- หน้าแรก
/
- รีวิว The Chocolate Line Antwerp

รีวิว The Chocolate Line Antwerp
The Belgian Chocolate Trail : The Chocolate Line
...ถ้าใครจะไปประเทศเบลเยี่ยมแล้วเลือกแวะร้านช็อคโกแลตได้แค่เพียงร้านเดียวล่ะก็ ต้องเป็นร้านนี้เท่านั้นค่ะ... เพราะร้านช็อกโกแลตที่เรียกได้ว่าสุดฮ็อตร้อนฉ่าที่สุดในวงการช็อกโกแลตของเบลเยี่ยม (และของโลก) นาทีนี้บอกได้เลยว่าไม่มีใครเกิน The Chocolate Line ของ Dominique Persoone – Chocolatier หนุ่มใหญ่มาดพยศที่สักวลี “Chocolate is Rock n’ Roll” กับโลโก้ Lips and Tongue ของ The Rolling Stones ไว้บนต้นแขน และเรียกตัวเองว่า “Shock-O-latier” ผู้นำเสนอหลากหลายไอเดียสุดครีเอทที่ทำให้คนรักช็อกโกแลตหัวใจเต้นรัวและอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน ...เป็นเชฟหัว progressive สุดขั้วที่กล้าทดลองผสมผสานรสชาติใหม่ๆ รวมไปถึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ต่างๆจากช็อกโกแลตที่ฟังดูหลุดโลกจนต้องอ้าปากค้าง ...ที่สำคัญคือทั้งรสชาติและคุณภาพของช็อกโกแลตที่นี่นั้นคือระดับท็อปตัวจริง ไม่ได้ขายแค่ความแปลกใหม่หรือภาพลักษณ์ฉาบฉวย จึงทำให้ร้านนี้ประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ Chocolatiers รุ่นหลังๆหลายคนพากันเจริญรอยตามบ้างทีเดียว ****-Profile-**** Dominique Persoone นั้นเป็นเชฟที่คลุกคลีกับวงการอาหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ คือได้ช่วยทำครัวในร้านอาหารของครอบครัวมาตั้งแต่อายุได้เพียง 10 ขวบ จากนั้นจึงไปเรียนด้านอาหารที่ปารีส ได้มีโอกาสฝึกงานตั้งแต่ในร้านเบเกอรี่ไปจนถึงภัตตาคารระดับสามดาวมิชลิน และเริ่มมาสนใจทางด้านช็อกโกแลตอย่างจริงจังเมื่อได้ร่วมงานกับ Chocolatiers ชั้นนำอย่าง Pierre Hermé และ Pascal Brunstein... จนในที่สุดเขาและภรรยาคือ Fabienne Destaercke ก็ได้เปิดร้าน The Chocolate Line สาขาแรกขึ้นที่เมือง Bruges ในปี 1992 โดยเริ่มต้นจากการเป็นร้านเล็กๆที่ Dominique เป็นผู้ทำช็อกโกแลตอยู่ในครัว และ Fabienne ดูแลหน้าร้าน แล้วค่อยๆขยายขึ้นจนกลายเป็นร้านขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากมาย เปิดสาขาเพิ่มที่เมือง Antwerp และยังมีไร่โกโก้เป็นของตัวเองที่เมือง Yucatan ประเทศ Mexico อีกด้วย ช็อกโกแลตของที่นี่แต่ละชิ้นจึงผ่านการสรรค์สร้างมาอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน เริ่มต้นมาจากคัดเลือกสายพันธุ์โกโก้ที่จะนำมาใช้ ไปจนถึงการปลูก ดูแล เก็บเกี่ยว คั่วเมล็ด ลอกเปลือก บด แล้วนำมาทำเป็นช็อกโกแลตให้เราได้ชิมกัน ถ้าจะบอกว่าเหล่า Chocolatiers สาย Avant garde ด้วยกันอย่าง Pierre Marcolini หรือ Jean-Philippe Darcis นั้นเป็นหัวหอกในการนำหลัก From Bean to Bar มาใช้ในการทำช็อกโกแลตแล้วล่ะก็ Dominique Persoone ก็ขอก้าวล้ำไปถึงขั้น From Tree to Bar กันเลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้ The Chocolate Line ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วนั้นก็คือความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทดลองผสมผสานรสชาติใหม่ๆของ Dominique Persoone นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นวาซาบิ หอมเจียว พริกป่น กัญชา หรือเบคอน ..Dominique ก็มีทักษะฝีมือระดับเชฟชั้นครูที่จะนำเอารสชาติแปลกประหลาดเหล่านี้มาใส่ไว้ในช็อกโกแลต แล้วออกมากลายเป็นอร่อยลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังมีรสนิยมที่จะเลือกนำทั้งไอเดียแปลกใหม่และความคลาสสิคดั้งเดิมมานำเสนอได้แบบสมดุลเหมาะเจาะ จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกเรียกขานว่าเป็น Real-life Willy Wonka บ้าง ..เป็น Mad Scientist of Chocolate บ้าง ปัจจุบันนี้ Dominique Persoone กลายเป็น Celebrity Chef ที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของเบลเยี่ยม ได้ร่วมงานและ supply ช็อกโกแลตให้กับเชฟชื่อก้องจากทั่วโลกอย่าง Albert Adrià , Sergio Herman, Heston Blumenthal ...มีรายการสอนทำอาหารของตัวเอง และเป็น Chocolatier 1 ในจำนวนเพียง 3 คนของโลกที่ได้รับการแนะนำไว้ใน Michelin Guide อีกด้วยค่ะ ****-ทำเลที่ตั้ง / บรรยากาศ-**** The Chocolate Line มีอยู่ 2 สาขาด้วยกัน คือสาขาแรกที่เมือง Bruges และสาขาที่สองคือที่เมือง Antwerp ที่เราได้แวะไปนี่เอง สำหรับพิกัดร้านที่ Antwerp นี้ตั้งอยู่บนถนน Meir ซึ่งเป็นถนนช้อปปิ้งเส้นใหญ่ใจกลางเมือง ตัวร้านอยู่ในส่วนหนึ่งของ Paleis op de Meir – พระราชวังที่สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 18 และเคยเป็นที่พำนักของนโปเลียน กษัตริย์ William I แห่งเนเธอร์แลนด์ และ กษัตริย์ Leopold II ภายในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการด้วยศิลปะสไตล์ Rococo โดยห้องด้านหน้าเป็นบริเวณที่วางโชว์และขายสินค้า ส่วนห้องด้านในเป็นครัวทำช็อกโกแลตของทางร้านซึ่งทำเป็นกระจกโดยรอบ สามารถเฝ้าดูเหล่า chocolatiers ของร้านขณะกำลังทำงานได้เพลินๆค่ะ นอกจากสถานที่จะสวยงามจนเคยได้รับรางวัลในฐานะ The most beautiful chocolate shop in Europe มาแล้ว ภายในร้านยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของช็อกโกแลตที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆชวนให้น้ำลายสอ แต่น่าเสียดายที่ร้านนี้ไม่มีที่ให้นั่งทาน (ถ้ามีก็คงเต็มแน่นตลอดจนอดนั่งอยู่ดีนั่นล่ะ) กว่าจะซื้อเสร็จนี่โดนกลิ่นหอมๆยั่วจนต้องรีบหิ้วถุงวิ่งปรู๊ดกลับโรงแรมเพราะอยากจะแกะทานเดี๋ยวนั้น ลืมเรื่องช้อปปิ้งไปซะสนิทเลยล่ะค่ะ ****- The Chocolate-**** สำหรับเชฟหัวก้าวหน้าอย่าง Dominique Persoone แล้ว ช็อกโกแลตไม่ได้มีไว้แค่กินให้อร่อยเท่านั้น แต่ยังเสพย์ได้ทั้งการทา-ถู-สูดดมและสวมใส่ด้วยเลยทีเดียว ผลงานสร้างชื่อของเขาจึงมีทั้งการทำชุด dress สวยหรูจากช็อกโกแลตร่วมกับดีไซเนอร์ Nicky Vankets เพื่อให้ Miss Belgium ใส่โชว์ ทำ Chocolate paint เพื่อใช้ในผลงานภาพถ่ายของศิลปิน Spencer Tunick...ฯลฯ ส่วนภายในร้านเราก็จะได้เห็นหลากหลายผลิตภัณฑ์จากช็อกโกแลตที่ทั้งน่าอร่อยและสุดครีเอทมากมายให้ซื้อมาลองกันล่ะค่ะ ...อาทิเช่น... [The Chocolate Shooter] เมื่อภรรยาของ Ronnie Wood และ Charlie Watts – มือกีต้าร์และมือกลองของ The Rolling Stones- อยากจัดงาน Surprise Birthday Party ให้กับสามีของพวกเธอและได้มาขอให้ Dominique Persoone ช่วยจัดเตรียมเมนูพิเศษให้ เจ้า Chocolate Shooter นี้จึงถือกำเนิดขึ้นมาค่ะ ...งานของร็อคสตาร์วงระดับตำนานทั้งที จะให้มานั่งละเลียดขนมหวาน กินช็อคโกแลต ก็ดูจะหน่อมแน้มขัดกับอิมเมจ มันต้องให้ได้ “พี้ช็อกโกแลต” จนเกิด “Chocolate high” กันไปข้างนึงมันถึงจะเท่ห์ (จะกัญชา จะบารากู่ ก็หลบไปให้ไกลๆ ...ช็อกโกแลตมาแล้วววว...!) ลักษณะของเครื่องนี้จะมีที่ให้ใส่ผงโกโก้อณูละเอียดที่มีการแต่งกลิ่นรสสมุนไพรลงไป พอกดปุ๊บก็จะพ่นละอองโกโก้ขึ้นมาให้สูดอัดเข้าจมูกลึกๆ ..เห็นว่าทำให้สมองโล่งเลยล่ะค่ะ ผลงานชิ้นนี้นอกจากจะถูกใจคุณปู่ร็อคเกอร์ทั้งสองและบรรดาแขกที่มาร่วมงานแล้ว ยังสร้างความฮือฮาชนิดที่ทำให้ชื่อของ Dominique Persoone ดังเปรี้ยงไปทั่วโลกในฐานะ Rock n’Roll Chocolatier ดาวรุ่งพุ่งแรงเลยทีเดียว สำหรับคนที่อยากลอง Chocolate shooter นี้จะหาซื้อได้เฉพาะที่ร้าน The Chocolate Line เท่านั้น ซึ่งผงโกโก้ที่ใช้เติมใส่เครื่องนั้นมีแบบ refill ขายเป็นตลับๆด้วย หมดแล้วซื้อเติมได้ มี 2 กลิ่นให้เลือกค่ะ ● Cocoa Raspberry – อณูผงโกโก้ผสมกลิ่นของ Raspberry และ Peppermint ● Cocoa Ginger - อณูผงโกโก้ผสมกลิ่นของขิง และ Peppermint คิดดูเล่นๆก็เป็นไอเดียที่ดีสำหรับคนรักช็อกโกแลตแต่กลัวอ้วนนะคะ แต่ส่วนตัวไม่ได้ซื้อมาลอง เพราะยังไงๆก็อยากลิ้มรสช็อกโกแลตแบบกินจริง-อ้วนจริงมากกว่าล่ะ...5555 [Chocolate Lipstick] เป็นลิปสติกกินได้ที่ทำจากช็อกโกแลตทั้งหวานทั้งหอม สีเป็นสีน้ำตาลช็อกโกแลตแท้ๆ ทาแล้วจะดูปากดำหน่อย ส่วน texture เวลาทาแม้จะเป็นครีมๆแต่ก็เกลี่ยไม่ได้เนียนเรียบแบบลิปสติกจริงๆหรอกนะ ทั้งนี้เพราะลิปสติกแท่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อบิวตี้ แต่เป็นไอเดียซุกซนของ Dominique ที่ให้คู่รักเอาไว้ทาเวลาอยากจะมี “sweet kiss” กัน หรือจะเอาไว้ทาสนุกๆก่อนกินไอศกรีมก็เข้าท่า ใครมีลูกหลานก็เอาไว้ให้เด็กได้เล่นทาลิปสติกได้ ข้อควรระวังคือมันจะละลายได้ง่ายกว่าลิปสติกทั่วไป กับอากาศแบบบ้านเราถ้าเอาใส่ในกระเป๋าถือนี่คือมีเลอะแน่ๆ เก็บในตู้เย็นดีที่สุดค่ะ [Edible Chocolate Massage Cream] ตามชื่อเลยค่ะ คือเป็น massage cream ที่ทำจากช็อกโกแลต เอาไว้ทานวดได้ แถมกินได้อีกต่างหาก ฟังดูชักแอบซุกซนนิดๆอีกล่ะ แต่นึกถึงสปาช็อกโกแลตที่เคยฮิตๆกันอยู่พักนึงนี่ถ้ามี product แบบนี้ก็ง่ายดีเลยนะคะ เนื้อครีมของหลอดนี้จะสีน้ำตาลแบบช็อกโกแลตแท้ๆเลย texture ค่อนข้างเหลวๆแต่ก็มีความมันในตัว ชิมดูแล้วได้รสช็อกโกแลตแบบเต็มๆผสมกลิ่นมิ้นต์ซ่าๆ เวลาทาลงผิวก็จะซ่านิดๆด้วย แต่ไม่ได้เผ็ดร้อนแบบยาหม่องนะ เป็นอีกไอเดียที่น่าสนุกดีค่ะ [Chocolate by Oud Sluis] ช็อกโกแลตแท่งเล็กสีขาวแท่งนี้เป็นผลงานการครีเอทสูตรร่วมกันของ Dominique Persoone และ Sergio Herman เชฟชาวดัตช์เจ้าของ Oud Sluis - ร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลิน (ปัจจุบันปิดไปเพราะแกไปมีโปรเจ็กท์เปิดร้านใหม่ๆ ถ้ามีโอกาสได้ไปลองจะมาเล่าแบบเต็มๆอีกทีค่ะ) โดยเดิมทีช็อคโกแลตนี้จะแถมเป็น complimentary ให้ลูกค้าที่ไปทานที่ Oud Sluis แต่ตอนนี้อยากทานก็ต้องมาหาซื้อที่ The Chocolate Line นี่ล่ะค่ะ ทราบมาว่าที่จริงช็อคโกแลตในซีรี่ย์นี้มีหลายรส แต่วันที่ไปเจอแต่ชิ้นนี้ค่ะ ● Reep Hazelnoot Framboos – เป็นช็อคโกแลตนมที่มี hazelnut กับ raspberries แห้ง บดละเอียดเป็นชิ้นจิ๋วแทรกอยู่ในเนื้อช็อคโกแลต ฟังดูธรรมดา แต่บอกเลยว่าดีกรีความอร่อยเข้าขั้นเว่อร์วังอลังการสุดๆค่ะ คือมันเป๊ะไปหมด ช็อกโกแลตนี่คือหอมมากแบบกินแล้วรู้เลยว่ามาจากเมล็ดโกโก้ชั้นดี รสชาติไม่หวานเกินไป รู้สึกเหมือนมีความเค็มนิดๆ(นิดเดียวจริงๆ) และมีกลิ่นรสอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกกึ่งของคาวแทรกอยู่จางๆแบบได้สมดุลกำลังดี ผสมกับความกรุบกรอบของเศษเฮเซลนัทกับความหอมของราสพ์เบอร์รี่แล้วให้ความรู้สึกโดยรวมที่ยังเป็นขนมอยู่แต่ไม่เลี่ยน ไม่เอียน สามารถทานได้เรื่อยๆ แถมเริ่มทานแล้วคือหยุดไม่ได้ แป๊บเดียวเกลี้ยงหมดทั้งแท่งเลยล่ะค่ะ ปลื้มปริ่มน้ำตาจิไหล... [Single Origin Chocolate Bars] มีไร่โกโก้เป็นของตัวเองทั้งที ช็อกโกแลตแบบ Single Origin ก็ต้องมา ไลน์นี้มีให้เลือกทั้งช็อกโกแลตจากเมล็ดโกโก้สายพันธุ์ทางอเมริกาใต้ แอฟริกา มาจนถึงเอเชียคือเวียดนาม แต่ละแท่งมีเปอร์เซ็นต์ต่างๆกันไป เราเลือกลองตัวนี้เพราะเห็นเค้าว่าเป็นพันธุ์ที่หายากที่สุดค่ะ ● Peru 64% - เป็น Dark Chocolate ที่ขมเข้มเอาเรื่อง กลิ่นรสจะออก woody นิดๆ ทานได้ทีละบล็อก – 2 บล็อก เพราะมากกว่านั้นก็ชักจะรู้สึกเข้มข้นเกินไป เหมาะกับคนชอบช็อกโกแลตแนวสุด dark ล่ะนะ [Chocolate Pills] ก็คือช็อกโกแลตเคลือบแบบ M&M (ละลายในปาก ไม่ละลายในมือจ้ะ) ที่เอามาทำ package แบบขวดยาเก๋ๆ ไส้ข้างในจะมีหลายแบบหลายรส แถมแปะคำคมบอกใบ้สรรพคุณไว้ข้างขวดซะด้วย (รสคาราเมลไว้แก้อกหักก็มีนะ) เราเลือกรสนี้เพราะดูแล้วสรรพคุณน่าจะตรงกับอาการเราเป๊ะค่ะ… ● Coffee and Rice – ไส้เป็นข้าวพองกับผงกาแฟ เคลือบช็อคโกแลตมาเม็ดจิ๋วระดับไมครอน คือ 1 เม็ดมีข้าวพอง 1 เมล็ด ข้างในข้าวพองมีผงกาแฟ 1 เกล็ดเป๊ะ งานละเอียดสุดๆ แน่นอนว่าความแตกต่างจาก M&M ก็คือช็อกโกแลตที่ใช้เป็นเกรดท็อป ข้าวพองหอมแบบคั่วใหม่ๆ และเมล็ดกาแฟที่ก็คัดแบบหอมกรุ่นมาทีเดียว ดูแล้วน่าจะใช้กินเป็นยาแก้ปวดหัวสำหรับคนติดกาแฟได้นะ ส่วนข้างขวดเค้าเขียนไว้ว่า A day without chocolate is like a day without sunshine ..โดนใจคนรักช็อกโกแลตเต็มๆเลยล่ะ [Beasty Bars] ช็อกโกแลตแท่งที่ทำออกมาในรูป Energy Bar เติมวิตามิน แร่ธาตุ ไขมันไม่อิ่มตัว และ antioxidants ลงไป มีหลายรสชาติให้เลือก เหมาะกับสาย Healthy ...ไลน์นี้ Dominique Persoone ลงทุนเป็นพรีเซ็นเตอร์เองทีเดียว ดูโปสเตอร์โฆษณาเหมือนจะสื่อว่ากินแล้วแข็งแรง แต่ก็ดูแมนๆเหมือนจะบอกใบ้ว่าทำให้ตัวโต-กล้ามใหญ่ซะด้วย เลดี้อย่างเราเห็นแล้วเลยขอบาย ไม่กล้าซื้อมาลองนะคะ [Tequila Choc-Tail] เป็นอีกชิ้นที่ไอเดียเก๋เลิศสุดๆ ช็อคโกแลตชิ้นพอดีคำที่ไส้ผสมน้ำมะนาวสด มีเกลือ (Maldon Sea Salt) แปะไว้ตรงขอบ 1 เกล็ด และมีหลอดหยดพลาสติกบรรจุเหล้า Tequila ปักไว้กลางชิ้นช็อกโกแลต เวลาจะกินให้เลียเกลือที่ขอบก่อน แล้วค่อยบีบหลอดหยดฉีด Tequila เข้าไปในเนื้อช็อกโกแลต พอกินเข้าไปตอนแรกนี่ทั้งขมทั้งเปรี้ยว แอลกอฮอล์แรงแบบลำคอร้อนวาบทีเดียว (ขนาดคนที่ปกติชอบกินช็อกโกแลตใส่เหล้าอย่างเรายังแอบตกใจเบาๆ) แต่แค่วินาทีแรกผ่านไปก็จะรู้สึกถึงความหอมของช็อกโกแลตแทรกขึ้นมากรุ่นไปทั้งปาก Aftertaste ดีงามโดดเด่นมากๆ ฟินระเบิดระเบ้อ... [Chocolate Pralines] บรรดาช็อกโกแลตสอดไส้ด้วย fillings แปลกๆสุดครีเอทนี่ล่ะค่ะคือจุดเริ่มต้นของความโด่งดังของร้านนี้ แต่ก็ยังมีหลายๆไส้ที่เป็นรสชาติแบบ traditional เพราะแม้จะเป็นเชฟหัวก้าวหน้าที่เต็มไปด้วยไอเดียสุดล้ำ แต่ Dominique Persoone ก็เคยให้ความเห็นไว้ว่าอะไรที่เป็นของเก่าดั้งเดิมแล้วมันดีก็ควรจะรักษาไว้ เรียกได้ว่าแม้จะ progressive ขนาดไหน แต่ก็มีรสนิยมในการเลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดให้กับร้านนั่นเอง ไม่ได้เอาแต่จะสุดโต่งไปซะทุกเรื่องนะ เราเลือกลองไปตามนี้เลย ● Atlanta – ช็อกโกแลตที่ไส้เป็น Ganache รส Cola (ก็โค้กนั่นล่ะ) บดผสมกับ Hazelnut Praline เนื้อเนียน แทรกไว้ด้วย Popping Candy อณูจิ๋วๆที่ให้ความรู้สึก “เต๊าะ” ในปากคล้ายกำลังขยี้ฟองโค้ก ชิ้นนี้บอกได้คำเดียวว่ามันดีเลิศระดับสิบ อร่อยฟินสุดๆแบบนึกไม่ถึงเลยว่ารสชาติของโค้กมันจะมาเข้ากั๊น-เข้ากันกับช็อคโกแลตได้แบบนี้ ห้ามพลาดจริงๆค่ะ ● Miss Piggy – เป็น Milk Chocolate ไส้เป็น Almond Praline เนื้อเนียนที่มีอณูจิ๋วๆของเบคอนกรอบๆกับ Quinoa บดผสมอยู่ ให้กลิ่นหอมของเบคอนในระดับที่กำลังเหมาะ เข้ากันกับความมันจาก Almond Praline และรสชาติของช็อกโกแลต เป็นอีกชิ้นที่รักหมดใจให้คะแนนเต็มเลยล่ะ ชอบมากกก...(กอไก่ล้านตัว) ● Hot Lips – รูปลักษณ์เป็นช็อคโกแลตสีแดงสดใสรูปริมฝีปาก ไส้เป็น Bitter Ganache ผสม Bombay Gin รสชาติออกมาขมแรงสมชื่อ แต่ผสมกับกลิ่นรสของช็อกโกแลตแล้วโอเคอยู่ ดีกรีความปลื้มประมาณ 3/5 นะ ● Asian Confetti – ตัวนี้ไส้เป็นคาราเมลผสม Praline ที่ทำจากงา ปรุงด้วยโชยุ แล้วใส่ popping candy แทรกไว้ ชิมแล้วก็ได้กลิ่นโชยุจริงๆซะด้วย ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดสุดๆแต่ก็ไม่ได้แย่ค่ะ (3/5 คะแนน) ● Cabernet-Sauvignon – เป็นอีกชิ้นที่ถูกเอาไปเสิร์ฟที่ร้าน Oud Sluis ไส้ของชิ้นนี้เป็นคาราเมลผสม Cabernet-Sauvignon และ Pine Nut Praline มีความเปรี้ยวเล็กน้อยผสมความหวานของคาราเมลและความขมของ dark chocolate ออกมาลงตัวดีทีเดียวนะคะ ● Piemonte – ขอลองรสชาติคลาสสิคแบบชิ้นนี้บ้าง ไส้เป็น Hazelnut Praline อร่อยดีงามตามมาตรฐานค่ะ ● Apero – ชิ้นนี้เห็นนักวิจารณ์หลายคนชอบ เราเลยต้องลองซะหน่อย เป็น White Chocolate สีเขียวอ่อนที่ไส้เป็น vodka ผสมมะนาวและเสาวรสที่ทางร้านยืนยันว่าใช้แต่ผลไม้สดๆเท่านั้น ไม่ใช้กลิ่นสังเคราะห์ ซึ่งอันที่จริงก็ได้ความเปรี้ยวที่สดชื่น แต่แอบรู้สึกว่าดีกรีความเปรี้ยวมันเกินงามจนเสียสมดุลไปหน่อย เลยไม่ค่อยปลื้มล่ะค่ะ ● Italiaanse Javanais – อธิบายง่ายๆว่ามันคือช็อกโกแลตที่มีไส้เป็น White Chocolate Ganache กับ Marzipan ที่มีกลิ่นแบบพิซซ่าแทรกอยู่จางๆ เป็นอีกรสที่แปลกใหม่น่าสนใจ ส่วนความอร่อยจะยังกลางๆนะ ● Cebolla – มันคือช็อกโกแลตไส้ Almond Praline ผสมหอมใหญ่ทอดกรอบๆบดละเอียดค่ะ เป็นอีกครั้งที่ต้องประหลาดใจว่า เออ...มันเข้ากันได้แฮะ แม้จะไม่ถึงกับฟินเว่อร์แต่ก็อร่อยใช้ได้เลยล่ะ (4/5 คะแนน) [Block Chocolates] ช็อคโกแลตแท่งหนาๆ หักเป็นชิ้นๆแบบไม่ต้องเนี้ยบแล้วขายตามน้ำหนัก มีทั้ง Milk, White และ Dark Chocolates ปรุงแต่งด้วยผลไม้และ nuts ชนิดต่างๆ เราเลือกอันที่แต่งรสโยเกิร์ต ได้ความเปรี้ยวหวานกำลังลงตัว อร่อยฟินสุดๆค่ะ [Chocolate Figures] ก็คือช็อกโกแลตธรรมดาที่เอามาทำเป็นรูปร่างต่างๆ แต่งแต้มสีสันสวยงามน่าเอ็นดู ธีมก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ต้องซื้อมาซะหลายชิ้น ความอร่อยก็จะมาจากการที่ใช้เมล็ดโกโก้เกรดท็อปและ cocoa butter 100% นี่เองค่ะ ****- The Line-**** Dominique Persoone นั้นเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเขามีความสุขอยู่กับการคิดค้นสูตรช็อกโกแลตและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่เรื่องธุรกิจนั้นไม่สันทัดเอาซะเลย ยกให้ภรรยาคือ Fabienne Destaercke หรือ “Fabby” เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ส่วนตัวเขาขอแค่ค่าขนมไว้ซื้อบุหรี่ซื้อหนังสือพิมพ์บ้างเท่านั้น (เห็นมาดดูห้าวเป็น Bad boy ซะขนาดนี้ แต่ที่จริงก็เป็นสมาชิกชนเผ่าเกลียมัวผู้เจริญนะเออ..555) แต่ Fabienne ก็ไม่ได้นั่งงอมืองอเท้านับเงินสามีเพียงอย่างเดียว เธอนำเอาผลิตผลจากในไร่โกโก้มาแตกไลน์เป็นสินค้าต่างๆ เช่นเครื่องเทศจากสมุนไพรที่ปลูกในไร่ น้ำผึ้ง และลิปบาล์มจากขี้ผึ้ง นำมาวางขายในร้านอีกด้วย พูดง่ายๆว่า “The Chocolate” นั้นเป็นหน้าที่ของ Dominique ส่วน “The Line” นั้นของ Fabienne ค่ะ ● Fabby's Cocoa Beeswax Stick for Happy Bees - เป็นลิปมันบำรุงริมฝีปากที่มีให้เลือกหลายกลิ่น เราเลือกมาเป็นกลิ่น Cocoa กับ Chocolate (เป็นความแตกต่างของกลิ่นแบบ cocoa butter กับกลิ่นผงโกโก้ น่ะค่ะ) เวลาทาปากจะได้กลิ่นหอมน่ากินอยู่ตลอด ชอบเลยล่ะ ****-The Verdict-**** ถ้าสำหรับคนที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศแบบร้านช็อกโกแลตเล็กๆน่ารักที่ Master Chocolatier ของร้านทำช็อกโกแลตเองกับมือ หรือร้านที่มีที่นั่งทานสบายๆ มีขนมและเครื่องดื่มเสิร์ฟ ร้านนี้ก็คงเหมือนจะไม่ตอบโจทย์ แต่จุดแข็งที่ทำให้ร้านนี้เป็นอะไรที่ห้ามพลาดก็คือความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นชนิดที่หาเจ้าอื่นเทียบยาก คุณภาพของเมล็ดโกโก้ที่เหนือกว่าร้านอื่นๆทั่วไปอีกหลายๆร้าน และความพิถีพิถันในการครีเอทสูตรช็อกโกแลตแต่ละชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าฝีมือของ Dominique Persoone นั้นคือ “ของจริง” ...เป็นร้านสุด unique ที่ถ้าได้มาเที่ยวเบลเยี่ยมก็ควรต้องแวะให้ได้เลยล่ะค่ะ Coming up next : Galler Chocolatier - The passion for chocolate, the love of perfection, and permanent creativity.











































































