพื้นที่ใช้สอยได้ลงตัว มีทั้งโซนดินเนอร์และโซนบาร์ด้วย ซึ่งโซนบาร์ตรงพื้นจะโรยก้อนหินไว้โดยรอบ ต่างจากโซนดินเนอร์ที่เป็นพื้นไม้เรียบหรู จึงให้ความรู้สึกที่เข้าถึงธรรมชาติยิ่งขึ้น โซนนี้ก็มีต้นไม้ประดับกับไฟหิ่งห้อย ซึ่งตอนกลางคืนจะดูสวยและโรแมนติคไปด้วยไฟดวงเล็กๆระยิบระยับ น่านั่งมากๆค่ะ Cuisine de Garden เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส ในเรื่องของอาหาร เมนูจะมีให้เลือกไม่มากนัก เพราะเชฟจะใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และเน้นไปที่ความสดใหม่เท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส เชฟแนนยังใช้ พืชผัก สมุนไพร ไทยๆ มาผสมผสานกันอย่างลงตัวด้วย (คือชอบอ่า) และแต่ละจานที่รังสรรค์ออกมายังได้รับแรงบันดาลใจจากความงามของธรรมชาติด้วยนะ ส่วนเมนูอาหาร เชฟแนนบอกว่าจะเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน การสั่งอาหาร ที่นี่จะเสิร์ฟอาหารเป็น Course หรือจะเลือกสั่งเป็น A la carte ก็ได้ (แต่แนะนำว่าสั่งเป็น Full course ดีกว่า ถูกกว่าและได้ฟิลกว่าด้วย) ซึ่ง Full course dinner ของเค้ามีถึง 4 Chapter ด้วยกัน ก่อนเริ่ม course นั้น จะเสิร์ฟอาหารว่างขนาดพอดีคำ มาแบบจุใจถึง 4 คำ ค่ะ แถมยังอร่อยมากๆ เริ่มต้นเลย ทางร้านจะมี Brioche อบร้อนๆ มาเสิร์ฟให้คนละ 1 ชิ้น Brioche ที่นี่ทำเป็นรูปใบไม้ค่ะ ได้แรงบันดาลใจมาจากต้นไม้หลังบ้านของเชฟแนน เสิร์ฟมาบนใบไม้ใบใหญ่ (สงสัยเด็ดมาจากหลังบ้านจริงๆ) ขนมปังบิออกมาเป็นชิ้นๆตามรอยบากได้สะดวกกับการดิปซาวครีมเนื้อเนียน เปรี้ยวๆมันๆ ส่วนขนมปัง แนะนำให้รีบทานตอนร้อนๆ เพราะกรอบนอกนุ่มในและหอม ไม่จิ้มครีมก็อร่อยไปอีกแบบ ก่อนเข้า Chapter 1 อย่างที่กล่าวไปข้างต้น จะมีอาหารว่างขนาดพอดีคำ มาเสิร์ฟประเดิมก่อน นั่นคือ Coast to Coast ( 190++ ) เป็นอาหารทะเล 4 คำ เสิร์ฟในถาดไม้ที่รองด้วยก้อนหิน แต่ละคำตกแต่งมาแบบธีมทะเล ครบทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ทางร้านแนะนำให้ทานตั้งแต่คำที่มีรสชาติอ่อนไล่ลำดับไปจนถึงคำที่มีรสชาติเข้มสุด เริ่มต้นจากคำแรก คือ กุ้งในเปลือกหอย ด้านในจะมีครีมมะกรูด ซึ่งครีมนี้เข้ากับกุ้งมากๆ หอมกลิ่นมะกรูดอ่อนๆ ต่อมาเป็น หอยแมลงภู่โฟมมะกรูดในเปลือกหอยชาโคล ทานได้ทั้งคำ โฟมมะกรูดมาแบบรสบางเบามีกลิ่นอโรม่านิดๆ ไม่ทำลายรสชาติหอยเลย แถมยังมีแป้งชาโคลกรอบๆทำให้มีหลายtextureในคำเดียว คำนี้สนุกปากดี คำที่ 3 แซลม่อนบนใบมะกรูดทอด ท๊อปด้านบนด้วยไข่แซลม่อนเวลาทานก็จะมีรสสัมผัสของมะกรูดด้วยบวกกับความหวานมันของแซลม่อน คำสุดท้าย เชฟตั้งใจใช้มะกรูดแทนช้อน เนื้อปูท๊อปด้วยคาร์เวียร์ บนผลมะกรูด ที่ฝานวางปูแทนช้อน ก่อนทานบีบๆน้ำมะกรูดให้ออกมาก่อน คำนี้หวานหอมเปรี้ยว เนื้อปูนุ่มดีครีมมี่นิดๆ ***จานนี้โดยรวมชอบมากค่ะ อาหารทะเลสดใหม่และใช้มะกรูดไทยมาพรีเซนต์ได้หลากหลายดี ครั้งนี้ทางร้านจัดมาให้ชิมครบทุกเมนูเลย เริ่มที่ Chapter 1 Chapter 1 (เลือกได้ 1เมนู ) Seacret ( 320++) หอยเชลล์ฮอกไกโด โฟมมะนาว ราดด้วยน้ำซุปพอนซึที่มีส่วนผสมของสาหร่าย ตอนพนักงานมาเสิร์ฟอลังการมาก ใส่น้ำซุปมาในเปลือกหอยขนาดใหญ่ รินลงจาน ตัวหอยเนื้อสดเด้งตักพร้อมโฟมมะนาวและน้ำซุปรสบางเบาหอมสาหร่ายนิดๆจานนี้มีกลิ่นอายเหมือนแหวกว่ายอยู่ในทะเลเลย Rain Forest ( 320++) จานนี้เป็นเนื้อ ซึ่งเราไม่ทานเนื้อนะคะ เป็น Beef Tartare หน้าตาดีมากค่ะ ตอนแรกนึกว่าเค้าเอาของหวานมาเสิร์ฟ มีเนื้อแผ่นม้วนกรอบ โรยด้วยผงพาสลีย์ เหมือนขอนไม้ในป่าที่มีหญ้ามอสปกคลุม ทานคู่กับซอสไข่แดงมิโสะ เมนูนี้เห็นท่านที่ทานเนื้อบอกอร่อยนะคะ Terrarium ( 320++) สวนขวดในแบบของเชฟแนน เป็นเนื้อเป็ดฉีกประกบด้วยแป้งพัฟลอนกรอบ ประดับด้วยดอกไม้ด้านบนสวยงาม มาพร้อมกับผักสลัดหลากสีที่ใส่ในขวด รมควันด้วยไม้แอปเปิ้ล และน้ำสลัดที่สกัดจากน้ำมันของสละและเนื้อสละ ตอนเสิร์ฟพนักงานจะเปิดฝาขวดทำให้มีควันลอยออกมาเป็นเมนูที่ตื่นตาตื่นใจ ส่วนรสชาติเป็ดแผ่วเบาไปยังไม่ค่อยโดน มีความหวานไปในการปรุง ต้องทานคู่กับผักสลัดที่เคล้ากับน้ำสลัดสละรสเปรี้ยวก็ดีขึ้นหน่อย ต่อกันเลยกับ Chapter 2 จ้า Chapter 2 ( เลือกได้ 1 เมนู ใน 3 เมนู ต่อไปนี้ Nest / Eclipse / Harvest ) Nest (350++) Signature Menu ไข่ออแกนิคออนเซนซูวี มาทั้งฟองบนรังนกเส้นหมี่กรอบ ใต้รังซ่อนความอร่อยอีกชั้นด้วยไก่ฉีกคลุกซอสไก่ เห็ด 3 อย่าง และน้ำมันทรัฟเฟิล ข้างๆ ที่เห็นเป็นเส้นๆ คือ รากโกโบทอด ตอกไข่ไก่บนรังนกและตักทานทุกเลเยอร์พร้อมกันรสกลมกล่อมดี แต่ไม่ได้กลิ่นทรัฟเฟิลซักเท่าไหร่ Eclipse (350++) ข้าวบาร์เลย์รีซอตโต้ กับดรายแอนโชวี่ ใส่สมุนไพรไทยอย่าง แก่นตะวัน ลงในจาน โอ้ววว มันลงตัว อย่างไม่น่าเชื่อ เชฟได้นำแก่นตะวันฝานเป็นแผ่นบางๆไปทอดกรอบ โรยบนรีซอสโต้ และยังนำแก่นตะวันไปทำเป็นครีมข้นเนื้อเนียน ให้ราดลงในจานด้วย ส่วนตัวชอบนะคะ ไม่แฉะหรือเละเกินเหมือนรีซอสโต้ทั่วไป แต่มีความครีมมี่มันๆหอมๆจากทั้งตัวแก่นตะวันทอดและซอส มีความเค็มนิดๆจากแอนโชวี่ ข้าวบาร์เล่ย์หนึบนิดๆ คือดีงาม Harvest ( +300 for course ) / ( 750++ A la Carte ) จานนี้เพิ่มเงินจาก course 300 บาท นะคะ Canadian lobster ชิ้นอวบ อบมาอย่างดีในฟาง หอมมั่กๆ เนื้อเด้ง หวาน วางด้านบนด้วยแผ่นข้าวเกรียบทำมาจากกุ้งรีดเป็นแผ่นบางกรอบ เป็นเทคนิคเฉพาะทำให้รูปทรงเหมือนเปลือกข้าวโพด มี smoked corn purée ตกแต่งมาเป็นจุดๆ เพิ่มมิติและรสชาติ จานนี้เทคนิคกรรมวิธีเยอะ ทั้งสวย ทั้งอร่อย ชอบค่ะ Chapter 3 เลือกได้ 1 เมนู ใน 3 เมนู จะมี Water Lilies / Vermillion / Swamp (+300 บาท ) Water Lilies (580++) คอนเซปเป็นสระบัว วัตถุดิบในจานนี้จึงใช้หลายส่วนของบัวเป็นองค์ประกอบ ทั้ง เม็ดบัว กลีบดอกบัว ไหลบัวดอง และ purée ใบบัวบกสีเขียวสวยเหมือนใบบอน ราดลงบนจาน พระเอกเป็น ปลาฮาลิบัทย่าง ที่โรยเกล็ด brioche อบกรอบนิดๆ ไว้บนชิ้นปลา โดยรวมจานนี้รสอ่อนไปหน่อย ประกอบกับส่วนตัวไม่ชอบใบบัวบกเพราะกลิ่นที่เหม็นเขียว ชอบไหลบัวดองอร่อยมากกรอบนิดๆเปรี้ยวแต่กลมกล่อม Vermillion (580++) จานนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอันสดใสของบีทรูท สไลด์เป็นแผ่นบางทอดกรอบ เนื้อบีทรูทก้อนกลม และซอสบีทรูท ทั้งหมดถูกประดับลงใน Duck confit ปกติเฉยๆกับบีทรูท แต่มันเข้าคู่กันใช้ได้อยู่ Duck confit เนื้อในชุ่มฉ่ำไม่แห้ง นุ่มมาก หนังกรอบนิดๆ ไม่ได้กรอบเว่อร์ โอเคอยู่ Swamp ( +300 for course) / ( 880++ A la Carte ) จานนี้บวกเพิ่มจาก course อีก 300++ ค่ะ เป็นจานเนื้อที่คนทานเนื้อบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย เนื่องจากเป็น Dry aged local Beef tenderloin จานนี้เราไม่ได้ลองนะคะ ไม่ทานเนื้อวัว Chapter 4 ( เลือกได้ 1 เมนู ใน 3 เมนู ต่อไปนี้ Bloom / Coral / Farm ) Bloom ( 250++) มาถึงคิวของหวานกันบ้าง Sorbet ฝรั่งดอง อมเปรี้ยวอมหวาน หอมๆ กับ Brioche อบกรอบ ในจานมีทั้งเนื้อฝรั่งและเม็ดสาคูสีขาว Top ด้วย Herb อบแห้งหลายชนิด ทั้งใบฝรั่ง ใบมินต์ กลิ่นหอมเย็น สดชื่น ดูเพื่อสุขภาพดี สำหรับขนมจานนี้ก็ปลื้มเช่นกัน Coral ( 250++) สปันจ์เค้กงาดำ และแป้งกรอบแผ่นบาง รูปร่างแบบปะการัง มีมูสชาเขียวและเนื้อส้มสดด้านล่าง ส่วนด้านข้างที่หน้าตาเหมือนไข่แดง คือสเฟียร์ส้มยูซุ รสเปรี้ยวนำหวานนิดหน่อย จานนี้การตกแต่งสวยงามมีเทคนิค Molecular เล็กๆ แต่ในเรื่องของรสชาติยังไม่ค่อยลงตัว ไปคนละทิศละทางเลย สปันจ์เค้ก จืด มูสชาเขียว มีความขมเป็นรสเดียว ยิ่งทานทุกอย่างรวมกันกับส้มที่รสเปรี้ยวนำ คือ บอกรสชาติไม่ถูกจริงๆค่ะ Farm (250++) Signature dessert เมนูนี้เลิฟสุดๆ มี นมแพะ เป็นตัวชูโรง นมแพะที่นี่อร่อยมาก ไม่มีกลิ่นฉุน เชฟพรีเซนต์นมแพะออกมาใน Texture ที่แตกต่างกันในจานเดียว มีทั้งพานาคอตต้า ฟองนมกรอบ มิลค์สโนว์ ราดด้วย น้ำผึ้ง รังผึ้ง และถั่วแมคคาดาเมีย จานนี้ทุกอย่างลงตัวจริงๆทั้งไอเดียเทคนิคและรสชาติ สมกับเป็น signature dessert Stone (100++ / 2 pcs.) จบมื้อด้วยการกิน ก้อนหิน !!!! แอร๊ยยยย.....คือ มันเหมือนมั่กๆ กลมกลืนกันจนแยกไม่ออก แต่สนุกดีนะคะ กับการหาว่าก้อนหินก้อนไหนน้าที่กินได้ ก้อนหินนี้คืออะไรต้องไปลองกันเองนะคะ อิอิ โดยรวมประทับใจค่ะ ทั้งความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการทำอาหารของเชฟ สวยงามและตื่นตาตื่นใจดี รวมถึงการบริการของพนักงานทุกท่าน ดีเยี่ยมจริงๆ ทั้งการบริการ และการแนะนำอาหาร... อ่านต่อ
23 Likes0 Comment
photo