- หน้าแรก
/
- BBQ PORK RIB ร้าน Daydream Believer


บรรยากาศสไตล์อังกฤษ สำหรับคนช่างฝันขอสวัสดีเพื่อนๆชาววงในกันอีกครั้งกับผม Pednoii AhHa กับรีวิวจากกิจกรรม Wongnai Sneak Peak เปิดประสบการณ์ร้านอาหารใหม่กับร้าน “Daydream Believer” นั่นเอง ร้านนี้อยู่ในซอยพหลโยธิน 12 ห่างจาก BTS อารีย์ ประมาณ 200 เมตรครับ เดินเข้าซอยไปประมาณ 100 เมตร จะเจอร้านอยู่ทางฝั่งซ้ายมือเลยครับ นอกจากนี้ทางร้านยังมีที่จอดรถด้วยครับ เพียงแต่ว่ารองรับได้มากสุดประมาณ 6 คันในวันธรรมดา ถ้าวันเสาร์อาทิตย์รับได้เต็มที่ เนื่องจากที่จอดรถตรงข้ามกับร้านจะว่างถึงว่างมาก (ตรงข้ามเป็นที่จอดรถของ AIS ครับ วันธรรมดาเต็มตลอด)
ประเดิมเมื่อเดินเข้ามาใน ประโยคแรกเลย “เหมือนดั่งอยู่ในอังกฤษ” ด้วยบรรยากาศของร้านที่ตกแต่งหน้าร้านเป็นสวนสไตล์อังกฤษ มีทั้งหมากรุก น้ำพุ รูปปั้น และด้วยวันที่ไปเป็นช่วงที่ฝนกำลังตก จะได้กลิ่นไอและความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวนหลังบ้านเลยครับ โดยร้านจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนของบ้าน ที่จะเป็นโซนไว้สำหรับทานเบเกอรี่และเครื่องดื่ม Design ด้านในจะให้ความรู้สึกเหมือนนั่งจิบชายามบ่ายสไตล์คนอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีโซนที่นั่งแบบ Private ไว้สำหรับทำงานแล้วจิบชาชิวๆเช่นกัน แต่วันนี้เราไม่ได้มานั่งโซนนี้ เพราะว่าวันนี้เราจะมาทานของคาว ซึ่งทางร้านก็จัดโซนเรือนกระจกไว้สำหรับทานอาหารที่เป็นของคาวนั่นเอง โดยโซนนี้จะมีโต๊ะไม้ยาวอยู่กลางร้าน ซึ่งโต๊ะนี้จะมีการโรยหินตามซอกไม้ (น่าจะเอามาทั้งต้นแล้วเหลาเสี้ยนออกอย่างเดียว ส่วนหลักของไม้ยังอยู่ครับ ดังนั้นจะมีซอกไม้บนโต๊ะซึ่งจะเอาหินมาโรยเพื่อให้ได้ระดับอีกที) ไว้สำหรับรองรับลูกค้าที่มาเป็นคณะ ดังนั้นโต๊ะนี้จะไม่เหมาะกับทำงานเท่าไร แต่ถ้ามากันไม่กี่คน ก็มีโต๊ะเล็กๆ รอบรับลูกค้าอีกเช่นกัน เพดานจะมีต้นเฟิร์น (น่าจะกระเช้าสีดา) ห้อยอยู่ด้านบน ซึ่งวิธีรดน้ำเค้าจะใช้ชักรอกดึงลงมารดน้ำอีกที รอบๆโรงเรือนก็จะมีต้นไม้ตกแต่งพอสมควรเลยครับ ถามว่าถ้ามาช่วงกลางวันจะร้อนมั้ย การันตีได้เลยว่าไม่ร้อน เพราะว่าโรงเรือนเองมีฉนวนกั้นความร้อนอยู่หลายจุดเลยครับ มีเปิดโล่งๆรับแดดเต็มๆแค่ส่วนเดียวครับ ถ่ายรูปสวยแน่นอนครับ :)
ประวัติของร้านนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย เกิดจากหุ้นส่วนหลายท่านมารวมๆกันเพื่อตั้งร้านกัน ตอนแรกมีแค่ร้านเดียวซึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร ซึ่งก็ตั้งอยู่ที่นี่อยู่ตั้งแต่แรก แต่ไปๆมาๆ มีการขยับขยายประเภทอาหารเพิ่มเติมกลายเป็น 2 ร้านที่อยู่ติดกัน โดยร้าน Daydream Believer จะทำพวกเบเกอรี่ กาแฟ และอาหารไทยประยุกต์ รวมทั้งมีอาหารฝรั่งเศสแบบเบาๆ อย่างเช่นสเต๊ก ส่วนอีกร้านคือร้าน Something’s else จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยนครับ ซึ่งวันนี้ก็ได้โอกาสทานอาหารจากร้านนี้เช่นกัน
ต่อไปนี้ถึงเวลามาชิมอาหารกันครับ ก่อนอื่นเลย ทางร้านจะให้เราสามารถเลือกสั่งเครื่องดื่มได้ท่านละ 1 เมนู และเมนูนั้นคือ
1. Banana Smoothies ราคา 120 บาท: เนื่องจากท่านอื่นๆสั่ง Signature ของทางร้านไปกันเยอะแล้ว ผมเลยเลือกที่จะสั่งอะไรง่ายๆ แทน จัดเสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง รสชาติของสมูทตี้ตัวนี้ถือว่าใช้ได้เลยครับ มีความเป็นกล้วยประมาณกลางๆ จะออกหวานแบบธรรมชาติ (หวานจากกล้วย) ปั่นได้ละเอียดดีครับ นอกจากนี้ยังมีกล้วยแปะอยู่ด้านบนอีก 3 ชิ้นแต่หยิบทานไม่ได้เนื่องจากแช่อยู่ในสมูทตี้จนเปื่อยครับ อยากให้ทางร้านเตรียมช้อนยาวไว้สำหรับตักทานจะดีมากครับ
และแล้วก็มาถึงเมนูของคาวกันครับ
1. เกี้ยวห่อชีส ราคา 165 บาท: เริ่มต้นด้วยเมนูของทานเล่นเบาๆ จะเป็นเกี๊ยวห่อเหมือนเกี๊ยวไข่นกกระทาเลยครับ จะออกกลมๆหน่อยๆ ตัวเกี๊ยวกรอบมากครับ ตัวชีสด้านในแน่นและแอบยืดเล็กๆครับ มีเครื่องเคียงที่เป็นซัลซา ประกอบด้วยมะเขือเทศ หอมแดง และพริกหยวก ทำคล้ายๆอาจาด ทานตัดกับเกี๊ยวแก้เลี่ยนได้ดี กลิ่นหอมสดชื่นครับ
2. พัฟกระเพรากรอบ ราคา 165 บาท: นำเสิร์ฟเป็นชิ้นสามเหลี่ยมแบบพิซซ่า ตัวแป้งด้านนอกกรอบเหมือนทานปอเปี๊ยะทอดเลยครับ ส่วนไส้ด้านในจะยัดไว้ค่อนข้างน้อยครับ เนื่องจากน่าจะกลัวตัวแตกตอนทอดครับ รสชาติตัวไส้ไม่โดดเด่นครับ ทานแล้วรู้สึกเหมือนทานหมูสับผัดเฉยๆ รสกะเพราหรือกลิ่นแทบไม่มีครับ ถ้าปรับตรงส่วนนี้ได้จานนี้จะอร่อยเลยทีเดียวครับ อาจเป็นไปได้ว่าจานนี้ทำเพื่อให้ทานได้ทุกคน ทำให้รสชาติค่อนข้างจะกลางๆครับ
3. ยำแมงกะพรุน ราคา 185 บาท: เมนูของคาวแบบเผ็ดๆนำเสิร์ฟในรูปของยำ โดยส่วนประกอบเป็นแมงกะพรุนสดสีออกน้ำตาลเข้ม รสชาติดีมากๆ แมงกะพรุนกรุบกรอบในปาก ทานแล้วมันมากๆครับ ส่วนตัวน้ำยำเปรี้ยวหวานครบสูตร ออกเผ็ดเบาๆ มีเค็มช่วยตัดครับ เมนูนี้แนะนำครับ
4. Calamari หรือปลาหมึกชุบแป้งทอดกรอบ ราคา 185 บาท: อาหารนานาชาติสไตล์อิตาเลี่ยนจานแรกของทางร้าน เป็นปลาหมึกกล้วยชุดแป้งขนมปังครับ โดยสูตรดั้งเดิมในตัวที่แป้งที่ใช้ชุบปลาหมึกจะต้องมีการใส่เครื่องเทศบางอย่างลงในตัวแป้งด้วยเช่น Parsley และ Garlic Powder ด้วยครับ แต่ของที่นี่นี้ไม่มีครับ (น่าจะเป็นเพราะว่าทำให้น้ำมันเสียครับ) จะใช้วิธีโรยตอนสุดท้ายแทนครับ ทานคู่กับทาร์ทาร์ซอส ก่อนทานก็บีบเลมอนที่ปลาหมึกด้วยครับ รสชาติใช้ได้เลยครับ ตัวเนื้อปลาหมึกนุ่มกำลังดีจากการที่นำไปลวกก่อนครับ ส่วนทาร์ทาร์เค็มเบาๆ เข้ากับตัวแป้งที่กรอบใช้ได้เลยครับ เพิ่มความเปรี้ยวจากเลมอนตามใจชอบครับ โดยส่วนตัวชอบเปรี้ยวนิดๆ จะได้ไม่เลี่ยนครับ
5. สลัดผักย่าง ราคา 185 บาท: เมนูสุดครีเอทที่ใส่ผักหลายๆอย่างที่ไม่น่าจะมาทำเป็นสลัดได้ สามารถนำมาตกแต่ง และดึงความอร่อยของแต่ละชนิดได้อย่างลงตัว โดยพระเอกของจานนี้คือตัวมะเขือม่วงที่นำไปเผากำลังดีครับ นอกจากนี้ยังมีแครอท หัวหอม และผักสีเขียวอื่นๆ ทานพร้อมกันกับพามีซานชีสสไลด์บางๆ เพิ่มกลิ่นและรสชาติเค็มเบาๆ ราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิค รสชาติโดยรวมดีมากๆ แก้เลี่ยนจากของทอดที่ทานไปเมื่อสักครู่ได้ดีเลยครับ
6. ขนมจีนแกงปู ราคา 245 บาท: อาหารไทย Signature ของทางร้านเลยครับ ประกอบด้วยขนมจีนออแกนิก 2 สีคือสีขาวและสีส้ม (จากแครอท) เส้นนุ่มกำลังดีเลยครับ ต่อมาคือน้ำยาที่เป็นแกงปู เนื้อปูสดและใส่มาเยอะมากๆครับ ตัวน้ำยารสชาติเข้มข้นกลมกล่อมออกเผ็ดเบาๆครับ นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอย่างเช่น ข้อผักบุ้งลวกสุก และไข่ต้มสำหรับทานด้วยกันกับขนมจีนครับ สำหรับเมนูนี้จัดเสิร์ฟเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นครับ
7. ข้าวผัดหนำเลี๊ยบ: เมนูนี้ยังไม่มีอยู่ในรายการอาหาร เป็นอีกเมนูนึงที่ทางร้านนำเสนอให้ลองชิมกันดูครับ โดยส่วนประกอบหลักๆ จะมีข้าวที่นำไปผัดแบบแห้งกลิ่นหอมมาก รสชาติอร่อย ทานคู่กับ edible flower อย่างดอกขจรผัดสุกเรียบร้อย ส่วนเครื่องเคียงก็จะมีกากหมู หอมแดงซอย และแตงกวาหั่นสไลด์เป็นแนวยาวเสียบด้วยไม้เสียบลูกชิ้นครับ และอย่าลืมบีบมะนาวก่อนทานครับ โดยรวมรสชาติค่อนข้างโอเครเลยครับ แต่ติดตรงที่สีของข้าวค่อนข้างเข้ม บวกกับตัวจานที่ออกสีดำเช่นกัน ทำให้พรีเซ้นออกมาค่อนข้างจะมืดไปครับ อยากให้ปรับการใช้จานด้วยครับ
8. ข้าวคลุกน้ำพริกปลาทู – ไข่พะโล้ ราคา 185 บาท: เมนูภูมิใจนำเสนอกับปลาทูทอดที่นำไปลอกก้างออกทั้งตัว เหลือเพียงส่วนหัวและส่วนลำตัวมาจัดในจาน ข้าวนำไปผัดกับกะปิซึ่งโดยส่วนตัวชอบกลิ่นที่หอมและรสชาติที่กะปิไม่แรงจนเกินไป และนำมาจัดให้เป็นลำตัวของปลาทู ตกแต่งด้วยพริกสด แต่ส่วนของน้ำพริกปลาทูรสกะปิจัดเต็มมากๆ จะเป็นรสกุ้งแห้งและค่อนข้างจะเค็มไปหน่อย บวกกับตัวเนื้อปลาทูที่เค็มอยู่แล้ว ทำให้เค็มจัดมากครับ ส่วนผักที่รับประทานจะมีถั่วฝักยาว แตงกวาและหอมแดงครับ ทานคู่กับพะโล้ที่มีหมูสามชั้นที่นุ่มอร่อย น้ำซุปไม่เค็มจนเกินไป ส่วนไข่ก็อร่อยใช้ได้ครับ ทานรวมๆกันแล้วเข้ากันได้ดี ติดอย่างเดียวที่รสชาติเค็มไปหน่อยครับ
9. ซี่โครงบาร์บิคิว หรือ BBQ Pork Rib ราคา 355 บาท: Main Dish จานแรกของร้านที่เป็นซี่โครงหมูชิ้นโต ทานคู่กับมันฝรั่ง เสิร์ฟพร้อมกับซอสบาร์บิคิวเผื่อไม่จุใจ รสชาติโดยรวมอร่อยมากครับ เนื้อนุ่มมากและไม่ติดกระดูก เนื่องจากทางร้านจะนำไปตุ๋นให้นุ่มประมาณ 3 ชั่วโมงจากนั้นค่อยมา Grill ให้สุกพร้อมกับทาซอสบาร์บิคิวครับ โดยส่วนตัวค่อนข้างพอใจกับซอสที่ทาบนเนื้อ ไม่จำเป็นต้องเติมเพิ่มแต่อย่างใด ส่วนตัวน้ำซอสรสชาติดีครับ ออกหวานแต่ยังมีรสเครื่องเทศบางๆ ทานมันฝรั่งที่รสสัมผัสจะค่อนข้างยุ่ยๆ เหมือนแตกเป็นเม็ดๆด้านใน แต่อร่อยครับ ไว้ทานกับซอสบาร์บิคิวโดยเฉพาะครับ มีสลัดที่คลุกมาเรียบร้อยไว้แก้เลี่ยนจากการทานซี่โครงครับ
10. ชีสเบอร์เกอร์เนื้อ หรือ Beef Cheese Burger ราคา 245 บาท: Main Dish อีกจานที่ทำให้อืดไปทั้งวัน เนื่องจากทั้งโต๊ะทานเนื้อกันอยู่ 2 คน ด้วยไซส์ที่ค่อนข้างจะใหญ่ อัดไส้มาแน่นมากๆ ขนาดผ่าครึ่งแล้วยังยัดเข้าปากไม่ได้เลยครับ โดยส่วนประกอบหลักจะมี เนื้อวัวที่เอาไปบด แล้วนำมา Grill รสชาติดีและเนื้อแน่นมาก ไม่เค็ม เบคอนชิ้นใหญ่ที่ Sear จนเกรียมแต่ยังติดมัน ทานค่อนข้างจะยากหน่อยเพราะเหนียว และผักนานาชนิดไม่ว่าจะเป็นแตงกวาดอง มะเขือ และผักต่างๆครับ ปิดท้ายด้วยการราดชีสจะได้กลิ่นหอมๆ ครับ และมีไม้เสียบไว้ที่เบอร์เกอร์เพื่อกันเบอร์เกอร์หลุดจากกันครับ ส่วนเครื่องเคียงจะเป็นมันฝรั่งเพียวๆ หั่นเป็นชิ้นๆแล้วนำไปทอดครับ สุกกำลังดีครับ
11. Salmon Pasta Squid Ink Green Pea Sauce ราคา 295 บาท: เมนูก่อนสุดท้ายของอาหารคาวที่นำเสนอด้วยพาสต้าเส้นดำ (ไม่ได้ทำเอง) ที่นำไปผัดกับน้ำมันมะกอกและพริกไทย ทานคู่กับแซลมอนที่นำไป Grill จนสุก คลุกเคล้าพาสต้าด้วยซอสถั่วลั่นเตา ตกแต่งจานด้วยพาเมซานชีสฝอย และกระเทียมหั่นฝานชิ้นใหญ่ครับ รสชาติโดยรวมค่อนข้างใช้ได้เลยครับ ตัวแซลมอนถ้าดูตอนแรก จะรู้สึกว่ามันแห้งมากๆครับ แต่พอผ่าออกมาแล้ว ด้านในกลับยังสีส้มสวยเลยครับ กึ่งสุกกึ่งดิบครับ ส่วนตัวเส้นถ้ากินเปล่าๆ รสชาติจะไม่ค่อยโอเครเท่าไร มีแต่ความมันอย่างเดียว แต่ถ้าทานกับซอสถั่วลั่นเตาที่ออกหวาน รสชาติค่อนข้างดีเลยครับ เสียดายที่ใส่มาน้อยเหมือนแค่มาตกแต่งครับ ทำให้จานนี้ดูเหมือนยังอร่อยไม่สุดครับ
12. Parma Ham Rocket Pizza: พิซซ่าที่ทางร้านสั่งจากร้านข้างๆมาให้ชิมกันครับ เป็นพิซซ่าแป้งบางกรอบชีสยืดมากๆ ตกแต่งด้วยพาร์มาแฮมที่รสชาติจะออกเค็มๆ แต่รสสัมผัสค่อนข้างบางและนุ่มมาก กับผัก Rocket ที่นำมาโรยตกแต่งแต่ทานได้เช่นกันครับ รสชาติโดยรวมค่อนข้างประทับใจเลยครับ ด้วยความที่มีรสค่อนข้างเค็ม อาจจะทานคู่กับซอสมะเขือเทศและโรยออริกาโน่ลงไปอีกหน่อยครับ จะได้ความอร่อยที่ลงตัวทีเดียว
จบของคาวกันไปแล้ว ก็ต้องปิดท้ายด้วยขนมหวานซึ่งเป็น Signature ของทางร้านอีกเช่นกัน
1. เค้กมะพร้าว ราคา 135 บาท: เริ่มต้นด้วยเค้กรสเบาๆแต่ละมุนมากๆครับ รสชาติหลักๆจะมีครีมที่มีความเป็นมะพร้าวบางๆละมุนๆ กับเนื้อเค้กที่นุ่มเอามากๆครับ เหมาะแก่การเริ่มต้นทานเค้กเลยครับ
2. แครอทเค้ก ครีมชีสฟรอสติ้ง ราคา 135 บาท: มาทานเค้กแบบเพื่อสุขภาพกับเค้กแครอทที่เนื้อค่อนข้างจะหยาบแต่รสชาติดีมากๆ ไม่เลี่ยนจนเกินไป ด้านบนเป็นครีมชีสที่จะค่อนข้างแข็งหน่อยๆครับ รสชาติดีเช่นกัน ตัดกับเนื้อด้านล่างได้ดีครับ
3. พานาคอตต้า สตอเบอรี่ซอส ราคา 145 บาท: ไล่ระดับความเข้มขึ้นเรื่อยๆ กับพานาคอตต้าเนื้อเนียนที่เสิร์ฟคู่กับสตอเบอรี่เพื่อเพิ่มความเปรี้ยวไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป ส่วนสตอเบอรี่ซอสจะออกหวานครับ
4. เลม่อนทาร์ต อิตาเลี่ยนเมอแรงค์ ราคา 155 บาท: เค้กอีกรายการที่ต้องขอ Recommend ตัวแป้งกรอบจนค่อนไปทางแข็งหน่อยๆ แต่ด้านในนุ่มและอร่อยมากๆ มีความเปรี้ยวจากเลมอนเพื่อไม่ให้เลี่ยนครับ
5. ช๊อกโกแลตเค้ก ราคา 155 บาท: ปิดท้ายด้วยเค้กช๊อกโกแลตที่ทำจาก Dark Chocolate แบบเน้นๆ เรียกได้ว่าทานทีนี่ตาโตเลยครับ รสชาติเข้มข้นมากๆไม่ว่าจะตัวแป้งหรือตัวครีม ไม่เหมาะกับคนทานหวานอย่างยิ่งครับ ถ้ารู้สึกเข้มเกินไป ให้ลองตัดรสชาติด้วยสตอเบอรี่รสเปรี้ยวครับ ช่วยได้เยอะทีเดียว
ผ่านเรื่องอาหารไปแล้ว ในส่วนของการบริการค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ พนักงานกระตือรือร้นและยิ้มแย้มแจ่มใส อาจจะมีบ้างที่เล่นมือถือเพลินเลยไม่ได้ยินที่ลูกค้าเรียกครับ ส่วนในเรื่องบรรยากาศ ถ้าอยากมาถ่ายรูปอาหาร แนะนำให้มาช่วงกลางวันครับ เพราะแสงจะสวยที่สุดครับ ส่วนช่วงเย็นที่ไปทานกันวันนี้ แสงเป็นสีส้มครับ ทำให้ถ่ายรูปออกมาแย้วภาพจะกลายเป็นสีเหลือง ต้องมาปรับในคอมกันอีกรอบครับ รสชาติอาหาร เนื่องจากว่าทางร้านแจ้งว่าเมนูกำลังปรับปรุงเรื่องรสชาติอยู่ อาจจะมีติดขัดบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือได้ว่าหลายๆอย่างทำออกมาได้ดีอยู่แล้วครับ สำหรับใครที่อยากจะไป Hang out ชิวๆละก็ ผมขอแนะนำร้านนี้เลยครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทาง Wongnai Team และ Community Manager ทุกท่านที่ทำกิจกรรมดีๆแบบนี้นะครับ
33 Likes0 Comment
