- หน้าแรก
/
- รีวิว วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์

รีวิว วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์
วัดเก่าแก่ภายในกำแพงเชียงใหม่
วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ ตั้งอยู่ด้านในกำแพงเมืองเชียงใหม่ เลขที่ 129 ถนนราชภาคินัย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ต้องเล่าก่อนว่าในจังหวัดเชียงใหม่มีวัดอุโมงค์อยู่ 2 วัด วัดนึงชื่อวันอุโมงค์ ไม่มีสร้อยต่อท้ายชื่อ วัดนี้อยู่นอกตัวเมืองเชียงใหม่ แถวๆมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่วัดนี้มีอุโมงค์ (ถ้ำคนสร้าง) ขนาดใหญ่ วัดอุโมงค์ (นอกกำแพงเมือง) เจ้าของบล็อกเคยพาไปเที่ยวแล้วครับ กรุณากลับไปอ่านในหมวดสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่นะครับ อีกวัดนึงคือวัดอุโมงค์ มีสร้อยต่อท้ายชื่อว่า “มหาเถรจันทร์” วัดนี้อยู่ภายในกำแพงเมืองเชียงใหม่ ทั้งสองวัดเป็นวัดเก่า มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจพอๆกัน แต่คนจะสับสนกันมาก ขนาดเจ้าของบล็อก search ในอินเตอร์เนทหาข้อมูลเขียนบล็อก วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ ยังมีบางเวบ บางเพจ มีข้อมูลสับสน ผิดพลาดเลยครับ วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดมหาพลอยสะหรีน้อยกลางเวียง หรือ วัดโพธิ์น้อย หรือ วัดอุโมงค์อริยมณฑล หรือ วัดอุโมงค์วิหาร ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นราวปี 1839 - 1840 โดยกษัตริย์สามพระองค์ที่เป็นสหายกันคือ พญามังรายมหาราช ผู้ปกครองเมืองเชียงราย พญางำเมือง ผู้ปกครองเมืองพะเยา และ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ปกครองเมืองสุโขทัย กษัตริย์ทั้งสามพระองค์มาร่วมกันสร้างเมืองแห่งใหม่ ตั้งชื่อว่า “นพบุรีสรีนครเชียงใหม่” และร่วมกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาเป็นวัดแรกในนครเชียงใหม่ ณ จุดศูนย์กลางของเมือง หลังจากที่ทรงร่วมกันวางผังเมืองใหม่สำเร็จเพื่อเป็นจุดรวมใจแก่ชาวเมือง อ้างหลักฐานจากคัมภีร์ธรรมปัญหาเถรจันทศรมณ์ เขียนไว้ว่า “ท้าวมหาเสนาของพระเจ้ารายมหาราชนี้เป็นผู้สร้างวัดนี้ ขณะสร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงเชียงใหม่ เป็น ราชธานี ( มหานคร ) แห่งอาณาจักรล้านนา วัดนี้จึงมีนามวัดปรากฏในคัมภีร์ว่า “วัดมหาพลอยสะหรีน้อยกลางเวียงเจียงใหม่” มีหลักฐานเป็นจารึกบนใบลานอีกด้วยว่าในรัชสมัยของพระเจ้ากือนา มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ พระมหาเถรจันทร์ ซึ่งเป็นพระเถรผู้ใหญ่ มีความแตกฉานในทางคดีโลกและคดีธรรม เป็นที่เคารพของคนทั้งหลาย พระเจ้ากือนา กษัตริย์อันดับที่ 7 ในราชวงศ์เม็งราย ให้ความเคารพนับถือพระเถรจันทร์องค์นี้อย่างมาก เมื่อพระองค์มีข้อสงสัยพระการใด จะไปรับเพื่อเข้าเฝ้าชี้แจงข้อสงสัย ต่อมาเมื่อ วัดโพธิ์น้อย ซึ่งมีพระมหาเถรจันทร์เป็นเจ้าอาวาสอยู่ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก จึงได้โปรดให้สร้างกุฏิ วิหาร อุโบสถ และพระเจดีย์ที่มีถ้าสำหรับพระมหาเถรจันทร์นั่งสมาธิ (อุโมงค์) ในปี พ.ศ.1918 และทรงออกนามของวัดโพธิ์น้อยใหม่ว่า วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ บางครั้งพระมหาเถรจันทร์ไปพำนักที่วัดไผ่ 11 กอ เชิงดอยสุเทพเพื่อความสงบ เมื่อพระเจ้ากือนาทรงทราบจึงให้อำมาตย์ราชบุรุษไปสร้างวัดและมีอุโมค์สำหรับนั่งสมาธิและเดินจงกรมไว้อีกที่หนึ่งในปี พ.ศ.1921 พระมหาเถรจันทร์จึงได้เป็นเจ้าอาวาสทั้งสองวัด เมื่อท่านอายุได้ 77 ปี มีพรรษาได้ 56 พรรษา ท่านก็ได้มรณภาพลงที่วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ แห่งนี้ ในปี พ.ศ.1945 เมื่อ พ.ศ. 2461 ได้พบว่า วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ เป็นวัดร้าง มีอาณาบริเวณไม่กว้างนักและมีซากอุโมงค์สำหรับเป็นที่เดินจงกรม มีความยาวประมาณ 6 เมตร กว้าง 1.10 เมตร ลึกประมาณ 2.17 เมตรเศษๆ มีป้ายเป็นแผ่นไม้ติดอยู่กับหลักโย้เย้บอกชื่อว่า “วัดอุโมงค์ ( มหาเถรจันทร์ )” มีเนื้อที่ทั้งหมด 2 ไร่ 2 งาน 43 ตารางวา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ส่วนประวัติของ พระมหาเถรจันทร์ พี่ตุ๊ก ได้กรุณาเล่าไว้ในบล็อกของพี่ตุ๊กนะครับ ถือโอกาสยกเอามาให้อ่านกันครับ “ มีเด็กคนบ้านเมืองวัว ชื่อจันทร์ เมื่ออายุ 16 ปีได้ ไปขอบรรพชาเป็นสามเณรกับพระเถระวัดไผ่ 11 กอ (วัดอุโมงค์) ต่อมาได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์น้อยได้สามปีก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต่อมาอีก 3 พรรษา เจ้าอาวาสวัดไผ่ 11 กอ พระอาจารย์ได้ล้มป่วย มีอาการหนักพระภิกษุจันทร์ได้ไปเยี่ยมและไปเฝ้าไข้ท่านอาจารย์จึงได้มอบคัมภีร์ มหาโยคีมันตระประเภท ให้ พร้อมทั้งแนะนำให้เอาไปทำพิธีเล่าเรียนในที่สงัด เมื่อท่องบ่นมนต์นั้นจบ จะทำให้เป็นผู้มีสติปัญญา เฉลียว ฉลาด เฉียบแหลม สามารถเล่าเรียนและรอบรู้วิทยาการและพระธรรมได้โดยรวดเร็ว เมื่อผู้เป็นอาจารย์มรณภาพ พระภิกษุจันทร์ได้ไปยังสถานที่อันสงัดบนดอยสุเทพ ทำพิธีท่องมันตระประเภทให้ได้ครบพันคาบ ... พันเที่ยว ในคืนที่สาม ท่านก็มองเห็นแสงสว่างตรงมา ปรากฏเป็นรูปคล้ายมนุษย์ที่สวยงามอย่างยิ่งมายืนอยู่ตรงหน้า ถามว่า ท่านมาทำอะไร และปรารถนาอะไร ? พระภิกษุจันทร์ตอบว่า “เรามาทำศาสตรเภท เพื่ออยากได้สติปัญญาอันเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด” ถามว่า ท่านจะอยู่ในพรหมจรรย์ตลอดชีวิตหรือ ? หรือว่ายังจะลาสิกขาไปเป็นฆราวาสเมื่อเรียนศาสตรเภทจบแล้ว พระภิกษุจันทร์ตอบว่า “เราถวายชีวิตของเราแล้วเพื่อพระพุทธศาสนา” ผู้นั้นพูดว่า “เราจะถวายของสิ่งหนึ่งให้แก่ท่าน ท่านจงยื่นมือมารับเอาเถอะ” แล้วก็ส่งของสิ่งหนึ่งให้ (ในตำนานว่าสิ่งนั้นเป็นหมากเคี้ยว) พระภิกษุจันทร์แลเห็นแขนและมือที่ยื่นส่งของมานั้นสวยงามผุดผ่องและนิ่มนวล ก็จับเอาทั้งมือทั้งหมาก รูปที่คล้ายนมุษย์นั้น ก็กล่าวเป็นคำคาถาว่า อสติกโรติ “ท่านจงหาสติมิได้เถิด” แล้วก็หายวับไป จากนั้นมาท่านภิกษุจันทร์ก็กลายเป็นคนหลงๆ ลืมๆคล้ายกับคนเสียสติ และเมื่อเห็นว่าถูกทำลายพิธี และตนเองก็กลายเป็นคนสติเผลอไผลไป พระภิกษุจันทร์ก็กลับลงมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดโพธิ์น้อย เวลามีสติสัมปชัญญะดี สามารถเรียนพระไตรปิฎกได้แม่นยำรวดเร็วมาก เวลาสติท่านไม่สู้จะปรกติก็จะเที่ยวจาริกไปในที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญภาวนาตามลำพัง เพราะพระมหาเถระจันทร์ชอบจาริกอยู่ตามป่าดง เพื่อหาที่สงบสงัดบำเพ็ญภาวนาอยู่เสมอ พญากือนาจึงสร้างอุโมงค์ให้พระเถระจันทร์อยู่เป็นที่ ให้ทั้งสองวัดคือ วัดในเมือง ที่วัดโพธิ์น้อย ... เปลี่ยนชื่อเป็น ... วัดอุโมงมหาเถรจันทร์ และ วัดวัดในป่าไผ่ 11 กอ หรือ วัดเวฬุกัฎฐาราม ... คิอ ... วัดอุโมค์ เชิงดอยสุเทพท่านมรณะภาพลงด้วยอายุได้ประมาณ 77 พระอุโบสถ สร้างพร้อมกับวัดอุโมงเถรมหาจันทร์ ได้บูรณะมาหลายสมัยจนปัจจุบัน พระอุโบสถก่ออิฐ ถือปูน ศิลปะลักษณะล้านนา มีการตกแต่งพระเสาด้านนอกอุโบสถด้วยปูนปั้นเป็นลวดลายละเอียด สวยงาม มีการยกเก็จผนังเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายใน หน้าบันพระอุโบสถเป็นไม้ จำหลักลวดลายประดับกระจกสวยงาม วันที่เจ้าของบล็อกไปพระอุโบสถปิดอยู่ครับ ไม่กล้าไปบอกพระให้เปิดให้เพราะเกรงใจท่าน แค่ได้มาเดินดูวัดก็พอใจในความสวยงามมากแล้วครับ พระวิหารทรวดทรงแบบล้านนาสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 24 - 25 โครงสร้างก่ออิฐ ถือปูน เสาพระวิหารเป็นไม้ มีการตกแต่งคล้ายๆกับพระอุโบสถ พระประธานมีนามว่า หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อใหญ่ หล่อด้วยปูนลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตัก 2.90 เมตร สูง 3.70 เมตร เกศาแบบเปลวเพลิงสร้างราวปี พ.ศ.1910-1914 ในสมัยของพญากือนา พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์สามแบบปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์รมดำเกศาดอกบัวตูม มีขนาดกว้าง 77 เซนติเมตร สูง 1.05 เมตร ประดิษฐานหน้าพระประธาน มีพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่หลังพระวิหาร สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1916 สมัยพญากือนา ตั้งอยู่บนฐานเขียงทรงสี่เหลี่ยม 2 ชั้น ถัดไปเป็นฐานบัวคว่ำ – บัวหงาย มีการยืดท้องไม้ให้สูงขึ้น ฐานบัวลูกแก้ว แปดเหลียม ซ้อนชั้นกันขึ้นไป สามชั้น ส่วนองค์ระฆังหรือส่วนเรือนธาตุของเจดีย์ เป็นรูปทรงกลม ระฆังคว่ำ ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังก์ คือ ฐานรูปแปดเหลี่ยมขนาดเล็กวางเหนือองค์ระฆัง ปล้องไฉน ปลียอด ฉัตร และเม็ดน้ำค้างในส่วนปลายสุด สำหรับเจดีย์ด้านทิศใต้ของวิหารนี้ เป็นโบราณสถานที่สำคัญของวัดอุโมงค์เถรจันทร์เพราะมีศิลปกรรมที่ผิดแผกไปจากเจดีย์ทั่วๆไปของจังหวัดเชียงใหม่ ตามลักษณะของเจดีย์แล้ว คาดการณ์กันว่าอาจจะสร้างเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้จริง เจดีย์องค์นี้น่าจะเป็นแบบอย่างของโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ของแคว้นล้านนาไทย ที่เริ่มสร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้เพราะยากที่จะหาโบราณสถานใดๆในศิลปะแบบล้านนาที่จะมีอายุเก่าแก่ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ได้ พระเจดีย์อุโมงค์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวิหารหลวง สร้างเมื่อ พ.ศ.1910 เพื่อถวายท่านมหาเถรจันทร์ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์น้อยในขณะนั้น ใช้บำเพ็ญภาวนา

ตัวกรอง
เรียงตาม
หลวงพ่อสมใจนึกเปลี่ยนพระพักตร์ได้
วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์อยู่ใน ย่านเมืองเก่าของเชียงใหม่ เป็นวัดและเป็นสถานวิปัสสนากรรมฐาน พี่เปิดให้ผู้สนใจสามารถมาปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดได้ทุกเสาร์อาทิตย์เวลา 13:00 นถึง 15:00 นโดยโทรติดต่อก่อนที่เบอร์ 081 937 249 และในวัด ยังมีสถานที่สำคัญ เช่นพระอุโบสถ ในวัด ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อสมใจนึกพระพุทธรูปเปลี่ยนพระพักตร์ได้9หน้า มีหน้าบึ้ง หน้าขรึม น้ำตาไหล และยิ้ม โดยมีช่วงเวลาเปิดให้ชมคือช...อ่านต่อ