การเดินทางของเราในครั้งนี้ ใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณเดือนกว่าๆ เนื่องจากได้ที่พักที่อยากไปมานานคือที่ "เสม็ดนางชีบูทีค" จังหวัดพังงา (ที่พักที่ใครหลายๆ คนบอกกันว่าจองได้ยากนักยากหนา) เมื่อมีโอกาสจองได้แล้ว จะรออะไรหล่ะวางแผนการเที่ยวของโปรแกรมนี้กันต่อเลย
การเดินทางครั้งแรกของเรากับสายการบิน Thai Vietjet Air เราได้ทำการจองไว้ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนหลังจากได้ที่พัก ก่อนวันเดินทาง 3 วัน ก็มีเรื่องให้ได้ตื่นเต้น คือการเลื่อนไฟท์ที่เร็วขึ้น จากเวลา 06.30 น. มาเป็น 05.30 น. และไฟท์กลับ จาก 18.30 น. เลื่อนเป็น 20.30 น. ทำให้ต้องตั้งสติกันใหม่กับการเดินทางไปและกลับ
แต่ก็ยังดีที่ถึงวันเดินทางจริง ไฟท์การเดินทางไม่เลื่อนออกไปอีก (ตามตัวอย่างที่เป็นข่าว) ถือว่าเป็นความโชคดีของเรา
ใช้เวลาเดินทางตามกำหนดการ เรามาถึงสนามบินภูเก็ตโดยประมาณ 06.30 น. เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว กว่าจะได้กระเป๋ารับเดินทางก็เกือบ ๆ 7.00 น. เราได้เลื่อนเวลารับรถเช่าจาก 08.00 น. มาเป็น 07.00 น.ไว้แล้ว (ผลพวงจากการเลื่อนไฟท์ของสายการบิน)
เป้าหมายแรกของเราที่คิดไว้คือการกินติ่มซำของเมืองภูเก็ต ซึ่งร้านที่เล็งไว้คือ "เจ้ปุ้มติ่มซำ" ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบิน แต่!!! เพราะเหตุที่ได้รับรู้มาก่อนวันเดินทางว่าจะมีพายุเข้ากระจายทั่วประเทศ แต่พอมาถึงเมืองภูเก็ตช่วงเช้านั้น มีแสงแดด และท้องฟ้าเปิด เราจึงมุ่งหน้าไปที่หาดไม้ขาวก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อไปเก็บภาพชายหาดสวยๆ พร้อมกับภาพเครื่องบินที่บินลงสนามบินเหนือตัวเรา อย่างที่เคยเห็นภาพตามรีวิวต่างๆ ของการมาท่องเที่ยวภูเก็ต
ระหว่างรอเครื่องLanding เพื่อที่จะถ่ายภาพกับเครื่องบินบินลงสนามบินภูเก็ต จากที่เช็คไฟท์ก็จะมีรอบ 9.00น. และ 9.20น. ในระหว่างที่รอ ก็ถ่ายรูปกับวิวชายหาดวนๆไป
โชคดีในวันนั้นหาดคนน้อย น้ำทะเล สีท้องฟ้าสวยงามเป็นใจให้ได้ภาพสวยๆกลับมา
จากที่รอแล้วรอเล่า ทำไมไม่มีเครื่องบินลง มีแต่เครื่องบินขึ้น จนสังเกตุได้และจับคำพูดที่คุณลุงขับรถพ่วงข้างมาส่งเราที่หาดนี้พูดไว้แบบงงๆว่า "บินลงเป็นบางช่วงเวลา" กับ "ทำไมมีแต่เครื่องบินขึ้น" จนทำให้เราฉุกคิดได้ว่า เวลาที่เรามาช่วงนี้ วันนี้ เครื่องบินบินลงทิศทางอื่นเป็นแน่
แล้วก็เป็นความจริง เมื่อเครื่องรอบสุดท้าย(09.20น.)ที่เราเล็งไว้จะถ่าย เมื่อมองลงในสนามบิน เห็นเครื่องลงจอดจากฝั่งอื่นของสนามบิน ( ณ อารมณ์นั้น น้ำตาแทบไหล)
แต่ภาพที่เราได้ คือภาพที่เราเก็บสำรองไว้จากเครื่องที่บินขึ้นมา ซึ่งมีระยะที่เห็นแบบไกลจนสุดสายตา จนได้ภาพที่ดีที่สุดตามภาพด้านล่าง (ระหว่างสิ่งที่คิด กับสิ่งที่ได้)
หลังจากอยู่ที่หาดไม้ขาวราวๆ 2 ชั่วโมง กับภาระกิจที่ผิดพลาดเบาๆ เราก็เริ่มหิว จนนึกขึ้นได้ว่ามีโปรแกรมติ่มซำที่เราเล็งร้านใกล้ๆสนามบินไว้ที่จะไปกินคือ"ร้านเจ๊ปุ้มติ่มซำ"
ร้านนี้เป็นร้านที่ไม่ห่างจากสนามบินมาก และไม่ไกลจากหาดไม้ขาวเช่นกัน เราไปถึงร้านในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ก็ยังมีเมนูอาหารอย่างครบถ้วน แต่อาจจะมีติ่มซำบางเมนูที่หมดไปบ้าง
ผ่านไปเกือบครึ่งวัน หลังจากอิ่มหนำหนังท้องเริ่มตึง ตามธรรมเนียมของเรา ไปทริปไหนก็จะต้องเข้าวัดทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยกับวัดของเมืองนั้นๆ ซึ่งในครั้งนี้วัดแรกที่เราจะไปคือวัดพระทอง (หลวงพ่อพระผุด)
ได้กราบนมัสการ ปิดทอง เสี่ยงเซียมซี และเช่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลครับ
เมื่อออกจากวัดพระทองแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่วัดพระใหญ่ หรืออีกชื่อหนึ่งว่าวัดพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี ก่อนจะเข้าไปพักผ่อนที่ The SIS Kata Phuket เราใช้เวลาเดินทางไม่มาก เนื่องจากเป็นเส้นทางผ่านที่วางแผนไว้อยู่แล้ว เมื่อขึ้นมาถึงวัดพระใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเขา แม้จะมีแสงแดดที่ร้อน แต่วิวจากวัดพระใหญ่ที่มองลงไปก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองแบบพาโนรามาทั้งเมือง และอ่าวทะเลต่างๆของเมืองภูเก็ต
เมื่อได้ไหว้พระอย่างสบายใจ เราก็ได้เวลาเข้าพักที่ The SIS Kata Phuket ซึ่งเป็นโรงแรมที่เราเลือกแล้วว่าวิวของห้องพักสามารถเห็นหาดกะตะ และเห็นภูเขาที่ขึ้นกลางหาดกะตะที่เป็นสัญลักษณ์ของหาดนี้ด้วย
The SIS Kata Phuket คือที่ที่เราเล็งมาซักพัก เนื่องจากเห็นในIGของตากล้องระดับประเทศอย่างพี่ใหญ่ อมาตย์ และ เน็ต ไอดอลหลายๆคนได้มาพัก จนทำให้อยู่ในลิสต์ที่จะจอง จนดูวนไปวนมาพร้อมการรีวิวอยู่หลายที่ ก็คิดว่าที่นี่หล่ะ ที่เหมาะสมที่สุดกับการท่องเที่ยวครั้งนี้
และเมื่อมาถึง ก็เป็นจริงอย่างที่นักท่องเที่ยวรีวิวไว้ ทั้งการต้อนรับ ห้องพัก สาธารณูปโภคต่างๆของโรงแรม ที่ได้ใช้สอยเกือบครบทั้งหมด
ปล.การได้จิบเบียร์ แช่น้ำในสระ ดูพระอาทิตย์ตก มันเป็นอะไรที่ฟินมากสำหรับเรา
ภาพรวมของโรงแรมเราให้ 9/10 นะ อาจจะมีเรื่องที่จอดรถที่ปริมาณไม่เยอะมาก วันที่เราเข้าพักแล้วออกไปหาอาหารทะเลกินข้างนอกโรงแรม ตอนกลับมาเกือบไม่มีที่จอด(แบบเข้าซอง) อีกเรื่องที่ให้คะแนนไม่ได้คืออาหารค่ำของโรงแรม เพราะค่ำวันที่เข้าพักไม่ได้ทาน ถ้ามีเวลาอยู่ต่ออีกคืนคงจะได้ทาน แต่เราต้องย้ายไปเข้าพักที่ เสม็ดนางชีบูทีคแล้วหล่ะ
หลังจากCheck out แบบเต็มเวลา ออกจากThe SIS เกือบๆเที่ยงก็แวะเมืองเก่าภูเก็ตเพื่อเก็บภาพสถาปัตยกรรมในเมือง เพราะตามแพลน อาจจะไม่ได้วนกลับมาในเมืองภูเก็ตแล้ว
หลังจากได้เก็บภาพกับเวลาที่กำลังดี เพื่อให้ได้ใช้เวลากับที่พักที่ที่สองอย่างเต็มที่ โดยประมาณเที่ยงกว่าๆ เราก็ได้ออกจากเมืองเก่าภูเก็ตเพื่อมุ่งหน้าสู่ เสม็ดนางชีบูทีค
มาถึงเสม็ดนางชีบูทีค โดยประมาณบ่าย2พอดี เมื่อเราเดินเข้าไปติดต่อเช็คอิน พนักงานก็นำ welcome drinkซึ่งเป็นน้ำสับปะรดมาเสิร์ฟ และดูแลเรื่องการขนกระเป๋าจากรถของเราเพื่อพาขึ้นรถของที่พัก (ซึ่งมีทั้งรถตู้และรถปิคอัพ2แถว) จังหวะที่เราไป เราได้นั่งปิคอัพ2แถว พร้อมกับพนักงานโรงแรมที่ช่วยขนกระเป๋าเราทั้งหมด ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงส่วนของที่พัก ก็มีพนักงานเข้ามาแนะนำกำหนดการต่างๆ เนื่องจากวันที่เราเข้าพักเป็นวันลอยกระทงด้วย เราจึงได้จองดินเนอร์บุฟเฟ่ต์พร้อมการลอยกระทงร่วมกันกับที่เสม็ดนางชีฯจัดให้ และหลังจากนั้นพนักงานจึงพาเราขึ้นไปยังห้องพักที่เราจองไว้
เมื่อถึงห้องพัก ก็ได้ทำการเดินสำรวจ เก็บภาพวิว คลิป และทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมสัมผัสวิวที่มองออกไปสักพักก็สังเกตุได้ถึงแสง และหมอกที่สลับกันไปมาบริเวณอ่าวตรงหน้า ความสวยแต่ละช่วงนาทีมีความแตกต่างกันออกไป จึงทำให้เรานึกขึ้นได้ว่ายังมีBath Bombที่เราเตรียมมาเพื่อเก็บไว้ใช้กับที่นี่ สิ่งหนึ่งที่กังวลคือพรุ่งนี้ความสวยตรงหน้าจะเป็นแบบนี้มั้ย แต่ตอนนี้เราพลาดไม่ได้กับการแช่น้ำพร้อมชมบรรยากาศเสม็ดนางชีตรงหน้าไปพร้อมกับการเก็บภาพสวยๆ อย่างที่ตั้งใจไว้
นอกจากวิวจากBathtopของห้องเราแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราจะพลาดไม่ได้ คือการลงไปเล่นน้ำในสระของโรงแรม พร้อมสัมผัสความฟินกับวิวหลักล้านในอีกมุมมองที่ต่างจากวิวบนห้องพักเรา
หลังจากที่เราได้แช่น้ำพร้อมกับชมวิวหน้าอ่าวของเสม็ดนางชีเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงโปรแกรมพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้ คือ Buffet Dinner พร้อมกับการดูโชว์รำกินรีและนายพราน และปิดท้ายด้วยโปรแกรมลอยกระทงน้ำแข็งที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้เป็นพิเศษสำหรับแขกที่พักในค่ำคืนนี้
หมดเวลาของค่ำคืนพิเศษจากการดูแลที่ดีของที่พัก เรียกได้ว่าค่ำคืนนี้เหมาะมากๆกับคำว่า"อิ่มหนำสำราญ" จากทั้งอาหาร การแสดงโชว์ ดนตรีสด พร้อมการนำพาไปลอยกระทงที่สระโดยแม่นางกินรี
ค่ำคืนนี้น่าจะจบลงด้วยการทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนพุง ที่เรียกได้ว่ามื้อค่ำที่ทานเข้าไปมื้อนี้คุ้มค่าเกินกว่าราคาที่ได้จ่ายไป
Good Night Sametnangshe Boutique.
กับเช้าวันที่สาม ซึ่งคือวันสุดท้ายของเราที่จะได้ตื่นมาเจอวิวตรงปลายเท้าแบบนี้ มันคืออารมณ์ของการนอนนิ่งๆ มองออกไปที่ปลายเท้าแล้วเสพสัมผัสบรรยากาศ และความรู้สึกที่ผ่อนคลายที่เราสามารถหาได้ด้วยตัวเราเอง
เหมือนว่าอาหารมื้อค่ำยังไม่ทันย่อย ตื่นเช้ามาก็ได้เวลาทานอาหารเช้ากันต่อ เพราะหลังจากมื้อเช้านี้ เราคงได้พักผ่อนนอนเล่นอีกหน่อย ก่อนที่จะถึงเวลาCheck out เป็นการอำลาที่พักสุดพิเศษและแสนประทับใจของเรา "เสม็ดนางชีบูทีค"
หลังจากออกจากห้องพัก ซึ่งปกติสามารถเรียกพนักงานมาช่วยยกกระเป๋าได้ แต่เราเลือกที่จะลากกันออกมาเอง เมื่อมาถึงโซนบริการของทางโรงแรม ก็ได้ยินเสียงตะโกน"คุณลูกค้าวางกระเป๋าไว้ตรงนั้นเลยค่ะ" ตอนนั้นตกใจเสียง เกือบทิ้งกระเป๋าลงจริงๆ แต่ก็มีเสียงต่อมาอีกครั้งจากพี่ผู้หญิงคนเดิมแบบนุ่มนวลขึ้นว่า "ให้ช่วยยกไปให้มั้ยคะ" เราจึงบอกว่าเดี๋ยวยกไปเองได้ครับ ขอบคุณในการบริการ ดูแลทุกช่วงเวลาของเสม็ดนางชีบูทีค ที่ทำให้เราประทับใจตั้งแต่เริ่มจนจบ
ฺGoodbye Samednangshe Boutique.
เมื่อCheck out ออกแล้ว เราวางแพลนแบบสบายๆในวันสุดท้ายอีกแค่ 2 ที่ โดยที่แรกที่เราจะไปกันต่อคือ "หาดนางทอง" หรือ "หาดทรายดำ" ตั้งอยู่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
หลังจากเดินทางมาถึงหาดนางทอง หรือที่คนรู้จักกันในนามของหาดทรายดำ ความสวยของหาดทรายที่เป็นสีดำ กระทบกับแสงแดด เกิดความแวววาวระยิบระยับที่มองด้วยตาเปล่ามีความสวยกว่าภาพที่ถ่ายมามากๆ และได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวท่านอื่นพุดขึ้นมาว่า "วันก่อนที่เค้ามาไม่สีดำขนาดวันนี้" ทำให้เรารู้สึกดีว่าวันที่เรามาในวันนี้ได้เจอกับสีของทรายที่สวย และมีความดำจริงๆ
ส่วนโปรแกรมเกือบสุดท้าย แต่ไม่ใช่ท้ายสุด ถ้าบอกตรงๆ ที่นี่เราไม่ทราบว่าคนขับหรือตากล้องของเราจะพาไปที่ไหน มารู้เอาตอนที่ขับพาไปแล้วว่าจะพาไปวัดของพังงา ซึ่งบอกแค่ว่าเป็นวัดที่สวยงามไม่เหมือนใคร และอยู่ติดริมชายหาดด้วย
"วัดไทรทอง" วัดที่มีชื่อธรรมดาๆ แต่ความสวยงามและบรรยากาศโดยรอบไม่ธรรมดาเลยจริงๆ การก่อสร้างองค์พระอุโบสถ มีความคล้ายสถาปัตยกรรมของภาคเหนือ ด้วยความเป็นโบสถ์ไม้ทั้งหลัง และตัดกับการลงลักษณ์ปิดทองตามลายฉลุ ทำให้เกิดความสวยงามที่มีความแตกต่าง และทำเลที่ตั้งของวัดยังติดเลียบชายหาด ทำให้มีลมเข้ามาตลอด ช่วงที่เราไปถึงเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ บรรยากาศน่าอาศัยวัดนอนจริงๆเชียว
หลังจากไปถึง ก็ได้เข้าไปไหว้พระพุทธรูปหินอ่อนประจำพระอุโบสถ แล้วจึงมาเดินถ่ายรูปและชมบรรยากาศภายนอกของวัดครับ
ถือว่าทริปนี้ของเราโปรแกรมเข้าวัดประจำพื้นที่ได้ครบ 3 วัดกำลังดีกับโปรแกรมพักผ่อนที่ได้ทั้งความสุขกาย สุขใจ
และสถานที่สุดท้ายของวันนี้ และของทริปนี้ที่จังหวัดพังงา คือ สะพานไม้เขาปิหลาย บนหาดเขาปิหลาย สะพานแห่งนี้เป็นสะพานไม้เก่า ในอดีตได้ผ่านการใช้งานมาอย่างมากมาย ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการขนแร่ดีบุกจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในทะเลมาสู่โรงแยกแร่บนฝั่งแต่ปัจจุบันแร่ดีบุกได้ถูกขุดจนหมดสิ้นแล้ว แต่สะพานไม้แห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกทำลายแต่กลับถูกอนุรักษ์เอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนได้เก็บภาพร่องรอยความรุ่งเรืองในอดีต
เราเดินทางมาถึงโดยประมาณบ่ายสี่โมง ซึ่งทั้งหาดมีเพียงเราแค่สองคนเท่านั้น อาจจะเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาในช่วงเวลาเย็นๆ พลบค่ำ เพื่อชมพระอาทิตย์ตก แต่ในเวลานี้ก็จะได้ภาพที่แสงสะท้อน และไม่มีความพลุกพล่านจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆให้ได้แย่งกันถ่ายภาพ
เราอยู่ที่นี่อีกเพียงชั่วครู่ ใช้เวลากับการเดินเล่น ถ่ายภาพ และวิ่งเล่นกับเจ้าปูลมที่วิ่งเร็วลงรูอยู่เต็มชายหาด ถึงแดดจะร้อนแต่ก็มีลมพัดมาเรื่อยๆ ให้ได้ผ่อนคลายอยู่บ้าง
จุดจบของทริปการเดินทาง มักกลับมาจบลง ณ จุดเริ่มต้นเสมอ และแล้วก็ต้องกลับสู่สนามบินภูเก็ต ซื้อของฝาก และเตรียมบินสู่สุวรรณภูมิเพื่อกลับมาทำงานต่อในวันถัดไป
ทุกๆภาพล้วนมีเรื่องราวสะท้อนถึงความทรงจำ ผ่านบันทึกของทริปการเดินทาง เราเชื่อว่าไม่ใช่แค่ที่พักที่สวยหรู ไม่ใช่แค่หาดทราย ภูเขา หรือบรรยากาศทั้งหมดตรงหน้าเราเท่านั้นที่จะทำให้ทริปการเดินทางนั้นสมบูรณ์ แต่ยังอยู่ที่ว่า"การเดินทางครั้งนั้น เราร่วมเดินทางไปกับใคร มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทั้งเรื่องราวดี และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราไม่ได้คาดหมาย มันคือบททดสอบให้เกิดความทรงจำ และเรื่องราวที่น่าประทับใจให้จดจำเสมอ"