#วงในบอกมา
- เครื่องดื่มทุกชนิดของทางร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” ไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทำ แต่ใช้ “เตาถ่าน”
- ตัว “สังขยา” ทางร้านใช้กะทิสด ไม่ใส่สารกันบูด โดยทำวันต่อวันเท่านั้น!
- แมน ๆ คุยกัน! กว่า 95% ลูกค้าที่มานั่งจะเป็นผู้สูงอายุผู้ชาย
เปลี่ยนบรรยากาศและมู้ดแอนด์โทนของความโมเดิร์นจากคาเฟ่และร้านกาแฟชิก ๆ มาย้อนเวลาสู่ร้านกาแฟโบราณสุดวินเทจ เสน่ห์ของความธรรมดา และบรรยากาศความหว่องที่ชวนหวนนึกถึงวันวานกันที่ร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” ร้านกาแฟโบราณ ที่ผ่านกาลเวลามานับ 90 ปี จากอากงสู่รุ่นหลาน


หากพูดถึงคำว่า “สภากาแฟ” ร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” คงจะนิยามคำนี้ได้ดีที่สุด ด้วยร้านธรรมดา ๆ ในห้องแถวเก่าแก่ ตกแต่งแบบเดิมเหมือน 90 ปีที่แล้วเป๊ะ ๆ ราวกับหยุดเวลาเอาไว้ ผนวกกับบรรยากาศยามเช้า ไปจนถึงช่วงบ่ายของวันที่แน่นเนืองไปด้วยผู้คน ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ มานั่งจิบชา กาแฟ กันแบบชิลล์ ๆ และพูดถึงเรื่องสัพเพเหระ บ้างคุยเรื่องครอบครัว บ้างคุยเรื่องการเมือง บ้างคุยเรื่องช่วงชีวิตที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศเป็นกันเองของโต๊ะที่ถูกจัดวางไว้เพื่อให้นั่งหันหน้าเข้าหากัน โดยปกติทุกวันผู้คนจะเข้ามานั่งพูดคุยกันอย่างออกรส ที่น่าสังเกตคือทั้งร้านมีแต่ผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลยค่ะ

“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นผู้ชาย มานั่งสูบบุหรี่ พูดคุย กินกาแฟกันแบบง่าย ๆ ป้ารับช่วงต่อมาดูแลร้านภายหลัง 30 ปี แต่ก็อยู่ร้านนี้มานาน เห็นรุ่นอากง อาป๊า อาม๊า ทำมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก รู้สึกผูกพันมากและด้วยความที่เปิดมายาวนาน ป้าเลยคุ้นหน้าคุ้นตาลูกค้าประจำแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ร้านนี้จะมีแต่คนสูงอายุ แล้วก็นั่นแหละ หลายคนก็ได้ลาจากโลกนี้ไปตามเงื่อนไขของชะตากรรมและสุขภาพร่างกาย เพราะอายุเยอะกันพอสมควร” พี่ศรันยา สิงคิงวิทย์ หรือ พี่บุ๋ม เจ้าของร้านได้เล่าเรื่องราวของความผูกพันระหว่างตนเอง และลูกค้าให้ฟังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ปนการปล่อยวาง เพราะการใช้ชีวิตมาได้ระยะหนึ่ง ย่อมรู้ซึ้งดีว่าไม่มีอะไรจีรัง ดังนั้น การทำร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” จึงถือเป็นความสุขของตนเองอย่างหนึ่ง ทั้งการได้สานต่อร้านกาแฟที่อากงตั้งใจสร้าง และการนั่งมองผู้คนมาใช้เวลาในร้านของตน นั่งมองดูแล้วก็เพลินไม่น้อย เพราะแท้จริงความสุขของชีวิตอาจไม่ต้องการอะไรมากมายนอกเสียจาก กาแฟดี ๆ สักแก้ว และเพื่อนคู่คิดที่คอยนั่งพูดคุยกันนี่นา


กลิ่นหอม ๆ ของกาแฟโบราณยังคงโชยมาอย่างต่อเนื่องระหว่างการพูดคุย เริ่มกันเลยกับ “โอยั้วะ” (14 บาท) กาแฟดำชงแบบโบราณ ด้วยการใช้เตาถ่าน หม้อกาแฟ และถุงกาแฟ โดดเด่นด้วยกลิ่นหอม และรสชาติสุดเข้มที่เป็นเอกลักษณ์ และเมื่อสั่งเครื่องดื่ม ทางร้านมีบริการน้ำชาให้ฟรีด้วยค่ะ สามารถเลือกได้เลยว่าจะเอาแบบเย็น หรือ ร้อน


ตามมาด้วย “เฮ่งยิ้ง” (20 บาท) หรือ นมอัลมอนด์ สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ทางร้านเสิร์ฟมาแบบร้อน ๆ กลิ่นหอมชวนกิน และรสชาติหวานกำลังดี

แน่นอนค่ะว่ามาร้านกาแฟโบราณ ต้องมีเมนู “ไข่ลวก” (ฟองละ 18 บาท) ลวกกึ่งสุก กึ่งดิบ เหยาะซอสปรุงรสและพริกไทย จากนั้นคนให้เข้ากัน เป็นอะไรที่ลงตัวสุด ๆ และปิดท้ายด้วยเมนู “ขนมปังปิ้ง” (20 บาท) ทางร้านมีให้เลือกทั้ง สังขยา เนย และแยม โดยวันนี้ที่แพรมากินคือ “สังขยา” ทางร้านมีสูตรเฉพาะคือการใช้สังขยาไข่ กะทิสด และไม่ใส่สารกันบูด จึงทำให้รสชาติไม่หวานมาก และอีกรสชาติ คือ “เนย” ปิ้งมาหอมกรุ่นกำลังดี ที่สำคัญรสชาติไม่เลี่ยนเลยค่ะ

หลังจากกินจนอิ่ม และได้มาเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งร้านกาแฟโบราณแบบนี้แพรชักติดใจแล้วล่ะค่ะ กับมนต์เสน่ห์ของความเก่า และความคลาสสิกที่กาลเวลาฆ่าไม่ตาย ใครสนใจอยากมาลิ้มลองรสชาติกาแฟโบราณและสัมผัสบรรยากาศสุดเก๋า พร้อมกับนั่งมองวิถีชีวิตของผู้คนแบบนี้แล้วล่ะก็มากันได้เลยค่ะที่ร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” ตั้งแต่เวลา 04:30 - 19:30 น. รับรองว่ามาแล้วต้องอยากมาซ้ำอีก!
การเดินทาง
ร้าน “เอ็กเต็งผู่กี่” ตั้งอยู่ที่ถนนพาดสาย กรุงเทพฯ (ด้านหลังโรงแรมไชน่า ทาวน์) สามารถมาได้โดยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT หัวลำโพง และต่อรถวินมอเตอร์ไซค์ก็สะดวกค่ะ