Do & Don’t จับคู่สกินแคร์ ควรใช้ X ห้ามใช้ ด้วยกัน เลือกดี อัปผิวสวย
  1. Do & Don’t จับคู่สกินแคร์ ควรใช้ X ห้ามใช้ ด้วยกัน เลือกดี อัปผิวสวย

Do & Don’t จับคู่สกินแคร์ ควรใช้ X ห้ามใช้ ด้วยกัน เลือกดี อัปผิวสวย

ผิวพังเพราะจับคู่ผิด? เช็กลิสต์ 12 คู่สกินแคร์ Do & Don’t ที่ต้องรู้! ส่วนผสมไหนใช้คู่กันแล้วเสริมฤทธิ์ ส่วนไหนห้ามแตะต้อง! เพื่อผิวสวยปัง ไม่แพ้ ไม่เบิร์นค่ะ
writerProfile
13 ธ.ค. 2025 · โดย

สวัสดีค่ะสาว ๆ เรื่องสกินแคร์เนี่ย มันไม่ง่ายเหมือนการช้อปปิ้งเสื้อผ้าเลยใช่ไหมคะ? เดี๋ยวนี้มี Active Ingredients เด็ด ๆ เต็มไปหมด ทั้ง Retinol, AHA, Vitamin C, Niacinamide ที่ต่างก็มีสรรพคุณเลิศ ๆ จนเราอยากหยิบมาทาหน้าพร้อมกันหมด! แต่รู้ไหมคะว่า การที่เราผสมสารบำรุงเองแบบไม่ปรึกษาใครเนี่ย คือกับดักที่ใหญ่ที่สุดของรูทีนเลยค่ะ

โดยเฉพาะช่วง หน้าหนาว หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ผิวเราจะยิ่งบอบบาง แห้งง่าย และระคายเคืองง่ายขึ้นเป็นพิเศษ การที่เราจับคู่สารที่มัน "ตีกัน" หรือ "ลดประสิทธิภาพกัน" จะยิ่งทำให้ผิวอ่อนแอลงไปอีก กลายเป็นว่าจ่ายเงินซื้อของแพงมา แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม

ดังนั้นการรู้หลักการ "Do & Don’t" ในการจับคู่สกินแคร์ จึงเป็นสุดยอด Beauty Tricks ที่ช่วยให้ไม่เพียงแต่ประหยัดเงิน แต่ยังช่วยให้ผิวสวยใสได้แบบปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เกิดอาการแพ้หรือหน้าพังตามมาค่ะ

วันนี้ Wongnai Beauty เลยจะมาเป็นกูรูส่วนตัวที่พาคุณไปถอดรหัสคู่สกินแคร์ที่ต้องมี (The Do’s) เพื่อเสริมผิวให้แข็งแรงสู้หนาว และคู่ที่ต้องห้ามใช้ร่วมกันเด็ดขาด (The Don’ts) เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่เป็นพิษต่อผิว รับรองว่าข้อมูลนี้จะเปลี่ยนเกมการดูแลผิวของคุณไปตลอดกาลค่ะ

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการจับคู่สกินแคร์: หลักการทำงานและ pH ที่ต้องระวัง

ในโลกของสกินแคร์ ส่วนผสมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและต้องการสภาวะแวดล้อม (เช่น ค่า pH) ที่แตกต่างกันในการทำงาน การจับคู่สกินแคร์อย่างชาญฉลาดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ:

  • การเสริมฤทธิ์ (Synergy): ส่วนผสมบางตัวเมื่อใช้คู่กันจะส่งเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกันได้ดีกว่าการใช้เดี่ยว ๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว
  • การลดการระคายเคือง (Buffering): ส่วนผสมบางตัวมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวหรือกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ (เช่น Retinol) ซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ การใช้สารที่ช่วยปลอบประโลมและเสริมเกราะป้องกันผิว (เช่น Ceramide) ร่วมด้วยจะช่วยลดผลข้างเคียงได้
  • การป้องกันการลดประสิทธิภาพ (Deactivation): ส่วนผสมบางตัว เมื่อผสมกันแล้วอาจทำลายโครงสร้างทางเคมีของกันและกัน ทำให้สารออกฤทธิ์หมดประสิทธิภาพไปก่อนที่จะเข้าสู่ผิว (เช่น การผสมส่วนผสมที่ต้องการ pH ต่ำกับส่วนผสมที่ต้องการ pH สูง)

วิธีเลือกสกินแคร์ที่ถูกต้องในช่วงหน้าหนาว: เน้นการซ่อมแซมและเติมน้ำ

ช่วงหน้าหนาวเป็นช่วงที่ผิวของเราขาดน้ำและน้ำมันได้ง่าย ทำให้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอลง การเลือกสกินแคร์ในช่วงนี้จึงควรเน้น 3 หลักการสำคัญ:

  1. เติมความชุ่มชื้นแบบล้ำลึก: เน้นส่วนผสมที่ช่วยดึงน้ำเข้าผิวและกักเก็บน้ำไว้ เช่น Hyaluronic Acid, Glycerin
  2. ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว: ต้องเสริมส่วนผสมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวโดยตรง เช่น Ceramide, Fatty Acids, Niacinamide
  3. ระวังสาร Active เข้มข้น: หากจะใช้สารผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) หรือ Retinol ควรลดความถี่ลง หรือใช้ควบคู่กับสารที่ช่วยปลอบประโลม เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคืองและผิวแห้งลอก

การเลือกใช้ส่วนผสมที่เข้ากันได้ดี จะช่วยให้ผิวรับมือกับอากาศหนาวได้ดีขึ้น ไม่แพ้ ไม่แดง และไม่ลอกเป็นขุยค่ะ

info

💥 The Do’s: 6 คู่สกินแคร์ที่ควรใช้ร่วมกัน แล้วผิวจะปังคูณสอง!

1. AHA/BHA + Ceramides: ผลัดผิวสวย ไม่กลัวผิวแห้ง

คู่หูที่ลงตัวที่สุดสำหรับช่วงหน้าหนาวที่ผิวต้องได้รับการผลัดเซลล์อย่างอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • AHA/BHA (Alpha/Beta Hydroxy Acids) ทำหน้าที่ ผลัดเซลล์ผิว ชั้นนอกที่ตายแล้วอย่างอ่อนโยน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และลดการอุดตัน
  • Ceramides เป็นองค์ประกอบหลักของไขมันในชั้นผิว ทำหน้าที่เป็น เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
  • เมื่อใช้คู่กัน Ceramide จะช่วย ลดผลข้างเคียง ของการระคายเคือง, ผิวแห้ง, และผิวลอกที่อาจเกิดจากการใช้ AHA/BHA ที่มีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เราสามารถผลัดเซลล์ผิวได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสภาพอากาศที่แห้งและเย็น

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • แยกเวลาใช้: ควรใช้ AHA/BHA (Toner/Serum) ในช่วง กลางคืน เท่านั้น หลังจากนั้นรอให้ซึมซาบ 10-15 นาที
  • ใช้ Ceramide เป็นตัวปิดท้าย: ทา Ceramide (Moisturizer) เป็นขั้นตอนสุดท้ายในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวทันที และมอบความชุ่มชื้นตลอดคืน
  • ข้อควรระวัง: หากเพิ่งเริ่มใช้ AHA/BHA ควรใช้เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และสังเกตอาการระคายเคือง หากมีอาการแสบหรือแดง ควรลดความถี่ลง

2. Retinol + Niacinamide: คู่ซี้ปรับผิว ลดการระคายเคือง ป้องกันสิว

นี่คือคู่หูระดับตำนานที่แพทย์ผิวหนังหลายท่านแนะนำ! Retinol มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการริ้วรอยและสิว แต่มาพร้อมความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองและแห้งลอก การมี Niacinamide เข้ามาช่วยจึงเป็นทางออกที่ฉลาดมากค่ะ

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • Retinol ทำหน้าที่ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และคอลลาเจน เพื่อลดริ้วรอยและสิว
  • Niacinamide (Vitamin B3) ทำหน้าที่ ลดการอักเสบ (Anti-Inflammatory), ลดรอยแดง, และช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ให้แข็งแรง
  • เมื่อใช้ร่วมกัน Niacinamide จะช่วย บัฟเฟอร์ ฤทธิ์ของ Retinol ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ผิวทนต่อ Retinol ได้มากขึ้น ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้ แห้ง ลอก หรือแดง (Retinoid Dermatitis) ที่มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นใช้

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • ใช้ Niacinamide ก่อน (The Sandwich Method): ทา Niacinamide (Toner/Serum) ลงบนผิวก่อน เพื่อเตรียมและปลอบประโลมผิว
  • ตามด้วย Retinol: ทา Retinol ในปริมาณเท่าเม็ดถั่วลงไป (อาจใช้ Niacinamide ผสมกับ Retinol ก่อนทา)
  • ช่วงเวลา: ควรใช้เฉพาะ กลางคืน เท่านั้น และห้ามลืมใช้กันแดดในตอนเช้าเด็ดขาด
  • ข้อควรระวัง: แม้จะมี Niacinamide ช่วย แต่ก็ควรเริ่มใช้ Retinol จากความเข้มข้นต่ำสุดก่อนเสมอ (0.1% - 0.3%)

3. Vitamin C + SPF Sunscreen: เกราะป้องกันผิวคูณสิบ สู้แดดและมลภาวะ

นี่ไม่ใช่แค่การจับคู่ แต่เป็นการสร้างเกราะป้องกันผิวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการสู้กับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Damage) ในช่วงกลางวันค่ะ

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • SPF Sunscreen ทำหน้าที่ ป้องกันผิว จากรังสี UVA และ UVB (UV Filter)
  • Vitamin C (L-Ascorbic Acid) เป็น สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะ
  • การทำงานของทั้งสองส่วนผสมนี้คือการ ทำงานร่วมกันแบบเสริมฤทธิ์: กันแดดช่วยป้องกันการทำลายโดยตรง ส่วน Vitamin C ช่วย จัดการความเสียหายที่เล็ดลอด ผ่านกันแดดเข้ามาได้ ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันความแก่และฝ้ากระจากแสงแดดเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • ทา Vitamin C ก่อน: ทา Vitamin C Serum (ควรเลือกชนิด L-Ascorbic Acid ที่มีความเข้มข้น 10-20%) ลงบนผิวที่แห้งสะอาดในช่วง เช้า
  • ตามด้วยกันแดด: รอให้ Vitamin C ซึมซาบ แล้วทาทับด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ในปริมาณที่เหมาะสม (2 ข้อนิ้ว)
  • ห้ามผสมกัน: ไม่ควรผสม Vitamin C Serum กับกันแดดโดยตรง เพราะจะทำให้โครงสร้างของกันแดดเสียไป ควรทาทีละชั้นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

4. Retinol + Hyaluronic Acid: กู้ผิวโทรม ลดริ้วรอย พร้อมเติมน้ำฉ่ำ

สำหรับใครที่ผิวแห้งง่ายในช่วงหน้าหนาว แต่ก็ต้องการจัดการปัญหาริ้วรอยจาก Retinol ด้วย การจับคู่กับ Hyaluronic Acid (HA) คือทางรอดที่ขาดไม่ได้ค่ะ

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • Retinol เร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแห้งและขาดน้ำชั่วคราวในช่วงแรกของการใช้
  • Hyaluronic Acid เป็นสารที่ช่วย ดึงและกักเก็บน้ำ ไว้ในผิวได้ถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัว (Humectant)
  • การใช้คู่กัน HA จะช่วย ต่อต้านความแห้ง ที่เกิดจาก Retinol และให้ความชุ่มชื้นอย่างเต็มที่ ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและลดความรู้สึกตึงแห้งขณะที่ Retinol กำลังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • ใช้ HA ก่อน: ทา Hyaluronic Acid Serum บนผิวที่ เปียกหมาด ๆ (เพื่อดึงน้ำเข้าผิวได้ดี)
  • ตามด้วย Retinol: ทา Retinol ทับลงไป
  • ขั้นตอนเสริม: สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ HA เป็นตัวสุดท้ายก็ได้
  • ข้อควรระวัง: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ HA ที่ไม่มีส่วนผสมของ AHA/BHA เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกิริยากับ Retinol (แม้ว่าจะใช้แยกเวลาแล้วก็ตาม)

5. Peptide + Vitamin C: บูสต์คอลลาเจนคูณสาม ปรับผิวใสและตึงกระชับ

นี่คือคู่หูต่อต้านริ้วรอย (Anti-Aging Duo) ที่ทำงานคนละกลไกแต่เสริมผลลัพธ์ได้อย่างน่าทึ่ง Peptide เน้นเรื่องความแข็งแรงและการซ่อมแซม ส่วน Vitamin C เน้นเรื่องความกระจ่างใสและการปกป้อง

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • Peptides คือสายโปรตีนสั้น ๆ ที่ทำหน้าที่ เป็นสัญญาณ ให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น (เน้นเรื่องความตึงกระชับ)
  • Vitamin C เป็นตัวช่วยสำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen Synthesis) และช่วยให้ผิวดูสว่าง กระจ่างใสขึ้น (เน้นเรื่องผิวเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอ)
  • เมื่อใช้คู่กัน สองส่วนผสมนี้จะช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ได้ถึงสองทาง: ทั้งการเป็นสัญญาณ (Peptides) และการเป็นโคแฟกเตอร์ (Vitamin C) ทำให้ผิวแน่น อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • ใช้เวลาเดียวกัน: สามารถใช้ได้ทั้งช่วง เช้า (เพื่อเสริมการป้องกันอนุมูลอิสระ) และช่วง กลางคืน (เพื่อเน้นการซ่อมแซม)
  • เรียงตามความเบา: ทา Serum ที่มีเนื้อบางเบากว่าก่อน (ส่วนใหญ่มักเป็น Vitamin C) แล้วตามด้วย Peptide Serum/Cream ที่มีเนื้อหนักกว่า
  • ข้อควรระวัง: สาร Peptide ส่วนใหญ่มีความคงตัวในค่า pH ที่กว้าง จึงสามารถใช้คู่กับ Vitamin C ได้ (แม้ Vitamin C จะมีค่า pH ต่ำ) แต่ควรเลือก Vitamin C ที่มีสูตรเสถียร (Stable Formula)

6. Hyaluronic Acid + Ceramides: เกราะป้องกันผิวและเติมน้ำที่สมบูรณ์แบบ

คู่หูพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูทีนช่วงหน้าหนาว ที่ความชุ่มชื้นและการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวคือหัวใจสำคัญ!

เหตุผลที่ควรใช้คู่กัน:

  • Hyaluronic Acid (HA) ดึงน้ำเข้าสู่ผิวในชั้นบน
  • Ceramides สร้างกำแพงไขมันเพื่อ กักเก็บน้ำ และป้องกันไม่ให้น้ำที่ HA ดึงเข้ามา ระเหยออกไปจากผิว (Transepidermal Water Loss: TEWL)
  • การทำงานร่วมกันนี้เรียกว่า "Moisture Sandwich" หรือการเติมความชุ่มชื้นแบบปิดผนึก ทำให้ผิวได้รับน้ำอย่างเต็มที่ และถูกล็อคไว้ไม่ให้แห้งง่ายตลอดวัน

วิธีใช้คู่กันให้เห็นผลที่สุด:

  • ทา HA บนผิวหมาด: ทา HA Serum ทันทีหลังล้างหน้าหรือโทนเนอร์ ในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ
  • ปิดท้ายด้วย Ceramide: ทาทับด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มี Ceramide เพื่อทำหน้าที่เป็นสารเคลือบผิว (Occlusive Agent) ที่ดีที่สุด

⛔ The Don'ts: 6 คู่สกินแคร์ที่ห้ามใช้ร่วมกัน หน้าพังไม่รู้ตัว!

1. Salicylic Acid (BHA) + Glycolic Acid (AHA): ผลัดเซลล์ผิวรุนแรงเกินไป ทำลายเกราะป้องกันผิว

การผสมสารผลัดเซลล์ผิวสองชนิดเข้าด้วยกันในรูทีนเดียว อาจทำให้ผิวของคุณเรียบเนียนเร็วจริง แต่มันมาพร้อมความเสี่ยงที่จะทำลายเกราะป้องกันผิวจนผิวพังได้เลยนะคะ

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน:

  • Salicylic Acid (BHA) มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวและละลายไขมันในรูขุมขน (Lipid Soluble)
  • Glycolic Acid (AHA) มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวที่ชั้นนอก (Water Soluble)
  • เมื่อใช้คู่กัน ฤทธิ์ที่เป็นกรดจะรวมกัน ทำให้เกิดการ ผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรงและลึกเกินไป (Over-Exfoliation) ส่งผลให้ผิวเกิดอาการแสบ แดง อักเสบ และเกราะป้องกันผิวถูกทำลายอย่างรุนแรง

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:

  • ผิวจะไวต่อแสงแดดอย่างมาก ทำให้เกิดฝ้า กระ ได้ง่าย
  • ความเสี่ยงในการเกิดผิวอักเสบ (Inflammation) จนนำไปสู่สิวอักเสบตามมา

2. Vitamin C + AHA/BHA: การลดประสิทธิภาพและเสี่ยงผิวระคายเคืองสูง

แม้ว่าทั้งสองจะช่วยเรื่องความกระจ่างใสและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่เมื่อใช้พร้อมกัน อาจเกิดปัญหาความไม่เข้ากันทางเคมีและเพิ่มการระคายเคืองอย่างมากค่ะ

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน:

  • Vitamin C (L-Ascorbic Acid) ต้องการค่า pH ที่ต่ำมาก (ประมาณ 3.5) เพื่อให้คงตัวและซึมเข้าผิวได้
  • AHA/BHA ก็เป็นกรดที่ต้องการค่า pH ต่ำในการทำงานเช่นกัน
  • เมื่อใช้พร้อมกัน การใช้กรดซ้อนกรดจะ เพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคือง และผิวเบิร์นอย่างมาก นอกจากนี้ การใช้ AHA/BHA (ซึ่งมีค่า pH สูงกว่า Vitamin C เล็กน้อย) ก่อน Vitamin C อาจทำให้ ค่า pH ของผิวสูงขึ้น และทำให้ Vitamin C เสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพลง

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:

  • วิธีแก้: หากต้องการใช้คู่กัน ต้อง แยกเวลา ใช้เท่านั้น โดยใช้ Vitamin C ในตอน เช้า และใช้ AHA/BHA ในตอน กลางคืน

3. Retinol + AHA/BHA: ฤทธิ์เร่งการผลัดเซลล์ผิวที่นำไปสู่ผิวอักเสบ

นี่คือคู่หูที่นำไปสู่ "ผิวพัง" ได้ง่ายที่สุด เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีฤทธิ์ในการเร่งการผลัดเซลล์ผิว (Turnover) ที่รุนแรง

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน:

  • Retinol เร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่จากชั้นล่าง (แต่มีผลทำให้ผิวชั้นบนลอก)
  • AHA/BHA ผลัดเซลล์ผิวชั้นบนโดยตรง
  • การใช้ร่วมกันจะทำให้เกิดการ ผลัดเซลล์ผิวแบบดับเบิ้ลเอฟเฟกต์ (Double Exfoliation) ที่รุนแรงเกินกว่าที่ผิวจะรับไหว นำไปสู่ผิวที่อักเสบ แห้ง ลอก แดง และคันอย่างรุนแรง และทำลายเกราะป้องกันผิวจนไม่สามารถใช้สกินแคร์ตัวอื่นได้เลย

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:

  • วิธีแก้: ควรใช้ Retinol ในคืนนี้ และใช้ AHA/BHA ในคืนถัดไป (สลับวันกัน) หรือใช้ Retinol สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และใช้ AHA/BHA สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

4. Retinol + Benzoyl Peroxide: สารออกฤทธิ์ที่ทำลายกันจนหมดประสิทธิภาพ

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สองส่วนผสมหลักที่ช่วยเรื่องสิวนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพราะมันจะทำลายคุณสมบัติของกันและกัน

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน:

  • Retinol (โดยเฉพาะ Retinol รูปแบบที่ไม่เสถียร) เป็นสารที่อ่อนไหวต่ออนุมูลอิสระสูง
  • Benzoyl Peroxide (BP) มีฤทธิ์ในการออกซิไดซ์ (Oxidizing Agent) สูง ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • เมื่อ BP สัมผัสกับ Retinol จะทำให้ Retinol ถูกออกซิไดซ์ และ ลดประสิทธิภาพ ในการรักษาสิวและริ้วรอยลงอย่างมาก ทำให้เหมือนกับว่าทา Retinol ไปฟรี ๆ โดยไม่ได้ผลลัพธ์

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:

  • วิธีแก้: หากต้องการใช้ทั้งสองตัว ให้ แยกเวลา ใช้! โดยใช้ Benzoyl Peroxide ในตอน เช้า และใช้ Retinol ในตอน กลางคืน (อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดก่อนทา Retinol)

5. Niacinamide + Vitamin C: โอกาสการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ลดประสิทธิภาพ

นี่เป็นประเด็นที่เคยมีการถกเถียงกันอย่างมากในอดีต แม้ว่าปัจจุบันสูตรสกินแคร์จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องระวังการใช้ร่วมกันอยู่ค่ะ

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน (ในสูตรเก่า/ไม่เสถียร):

  • Vitamin C (L-Ascorbic Acid) ต้องการค่า pH ต่ำ
  • Niacinamide อาจจะเปลี่ยนไปเป็น กรด Nicotinic เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีค่า pH ต่ำและอุณหภูมิสูง ซึ่งกรด Nicotinic นี้เป็นตัวที่ทำให้เกิดอาการ ผิวแดง แสบ และระคายเคือง (Flushing)
  • การลดประสิทธิภาพ: ในทางทฤษฎี อาจทำให้ Niacinamide และ Vitamin C ลดประสิทธิภาพของกันและกัน

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ (ในปัจจุบัน):

  • หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรเสถียรและถูกออกแบบมาให้ใช้คู่กันได้ ก็สามารถใช้ได้ แต่เพื่อความปลอดภัย หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ซื้อแยกกัน ควรแยกเวลาใช้ โดยใช้ Vitamin C ในตอน เช้า และใช้ Niacinamide ในตอน กลางคืน เพื่อป้องกันการระคายเคืองโดยไม่จำเป็น

6. Niacinamide + AHA/BHA: ความเสี่ยงในการสูญเสียฤทธิ์และเพิ่มการระคายเคือง

แม้ว่า AHA/BHA และ Niacinamide จะเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยม แต่การใช้ร่วมกันในชั้นผิวเดียวกันอาจทำให้ทั้งสองส่วนผสมทำงานได้ไม่เต็มที่

เหตุผลที่ไม่ควรใช้คู่กัน:

  • AHA/BHA เป็นกรดที่ต้องการค่า pH ต่ำในการทำงาน
  • Niacinamide ต้องการค่า pH ที่เป็นกลาง (5.0 - 7.0)
  • เมื่อทา Niacinamide (pH กลาง) ทับลงบน AHA/BHA (pH ต่ำ) จะทำให้ ค่า pH ของผิวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ AHA/BHA ลดประสิทธิภาพ ในการผลัดเซลล์ผิวลงอย่างมาก
  • ในขณะเดียวกัน การพยายามปรับค่า pH ของผิว อาจทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง มากขึ้นได้

สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ:

  • วิธีแก้: ควรใช้ AHA/BHA ในการทำความสะอาดผิวก่อน แล้ว รอ 15-20 นาที เพื่อให้ผิวกลับสู่สภาวะปกติก่อนทา Niacinamide Serum หรือใช้ สลับวัน กันจะปลอดภัยที่สุดค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ หวังว่าหลังจากอ่าน Do & Don’t จับคู่สกินแคร์ ฉบับละเอียดนี้แล้ว ทุกคนจะสามารถจัดรูทีนได้อย่างเซียนและมั่นใจมากขึ้นนะคะ จำไว้เสมอว่า การดูแลผิวไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ว่าคุณเข้าใจ "หลักการทำงาน" และ "เคมี" ของส่วนผสมต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหนต่างหาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่ผิวอ่อนแอ การจับคู่สาร Active ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์หรือกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ (Retinol, AHA/BHA) กับสารที่ช่วยปลอบประโลมและซ่อมแซม (Ceramide, Hyaluronic Acid) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สุดค่ะ

เริ่มต้นอย่างช้า ๆ และระมัดระวัง หากต้องใช้คู่หูที่เป็น "Don't" ให้ใช้วิธี แยกเวลา หรือ สลับวัน ใช้เสมอ แค่นี้ผิวของคุณก็จะสวยปัง สู้ทุกสภาพอากาศ และรับคุณประโยชน์จากสกินแคร์ทุกตัวได้อย่างเต็มที่แล้วค่ะ ไปอัปผิวสวยใสท้าลมหนาวกันเลยค่ะ

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้เลยที่นี่