หลังจากการหาร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันแท้ ในกรุงเทพอยู่สักพัก เราก็ได้เจอร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังที่อยู่แถวถนนเย็นอากาศ นั่นก็คือ ร้าน Little Market นั่นเอง ซึ่งทำโดยฝีมือของเชฟ Chet Adkins กับการทำ Steakburger แบบ Smashed Style ที่คัดสรรเนื้อส่วนที่ดีที่สุดมาทำ จะเป็นยังไงบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า
เชฟ Chet Adkins ผู้ก่อตั้งร้าน Little Market “เปิดตั้งแต่ปี 2015 ก่อนหน้านี้ร้านเปิดอยู่แถวตลาดน้อย แล้วจึงย้ายมาที่แถวเย็นอากาศ ตอนเริ่มแรก ๆ ทำงานกับอีกโปรเจกต์หนึ่งเปิดร้านอาหารเหมือนกัน ซึ่งตอนที่เปิดร้านแรก ๆ ในเมืองไทยก็จะมีแต่เบอร์เกอร์ชิ้นหนา ๆ ใหญ่ ๆ ตอนนั้นยังไม่มีแบบ Smashed Style เหมือนที่สวนหลังบ้านของเชฟที่กินที่อเมริกา”
หลายคนคงสงสัยว่า Smashed Style เป็นยังไง ในส่วนของ Smashed Burger มาจากสไตล์เบอร์เกอร์ที่เชฟเคยกินที่อเมริกา ซึ่งจะปั้นเบอร์เกอร์เป็นลูกกลม ๆ แล้วกดเข้าไปกับเตาแบนที่มีความร้อนมาก ๆ ก่อนที่จะนำเนื้อเบอร์เกอร์มาใส่ในขนมปัง ก็กดให้ผิวหน้าเนื้อเบอร์เกอร์เซียร์จนสุก มากกว่าการวางเบอร์เกอร์ชิ้นหนา ๆ ลงไปเฉย ๆ ทำให้มีความกรอบขึ้น ในขณะที่ข้างในยังนุ่มอยู่
“ที่นี่จะเน้นคุณภาพของเนื้อวัว เราจะเน้นแบบที่ไม่ใช่บัตเตอร์บัน แต่จะเป็นขนมปังจืดแทน เพื่อที่จะให้รสชาติของเนื้อวัวออกมาให้มากที่สุด เบอร์เกอร์ของเราจะเสิร์ฟแบบชิ้นกำลังพอดี ไม่ได้ใหญ่เกินไป ส่วนของเนื้อวัวที่ใช้จะเลี้ยงด้วยรำข้าวนาน 270 วัน ในช่วงแรกของการเลี้ยง จะเลี้ยงด้วยหญ้าแล้วต่อมาก็เริ่มขุนด้วยรำข้าวและธัญพืชเพื่อให้เนื้อมีความนุ่ม และมีไขมันมากขึ้น”
โดยเนื้อที่ใช้จะเป็นเนื้อ “Top Sirloin เนื้อสันนอกที่มีคุณภาพสูง จะไม่ได้ใช้เศษเนื้อมาทำ เป็นเนื้อที่คนส่วนใหญ่คัดมาทำสเต๊ก ซึ่งจะไม่ค่อยนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์” แต่เชฟได้นำเอาเนื้อวัวส่วนนี้มาบดทั้งก้อน แล้วทำเป็นเบอร์เกอร์เลยได้ชื่อว่า Steakburger
ส่วนใหญ่ที่ร้านจะไม่เรียกสเต๊กเนื้อ แต่จะเรียกเป็น Steakburger แทน และเมนูที่ขายดีเลย ก็คือ “Triple Double ใช้เนื้อสเต๊ก 3 ชิ้น มา Smashed เป็นไส้ จะได้ความเป็นเนื้อวัว อร่อยมาก” ตามด้วยอเมริกันชีส คัสตาร์ด และมายองเนส
ในเมืองไทย มีหลายคนที่ไม่กินเนื้อวัว ทางร้านก็จะมีเบอร์เกอร์หมูที่เป็น Triple Pork Burger กับเบอร์เกอร์ไก่ทอด ซึ่งใช้เนื้อหมูและเนื้อไก่จากฟาร์มที่ไม่ใช้สารปฏิชีวนะกับสารเร่งโต ส่วนเมนู Philly Cheesesteak ซิกเนเจอร์ของเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เชฟบอกว่าทำได้ใกล้เคียงกับออริจินอลที่สุดแล้ว ซึ่งหากินได้ยากในเมืองไทย และ Philly Bird คือ เนื้อไก่ ใส่ลงไปในเตาแบนที่ร้อนมาก ใส่น้ำสต๊อก และใส่ชีสเข้าไป ตักขึ้นมาลงในขนมปัง
เมนูแนะนำของร้าน สำหรับลูกค้าที่มาครั้งแรก แน่นอนว่าต้องเป็น Steakburger ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมู ถ้าเป็นคนกินเนื้อวัวอยู่แล้วแนะนำ Steakburger รวมทั้งของทอดต่าง ๆ อย่าง Onion Rings, Loaded Tots, Buffalo Wings และอื่น ๆ
ตามด้วยเมนูเครื่องดื่มของทางร้าน อย่าง Milkshakes มีความพิเศษเป็นสูตรเแบบปั่น ไม่ใส่น้ำแข็ง แต่ใส่ไอศกรีมปั่นกับนมอย่างเดียว มีหลากหลายรสชาติ อาทิ ช็อกโกแลต, วานิลลา, สตรอว์เบอร์รี, พีนัทบัตเตอร์ เป็นต้น โดยส่วนตัวเชฟชอบรสช็อกโกแลต และเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลย ถ้ามาที่นี่
จริง ๆ แล้วในเรื่องอาหารของเบอร์เกอร์นั้นมาจากอเมริกาอยู่แล้ว แต่ในเรื่องความแตกต่างกันของเบอร์เกอร์ ในแต่ละที่จะมีสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน อย่าง เบอร์เกอร์ที่เป็นขนมปังนึ่งก็จะมีชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ แต่ถ้าเป็นสไตล์ของร้าน จะเป็นสไตล์ที่เชฟกินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่บ้านเกิดในรัฐออร์แลนโด ฟลอริดา
มาพูดถึงเมนูของหวาน อย่าง Hand Pies เชฟบอกว่า “เป็นสูตรของคุณย่าที่เคยทำให้กินตอนเด็ก ๆ โดย Hand Pies เราได้ทำแป้งขึ้นมาใหม่ รวมทั้งทำไส้ และซอสขึ้นมาเอง” ส่วน Cheesecake Bites นำชีสเค้กใส่ถังแล้วก็ตักเป็นสกู๊ปขึ้นมา แล้วนำไปทอด และก็ราดด้วยซอส แถมเชฟยังบอกอีกว่า “อาหารร้านเชฟไม่ใช่ที่คนอยากจะไดเอทมากิน เพราะ ของหวานเราค่อนข้างจะเข้มข้นมาก ๆ เหมือนกัน แต่จะเข้ากันได้ดีกับเบอร์เกอร์ของเรา”
อีกหนึ่ง เมนู Hot Dog ที่เป็นสไตล์อเมริกันแท้ ๆ ที่ขายกันในสนามที่ไปดูเบสบอล อย่าง Cheese Dog และ Chili-Cheese Dog ซึ่งทางร้านก็จะมีหลากหลายซอสให้เลือกเหมือนกัน รวมถึง ไส้กรอกหมู ที่ใส่ใน Hot Dog ซึ่งได้ไปคุยกับบริษัทภายในประเทศที่ผลิตไส้กรอกโดยเฉพาะ และก็ปรับสูตรให้เป็นสูตรของทางร้าน ปรับทั้งเนื้อสัมผัส และรสชาติ ให้เหมือนกับสไตล์อเมริกัน
หัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ คือ ความสม่ำเสมอ ความรวดเร็ว และคุณภาพที่ดี เพราะเราได้ชั่งตวง วัด ทุกรายการ ทำให้เบอร์เกอร์ที่ทำมีรสชาติและคุณภาพที่ดีในทุกวัน
ปกติร้านมีคนเข้ามาเยอะมาก “ตอนนี้ทางร้านมีแพลนที่จะขยายร้านเพิ่มอีกด้วย ก่อนหน้านี้ร้านเคยเปิดอยู่ที่ตลาดน้อยประมาณ 1-2 ปี ยังไม่ได้มีสถานที่ประจำ ทำให้ต้องไปออกอีเวนต์, เฟสติวัลตามงานต่าง ๆ ตลอด เราก็เลยมองหาร้านใหม่ และก็มาได้ร้านที่นี่ช่วงโควิดพอดี ทำให้ตัดสินใจอยู่ว่าจะเปิดดีไหม สรุปเราก็เลยตัดสินใจเปิด เพราะได้ที่นี่แล้ว ซึ่งได้เปิดบริการในช่วงเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา”
ในช่วงโควิดที่ผ่านมาเชฟบอกว่า “มันก็ยากมากเหมือนกัน เราช่วยกัน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เราก็พยายามที่จะประคองร้านกันไป ร่วมกับพนักงานของเรา ซึ่งถ้ามองในมุมของเดลิเวอรี เราก็ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี”
ถึงแม้ว่าจะยังนั่งกินที่ร้านยังไม่ได้ เชฟก็ได้ฝากมาให้กำลังใจร้านค้าที่ประสบปัญหาในตอนนี้ว่า “เราทุกคนก็ยากลำบาก และเสียดายมาก ๆ ที่บางร้านค้าไม่ว่าจะเป็น Street Food, Fine Dining และอื่น ๆ ที่เปิดร้านมานานหลายสิบปีต้องปิดตัวลง ซึ่งจริง ๆ แล้วเชฟก็ยังมีร้านอาหารอีกที่หนึ่ง ที่ต้องปิดตัวชั่วคราวเช่นกัน อยากให้ทุกคนสู้ ๆ และหวังว่าถ้าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ เราก็จะกลับมาได้เร็วมากเช่นกัน”
เรามาแล้ว ที่นี่ Little Market เปิดทุกวัน 10 โมง ถึง สี่ทุ่ม สามารถสั่งซื้อโดยตรงผ่านทาง LINE @littlemarketbkk และสามารถเดลิเวอรีได้ผ่านทาง LINE MAN