บรรยากาศช่วงเย็นใกล้หัวค่ำในหลาย ๆ ย่านของกรุงเทพฯ เป็นช่วงเวลาที่แสนวุ่นวาย พนักงานออฟฟิศต่างเลิกงาน บนท้องถนนเต็มไปด้วยแสงสีของรถราที่พากันมาทิ้งตัวแน่นิ่ง รอเวลาที่แสงไฟจราจรจะขยับเปลี่ยนสี ย่านเก่าแก่อย่างเสาชิงช้าก็ไม่ต่างกันมากนัก นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางกลับที่พัก ร้านรวงหลายแห่งเริ่มปิด เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันต่อไป หากนั่นไม่ใช่ “ภูธรบาร์” หรือร้านปังลุงเฉื่อย ร้านขนมปังปิ้งที่กำลังจะเริ่มต้นวันอันเหน็ดเหนื่อยของพวกเขา ในเวลา 1 ทุ่มตรง ของทุก ๆ วัน
ชื่อ “ภูธรบาร์” นั้นมีที่มาจากการที่ร้านตั้งอยู่ตรงแพร่งภูธรพอดิบพอดี แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าทางร้านจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขาย เพราะภูธรบาร์ขายแค่ขนมปังและน้ำหวานจริง ๆ แต่ใช้คำว่า “บาร์” ตามความต้องการของเจ้าของร้านที่อยากให้ร้านแห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนที่มาเท่านั้นเอง
“พี่หนึ่ง” เจ้าของร้านภูธรบาร์ หรือที่ลูกค้าประจำต่างเรียกขานว่า “ลุง” เล่าให้เราฟังว่า สมัยก่อนภูธรบาร์เปิดตั้งแต่ตอนเที่ยง แต่ช่วงเที่ยงจะมีออเดอร์เข้ามาเยอะมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระทรวงต่าง ๆ ในบริเวณนี้พักกินข้าว ทางร้านที่มีคนทำแค่สองคนคือ พี่หนึ่งและแฟน จึงไม่สามารถทำตามออเดอร์ได้ทันเวลา
“บางทีลูกค้ามาสั่งเอาทันที 50 ก้อน กระทรวงนู้นสั่งอีก 100 ก้อน ผมทำไม่ทันจริง ๆ ลูกค้าที่ออเดอร์ไว้ก็ส่งไม่ทัน ที่มาหน้าร้านก็เยอะ ผมก็กังวลที่ทำไม่ทัน เครียดกับการรับอารมณ์ลูกค้า สุดท้ายเลยคุยกับแฟนว่า มันไม่ไหวแล้ว”
พี่หนึ่งเล่าว่า ช่วงนั้นตนเครียดมาก รู้สึกไม่มีความสุขกับการขาย เคยถึงขนาดเก็บเอาไปฝันว่าลูกค้าสั่งออเดอร์ ร้องไห้ในฝันก็เคย ทั้งตนและแฟนถึงกับผวาการขายไประยะหนึ่งเลยทีเดียว จนสุดท้ายทั้งคู่จึงตัดสินใจเปลี่ยนเวลาขายแทน
“ตอนนั้นมันเหมือน ‘ขายดีจนเจ๊งอะ’ คือขายได้ ใช่! ผมขายได้ แต่ผมทำไม่ทัน ผมทำให้ลูกค้าหลายคนต้องผิดหวัง ถ้ายังขายต่อไปก็เสียชื่อ เลยคุยกับแฟนว่าย้ายเวลาเถอะ”
แรก ๆ ทั้งสองก็ย้ายมาเปิดช่วงบ่ายสองโมงแทน แต่ด้วยความที่พนักงานต่างก็พักเบรกเสร็จแล้ว ลูกค้าจึงน้อยลง พอช่วง 4-5 โมง จึงค่อยมีลูกค้าเข้ามา แต่ก็ยังติดปัญหาบางอย่างอยู่ สุดท้ายจึงตกลงกันว่า จะเริ่มปิ้ง 1 ทุ่ม แล้วปิดเที่ยงคืนแทน
“ถ้าถามว่าเปิดตอนเย็นแล้วขายได้น้อยลงไหม ก็ไม่นะ ทุกวันนี้ทำวันละ 1,000 ก้อน เพิ่มเติมคือผมมีความสุขขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องออเดอร์ลูกค้าแล้ว ”
เราแอบถามพี่หนึ่งว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ภูธรบาร์เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน พี่หนึ่งกลับยิ้มแล้วตอบเราทันทีว่า ‘ความสบายใจ’ ลูกค้าของภูธรบาร์ มีทั้งที่แวะมาตามชื่อเสียงที่ได้ยิน หรือบางคนอาจจะแค่เดินผ่านมา แต่ทุกคนจะต้องรู้สึกดีที่ได้มาเยือนที่ร้านแห่งนี้
“ของอร่อยที่ไหนก็มีขาย ไปเซเว่นก็หาขนมปังอร่อย ๆ ได้ แต่มาที่นี่ ผมให้ความสบายใจ ถ้าลูกค้าสบายใจ เขาก็มาทุกวัน”
นอกจากจะคอยปิ้งขนมปังแล้ว ความสนุกอีกอย่างของพี่หนึ่ง ในการเปิดร้านภูธรบาร์ ก็คือการได้พูดคุย ได้เล่นกับลูกค้าที่มาที่ร้าน จนบางครั้งเป้าหมายของลูกค้า ก็คือการได้มาเจอตัวพี่หนึ่ง หรือลุงเฉื่อยของทุกคนนั่นแหละ
“ผมเคยแกล้งเอาเกลือใส่หลอดให้ลูกค้าที่สนิทกันคนหนึ่งกิน ดูดน้ำปุ๊บเต็ม ๆ เค็มถึงตับ! สุดท้ายเอาอีก ขออีกแก้วให้เพื่อน กลายเป็นแฟชั่นการแกล้งกันไป (หัวเราะ)”
ตลอดเวลาที่เราได้พูดคุยกับพี่หนึ่ง เหล่าลูกค้าประจำของภูธรบาร์ก็ยังคงแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย นั่นทำให้เราได้เห็นภาพน่ารัก ๆ ระหว่างเจ้าของร้านและลูกค้าอยู่เรื่อย ๆ พี่หนึ่งเล่าให้เราฟังว่า ตัวเขามีความคิดอย่างหนึ่งว่าการเปิดร้านนั้นไม่ใช่แค่เรื่องกำไร แต่คือการได้รู้จักคนให้มากขึ้น ได้เพื่อนเพิ่มขึ้น และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือการได้ ‘พี่น้อง’ เพิ่มขึ้นมา
“สำหรับผม มาครั้งแรกคุณคือลูกค้า ครั้งต่อไปคือเพื่อน เรามารู้จักกันให้มากขึ้น มาสนิทกัน แล้วถ้ามาอีกครั้ง คุณคือพี่น้อง ตามนั้นเลย คุณมีปัญหาอะไรบอกผมได้เลย!”
‘ใจนักเลง!!’ คือคำที่เรานิยามให้กับพี่หนึ่งไว้ในใจ แล้วนึกชื่นชมอยู่จาง ๆ หลังได้ฟังความคิดของเจ้าของร้านภูธรบาร์แห่งนี้ ก่อนจากกัน เราแอบถามถึงความรู้สึกของพี่หนึ่งในฐานะที่เป็น ‘ลุงเฉื่อย’ แห่งภูธรบาร์ ของทุกคน
“มีความสุขครับ เป้าหมายของผมในการเปิดร้านคือเพื่อความสุข ผมมีความสุข ลูกค้ามีความสุข จบเลย! แค่นี้ก็พอแล้ว”