Nimmohouse (นิมโม่เฮ้าส์)

วันนี้มาซะไกลหล่อน ออกนอกเมืองมาประมาณเกือบๆ 30 กิโลเมตร เพื่อมาสัมผัสบรรยากาศของร้านปิ้งย่าง และชาบู ที่ตอนเปิดร้านใหม่ๆ กระแสของร้านนี้แรงมาก แต่น้าอ้วนก็ไม่มีโอกาสได้แวะมาซะที มัวแต่ตระเวณรีวิวอยู่ในเมือง แต่วันนี้มีโอกาสอันดี และเหมือนกับว่าพอเหมาะ พอเจาะด้วยที่เป็นช่วงฤดูหนาว ร้านแบบนี้ต้องมาตอนฤดูหนาวถึงจะฟิน จะได้ซึมซาบธรรมชาติอย่างถึงใจ มุ่งหน้ามาทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ครับ แต่ไม่ให้จอดนะ เพราะว่าจากจุดนี้ต้องไปอีกประมาณ​ 7 กิโลเมตร ผ่านสามแยกโรงพยาบาลสันทรายมา ต่อมาให้สังเกตโรงงานสันติภาพ จำกัด เลยโรงงานมานิดหนึ่งจะมีซอยนะครับ ชื่อซอยสันติสุข ซอย 5 หน้าปากซอยจะมีร้านขายของชำใหญ่ๆ (จะมีป้ายของ Nimmohouse) ติดอยู่ด้วย อาจจะไซส์เล็กหน่อย ก็ให้ขับเข้ามาเลยครับ มาตามถนนเรื่อยๆ จนเจอต้นชาฮกเกี้ยนสูงๆ เป็นรั้วบ้าน ก็ให้ขับตามแนวของต้นชาเลยครับ ก็จะพบกับทางเข้าลานจอดรถของร้าน Nimmohouse ร้านนี้ถ้าจะไม่พูดถึงบรรยากาศก็คงไม่ได้ บรรยากาศนี่กินขาด ก้าวแรกที่ลงจากรถ อันนี้ธรรมดาอยู่ แต่พอเดินไปตามทาง เข้าประตูของร้านที่เอาตู้คอนเทนเนอร์มาดัดแปลง พอผ่านประตูไปปุ๊บจะรู้สึกถึงความอลังการ เพราะร้านนี้เขาจะอยู่เลียบกับทะเลสาบเล็กๆ จะมีการจัดโซนของโต๊ะอาหารอยู่ 2 โซนคือในร่ม (ตู้คอนเทนเนอร์) และกลางแจ้ง ซึ่งจะเรียงรายไปตามแนวฝั่งของทะเลสาบ แต่บางโต๊ะก็อยู่ในสวนนะครับ (ใครมาก่อนได้ที่ดีก่อนนะ อิอิ) สำหรับโต๊ะเลียบข้างทะเลสาบเขาจะใช้เจ้า Bean Bag ไว้ให้บริการลูกค้า ตอนแรกน้าอ้วนก็ไม่ถนัดกับ Bean Bag สักเท่าไร พอนั่งไปปุ๊บมันก็จะยุบ แล้วไปพองตรงส่วนอื่น แต่พอได้เรียนรู้ กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้า Bean Bag สักพักก็โอเค แต่สุดท้ายพอมื้ออาหารได้หมดลง น้าอ้วนก็ได้ค้นพบประโยชน์อันแท้จริงของเจ้า Bean Bag นี่แหละครับ ….​ แหม่ะ ช่างสบายอะไรเช่นนี้ เมื่อก่อน Nimmohouse ในช่วงแรกๆ เขาให้บริการชาบูและปิ้งย่างแบบบุฟเฟ่ต์ แต่พอได้สักช่วงหนึ่งก็ค้นพบปัญหาที่ว่า ด้วยคอนเซ็ปของทางร้าน ทางร้านอยากให้เป็นสถานที่ชิลๆ ในการรับประทานอาหารและพูดคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง หรือครอบครัว แต่การที่บริการแบบบุฟเฟ่ต์นั้น มันทำให้สิ่งที่คาดหวังไว้ไม่เป็นดังที่ตั้งใจ (คงรู้เหตุผลนะ อิอิ เพราะน้าอ้วนเวลาที่เจอบุฟเฟ่ต์ทีไรก็จะมีอาการเช่นนั้นประจำ) ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนให้บริการแบบเซ็ทเมนู ทั้งชุดสุกี้น้ำดำเนื้อ หรือชุดชาบูน้ำใสเนื้อ และสำหรับใครที่ชอบแบบปิ้งๆ ย่างๆ ก็น่าจะสั่งชุดปิ้งย่างเนื้อหรือหมูแทนได้ แต่ถ้ารู้สึกว่ายังไม่จุใจ เขาก็มีแบบ add on ให้เลือกสั่งกันได้ตามอัธยาศัยอีกด้วย วันนี้น้าอ้วนขอรีวิวทั้งสามชุดเลยนะ เพื่อที่จะได้เห็นว่าแต่ละชุดมันเป็นอะไร ยังไงบ้าง แต่ว่าน้าอ้วนขอเลือกแบบเป็นสุกี้น้ำดำและเตาย่างละกัน ส่วนเนื้อหรือหมูนั้น เราก็จัดเต็มตามคอนเซ็ปน้าอ้วนชวนหิว ๕๕๕๕ เมื่อก่อนตอนเปิดร้านใหม่ๆ น้าอ้วนก็เห็นร้านนี้เขาเสิร์ฟกันในจานธรรมดานั่นแหละ แต่ตอนนี้พัฒนาแล้ว ให้ดูดีมีชาติตระกูลมากขึ้น โดยเสิร์ฟกันมาแบบจานสองชั้น (ออกแนวคล้ายๆ afternoon tea set ตามโรงแรมต่างๆ) ถามว่าราคาค่อนข้างสูงไหม น้าอ้วนแอบคิดในใจก็สูงนะ แต่เนื้อต่างๆ ที่นี่จะใช้เกรดพรีเมียม ซึ่งเป็นเนื้อโคขุนเป็นหลัก โดยที่จะเลือกส่วนที่เป็นใบพาย กับริบอายมาบริการ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเนื้อในเกรดคุณภาพดี ส่วนหมูก็สั่งมาจากแหล่งที่เชื่อถือและมั่นใจได้ ส่วนรสชาตินั้นเหรอ คงต้องมาลองเองแล้วหละ ถ้าพูดถึงสุกี้น้ำดำ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี รสชาตินี่ญี่ปุ่นแท้ๆ ไม่อายใครเลยแหละ เอาเนื้อหรือหมูไปจุ่มในน้ำซุปดำ แล้วเอามาจิ้มทานกับไข่ไก่สด อืมมมม มันฟินนะ หรือจะเอาเนื้อไปย่างบนเตาถ่านแบบญี่ปุ่นมาก ไฟร้อนสุดๆ แบบว่าเอาเนื้อลงไปปุ๊บต้องนั่งเฝ้า ถ้าไม่เฝ้านี่มีไหม้จ่ะ … ทานคู่กับน้ำจิ้มสามรสที่รสชาติต้องการันตีว่าเด็ด งานนี้อธิบายหมดไม่ได้ ต้องมาลองเองนะจ๊ะ หรือใครที่เป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง ที่นี่ก็มีเบียร์นอกไว้บริการนะจ๊ะ บอกเลยว่าไม่น้อยหน้าร้านเบียร์ใหญ่ๆ เพราะว่าเขาจะมีเบียร์นอกที่หมุนเวียนเปลี่ยนมาให้เลือกกัน วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 150 ฉลาก จากทั่วโลก และที่สำคัญคือเบียร์สดนกฮูก (ฮิตาชิโน่) บอกเลยว่าที่นี่เป็นที่แรกที่มีบริการในเชียงใหม่ อ่ะ ….​คอเบียร์นอก ห้ามพลาดนะจ๊ะ และอย่าลืมขาหมูเยอรมัน กับไส้กรอกรวมที่นี่สั่งมาเป็นกับแกล้ม รสชาติก็ไม่เบาเหมือนกันนะ หลังจากที่ได้อิ่มอร่อยกับทั้งสุกี้และปิ้งย่างแล้ว เลยได้ใช้ประโยชน์ของเจ้า Bean Bag อย่างเต็มที่ในการเอกเขนกร่างกายอันใหญ่โตของน้าอ้วน ไม่เคยเจอร้านไหนที่แบบว่าอิ่มแล้วจะนั่งแบบมีความสุขอย่างนี้มาก่อน ๕๕๕๕ ชื่อนิมโม่เฮ้าส์ (Nimmohouse) มาจากชื่อของเจ้าของร้าน ชื่อคุณนิม หนุ่มร่างใหญ่ใจดี (ไซส์พอๆ กับน้าอ้วน ๕๕๕) เมื่อก่อนเพื่อนชอบเรียกว่า นิมโม่ และร้านนี้ก็สร้างอยู่ในเขตบริเวณบ้านด้วย ดังนั้นก็จึงเป็นที่มาของนิมโม่เฮ้าส์ สำหรับนิมโม่เฮ้าส์แห่งนี้ก็ต้องขอยกนิ้วให้นะครับเรื่องของบรรยากาศที่หาได้ยากแบบนี้ เชื่อเถอะในเมืองไม่มีอไรแบบนี้หรอก ดังนั้นถ้าอยากเจอ อยากสัมผัสอะไรแบบนี้ก็ต้องบุกป่า ฝ่าดงกันสักนิด แล้วจะค้นพบความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ รวมไปถึงอาหารที่รสชาติบอกเลยว่าไม่เป็นสองรองใครเรื่องชาบูหรือปิ้งย่าง ดังนั้นเมื่อทั้งปิ้งย่าง ชาบู สุกี้มาพบกับธรรมชาติ มันเลยเกิดเป็นความลงตัว ที่สำคัญถ้าใครอยากมาร้านนี้ ควรจะโทรจองโต๊ะก่อนนะครับ เพราะว่าเคยมีเหตุการณ์ว่าลูกค้า Walk In เข้าไป แล้วเผอิญว่าโต๊ะเต็ม แล้วร้านนี้เขาก็ไม่ได้จำกัดเวลาในการทานอาหาร ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าโต๊ะจะว่างเมื่อไร อีกทั้งร้านก็ค่อนข้างอยู่ไกล ถ้าไปแล้วเสียเที่ยวก็สงสารนะ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ โทรจองก่อนนะจ๊ะ ทางร้านใจดี ถึงแม้จะไปเลท ทางร้านก็ไม่ปล่อยโต๊ะนะจ๊ะ :) ข้อนี้สำคัญมาก ขีดเส้นใต้ไว้เลย อิอิ