แพลนที่ไม่ค่อยจะมีแพลน คือสิ่งที่ทำให้เราไม่ผูกมัด ไม่คาดหวังกับสิ่งที่จะได้พบเจอ แต่ช่วงที่เราเดินทางเป็นวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน เราจึงขอวางแผนเรื่องเวลาเพื่อที่จะหลีกหนีจากความวุ่นวาย โดยเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อได้ใช้เวลาเต็มที่ ที่ "บ้านอีต่อง"
ข้อดีของการออกเดินทางที่เช้ามากๆ คือเราจะได้ถึงที่หมายก่อนคนอื่นแบบไม่เร่งรีบ ได้ชื่นชมสถานที่ที่เคยวุ่นวายแบบไม่วุ่นวาย แต่ข้อเสียก็มี คือความหิวกระหายและความง่วงนอน และจุดหมายแรกที่เราแวะพักเพื่อชาร์จพลังด้วยกาแฟ และของว่าง คือ จุดพักรถที่ "น้ำตกไทรโยคน้อย"
มีใครเคยเจอน้ำตกไทรโยคน้อยในมุมมองนี้แบบเราบ้างมั้ย เป็นภาพที่ไม่มีนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว ช่วงเวลาที่เราไปถึงประมาณแปดโมงเช้า มีเพียงเราและเจ้าหน้าที่อุทยาน ที่เดินกวาดเศษใบไม้ จนทำเอาเราไม่แน่ใจว่าสามารถขึ้นไปบนน้ำตกได้หรือไม่ สำหรับเรา น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับน้ำตกไทรโยคน้อยที่สวยงามแบบนี้
เราใช้เวลา ณ จุดนี้เพียงไม่นาน นั่งกินกาแฟ ซาลาเปา และขนมเล็กๆน้อยๆแค่พออิ่ม แล้วเราก็มุ่งหน้ากันต่อในจุดหมายต่อไป
มุ่งหน้าต่อไปกับจุดหมายของเราที่บ้านอีต่อง การเดินทางครั้งนี้เป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ หลังปลดล็อคจากโควิด แต่เราก็เจอด่านตรวจของทหารบริเวณทองผาภูมิ ก่อนทางขึ้นบ้านอีต่อง
การขับรถครั้งนี้เราเดินทางโดยรถคู่ใจคันเดิม Chevrolet Captiva กับเส้นทางที่มีความยากทั้งโค้งที่เลียบเขา ทั้งถนนที่ยังไม่เรียบร้อยในหลายๆจุด แต่เราก็ผ่านมาได้ โดยหลังจากน้ำตกไทรโยคน้อย เราแวะเข้าห้องน้ำ ณ จุดชมวิวเพียง 1จุด แล้วก็ขับมาต่อโดยเราแวะซื้อบัตรเข้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งสามารถใช้เข้าได้ทั้งภายในอุทยาน และน้ำตกจ๊อกกระดิ่น
และจุดบันทึกความทรงจำอีกที่คือ จุดชมวิวต่างๆ ภายในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
ได้เดินชมวิวในจุดต่างๆ แบบมุมมองกว้างๆ กับอุณหภูมิประมาณ 26 องศา ณ ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ถึงจะมีแดดที่ค่อนข้างแรง แต่ก็มีลมพัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราได้พักร่างกาย และพักรถในจุดๆนี้ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่น้ำตกจ๊อกกระดิ่น
ออกจากอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิกับเส้นทางที่ดีขึ้นจึงใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็มาถึง"น้ำตกจ๊อกกระดิ่น" ซึ่งเป็นจุดหมายหนึ่งที่อยู่ในแพลนของเราว่าจะต้องแวะสำหรับทริปนี้
ทุกๆอย่าง เป็นไปตามที่เราคิดไว้ การได้ออกเดินทางก่อนคนอื่น เราจะได้พบกับสิ่งที่ประทับใจ และกว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้เสมอ
ใกล้เวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาออกเดินทางต่อสู่บ้านอีต่อง
เมื่อเราขับรถออกจากน้ำตกจ๊อกกระดิ่น มุ่งหน้าสู่บ้านอีต่องโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเรามาถึงบ้านอีต่องประมาณเที่ยงนิดๆ ซึ่งก็ได้เวลาของมื้อเที่ยงพอดี ร้านเป้าหมายที่เล็งไว้คือ "ร้านครัวเจ๊ณี"
เราเลือกมา 3 รายการอาหาร คือเห็ดโคนญี่ปุ่นผัดพริกไทยดำ(ป้าบอกว่าปลูกเอง) ต้มยำกุ้งปลาหมึก และหมูกรอบคั่วพริกเกลือ อิ่มกำลังดีสำหรับ 2 คน สำหรับรสชาติ อร่อยถูกปาก รสชาติเข้มข้นกำลังดี แต่จะมีเพียงต้มยำที่ออกรสชาติเค็ม นำรสเปรี้ยวนิดหน่อย แต่ความสดของกุ้งปลาหมึกถือว่าดี อร่อยถูกใจให้ 4 ดาว
พอเริ่มอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน (ลืมจำค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ แต่ราคาเป็นกันเองมากๆ ครับ) และพอดีกับที่ที่พักโทรเข้ามาแจ้ง ว่าสามารถเข้ามาเช็คอินได้แล้ว สำหรับคืนนี้เราพักกันที่ "โฮมสเตย์ปิล็อกต๊อกแต๊ก"
แล้วเราก็ได้เช็คอิน โดยที่ที่พักแจ้งว่าได้ห้องหมายเลข 3 ตามที่เราระบุไว้ ซึ่งเป็นห้องชั้น 2 มีระเบียงหน้าห้องเพื่อออกมาชมวิวรับบรรยากาศดีๆของเมืองได้ตลอดเวลา
"โฮมสเตย์ปิล็อกต๊อกแต๊ก" โฮมสเตย์ชื่อน่ารักๆ ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นโฮมสเตย์ แต่ห้องพักมีความกว้างขวาง แบ่งแยกสัดส่วนของแต่ละห้องชัดเจน ห้องนอนกว้างขวาง มีห้องน้ำในตัวอย่างมีสัดส่วน ห้องหมายเลข 3 ที่เราจองจะอยู่ชั้น 2 มีระเบียงส่วนตัวพร้อมเก้าอี้นั่งเล่นริมระเบียง ซึ่งเก้าอี้ชุดนี้เราใช้ทานอาหารมื้อค่ำ พร้อมจิบเบียร์นั่งชมวิวริมน้ำยามค่ำคืนด้วย
หลังจากเข้าห้องพัก ก็เผลอหลับไปจากความเพลียของการเดินทางตั้งแต่บ่าย 2 โมง ถึง 5 โมงเย็นโดยประมาณ แต่เราก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของการประกาศของวินรถสองแถวที่เรียกลูกค้า ให้ขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกบนเนินช้างศึก (ชายแดนไทย - พม่า) ที่สามารถชมวิวมุมสูงได้แบบ 360 องศา
เราต้องไม่พลาดสำหรับโปรแกรมนี้ ถึงแม้ใจก็อยากนอนต่อก็ตาม แต่ก็กลัวพลาดวิวสวยๆ ที่จะได้เก็บความทรงจำที่ประทับใจกลับไป
การนั่งรถสองแถวขึ้นไปบนเนินช้างศึกโดยรถสองแถวของคนท้องถิ่น ค่ารถคนละ 50 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะเส้นทางขึ้นค่อนข้างชัน และมีลูกรังเป็นระยะ ซึ่งต้องอาศัยคนขับรถที่มีความชำนาญทางเป็นอย่างมากในการพานักท่องเที่ยวขึ้นมาชมวิว ณ จุดๆ นี้ (เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพ หรือวีดีโอขณะนั่งบนรถสองแถวมาฝาก เพราะความโยกเยกจนทำให้ต้องใช้มือจับราวสองแถวแน่นๆ เลยไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพระหว่างทาง)
หลังจากที่เราได้ชมบรรยากาศแบบ 360 องศา พร้อมเก็บภาพในมุมต่างๆ บนเนินช้างศึกจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ได้เวลาที่เราต้องขึ้นรถคันเดิมกลับลงสู่บ้านอิต่อง
เมื่อลงมาสู่บ้านอิต่องก็มืดพอดี บรรยากาศช่วงวันหยุดต่อเนื่องเริ่มครึกคัก ทำให้เราเพลิดเพลินกับการเดินซื้อชุดท้องถิ่น และของกินมื้อค่ำเพื่อนำมานั่งกินริมระเบียง หลีกเลี่ยงความวุ่นวานจากร้านอาหารที่นักท่องเที่ยวยังต้องยืนรอโต๊ะกันอยู่ในหลายๆร้าน
ได้อาหารมาหลากหลายมากๆ จนถึงแม้จะเห็นอะไรน่ากินๆ แต่ก็ไม่มีมือว่างที่จะถือเพิ่มแล้ว แต่ถือว่าน่าจะทำให้เราอิ่มได้สำหรับมื้อค่ำนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น เบียร์ที่เราแช่เย็นเตรียมไว้ น่าจะทำให้ค่ำคืนนี้มีความสุขตามความตั้งใจที่อยากหลีกหนีความวุ่นวายจากในเมือง มาพักผ่อนจริงๆกับบรรยากาศที่สงบ และอากาศอันหนาวเย็นของค่ำคืนนี้
ที่พักที่นี่ ถึงแม้จะไม่มีแอร์ แต่ด้วยความที่เมืองนี้อยู่ในหุบเขา จึงทำให้แอร์ไม่มีความจำเป็น
สำหรับคืนนี้ ทั้งอาหาร ทั้งเบียร์ กับอากาศเย็นๆ พอหันไปมองที่เตียงทำให้รู้สึกอยากล้มตัวลงนอนให้เต็มที่กับการมาพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าวันใหม่ ค่อยว่ากันใหม่
สำหรับเช้าวันใหม่ ตอนแรกที่เราแพลนไว้ว่าจะขึ้นไปเนินช้างศึกอีกครั้ง เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น แต่จะเป็นเพราะเราได้ยินเสียงเปาะแปะเหมือนฝนตก หรือเพราะอากาศดีจนเราไม่อยากตื่นกันแน่ จนทำให้เราตัดสินใจว่า การนอนต่อคือสิ่งที่เราเลือกสำหรับเช้านี้ เราตื่นขึ้นมาอีกที เพราะได้ยินเสียงช้อนชามปะทะกันจากผู้ที่มาเข้าพักที่เดียวกับเราเริ่มเดินตักข้าวต้มที่แสนอร่อยแบบไม่ต้องปรุงของ"โฮมสเตย์ปิล็อกต๊อกแต๊ก" อร่อยสมชื่อจริงๆ อยากจะตักเบิ้ลอีก แต่เก็บท้องเอาไว้กินอาหารในเมืองบ้างดีกว่า
พอเริ่มอิ่มท้องเราก็คิดว่ายังพอมีเวลาที่จะเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าของบ้านอีต่องเป็นการทิ้งท้ายการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในครั้งนี้
จุดแรกที่เราเดินไปถ้ายคือเหมืองเก่าของบ้านอีต่อง หรือที่หลายๆคนเรียกว่า "เหมืองปิล็อก"
หลังจากเดินออกจากเหมืองปิล็อก เราก็เดินชมเมืองอีต่อง แวะคาเฟ่กินของว่างแบบทิ้งทวนชีวิตที่เรียบง่าย พร้อมเก็บตกการซื้อของฝากกลับไปฝากเพื่อนๆ ของเรา
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางจากบ้านอีต่อง เมืองแห่งความหนาวเหน็บ เมืองที่ทำให้เรารู้สึกได้หยุดเวลาอยู่กับตัวเอง แม้สิ่งรอบกายของเราในเมืองนี้ก็เหมือนจะเคลื่อนไหวช้าอยู่แล้วเหมือนกัน
โดยเวลาประมาณเที่ยง เราขับตรงยาวสู่ทองผาภูมิ เพื่อแวะกินข้าวร้านประจำ "ร้านครัวแปดริ้ว" เราอาจจะไม่ได้เก็บภาพอาหารไว้ เพราะเราต้องรีบมุ่งหน้าสู่ที่พักในคืนถัดไปของเรา ที่ "วังนกแก้ว พาร์ควิว รีสอร์ท"
เราเดินทางมาถึงวังนกแก้ว พาร์ควิว โดยประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง เมื่อเข้ามาถึงจุดเช็คอินถึงแม้จะดูวุ่นวาย เพราะมีคนเข้ามาพร้อมๆกันค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อถึงเคาท์เตอร์พนักงานก็ได้ให้รายละเอียดอย่างชัดเจน ครบถ้วน จนทำให้เรื่องเช็คอิน และพาไปห้องพักผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ห้องพักที่เราเลือกไว้คือห้อง Pool Villa Raft No.11 เป็นห้องริมที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะฉะนั้นห้องนี้จึงมีราคาสูงกว่าห้องอื่นด้วย สามารถติดต่อเพื่อเช็คราคาห้องพักได้ที่เฟสบุค เว็ปไซต์รีสอร์ท และเบอร์โทรติดต่อตามที่ได้ให้ไว้
ซึ่งในโซนของพูลวิลล่าราท์ฟนี้ เป็นโซนส่วนตัวที่จำกัดการพักห้องละ 2 ท่านเท่านั้น และห้ามเด็กและสัตว์เลี้ยงเข้าพักในโซนนี้ และความพิเศษของผู้เข้าพักโซนนี้ นอกจากคุณจะสามารถได้ล่องแพเหมือนผู้เข้าพักในโซนอื่นๆ แต่คุณจะได้มื้ออาหารทุกมื้อแบบพิเศษสุด โดยพนักงานจะมาเสิร์ฟถึงห้องทั้งอาหารเช้าแบบ Floating Breakfast มื้อค่ำพร้อมไวน์ 1 ขวด และยังมี Afternoon Tea มาเสิร์ฟให้เราหลังจากเข้าพักประมาณครึ่งชั่วโมง
หลังจากเราเข้าพักก็ได้เดินสำรวจห้องในมุมต่างๆ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบถ้วนให้ผู้เข้าพัก เมื่อเราเอนตัวลงบนเตียงนอนสุดนุ่มพร้อมหมอนใบใหญ่มากๆแล้ว ไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงดี พนักงานก็เดินมาเคาะประตู พร้อมเสิร์ฟ Afternoon Tea ตามภาพให้กับเรา ซึ่งในเซ็ทนี้มีชาร้อน (คาดว่าเป็นชาหลายขนานผสมกันจนมีกลิ่นหอม ชื่นใจ) มีน้ำมะพร้าวอ่อน พร้อมขนมไทยต่างๆ ที่ขนาด และความหวานกำลังดี
เราคิดไว้ว่าจะออกไปล่องแพชมวิวกันรอบ 16.00 น. แล้วจะกลับมาเล่นน้ำที่ห้องพักเราแบบยาวๆ ไป การล่องแพคือการนั่งออกไปบนแพ และใครต้องการกระโดดน้ำทิ้งตัว แล้วลอยตัวตามแพตามน้ำไปเพื่อขึ้นแพแล้วกลับมาที่ที่พักอีกที (ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 30 - 45 นาที)
หลังจากล่องแพเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาห้องเพื่อมาใช้เวลากับสระน้ำส่วนตัวในห้องพักของเรา โดยช่วงเวลาประมาณ 6โมงเย็นพนักงานจะนำไวน์แดงมาเสิร์ฟให้เราก่อน หลังจากนั้นจึงนำมมื้อดินเนอร์ตามมาเสิร์ฟให้เราอีกที เราจึงได้นำไวน์แดงเย็นๆ มาดื่มแบบฟินๆ ในสระส่วนตัวของเรา
อาหารมื้อค่ำที่พนักงานนำมาเสิร์ฟให้เราตั้งแต่ประมาณหกโมงครึ่ง ทำให้เราเริ่มหิวเพราะเริ่มเหนื่อยจากการเล่นน้ำ มื้อค่ำนี้จัดมาในสไตล์สำรับอาหารไทยที่มีทั้งปลากระพงทอดราดน้ำปลา ผัดผักรวมมิตร ต้มยำกุ้ง น้ำพริกลงเรือ พร้อมผักสด รวมถึงผลไม้ ที่จัดมาแบบอิ่มกำลังดีสำหรับสองคน
อาจจะด้วยความหิว จึงทำให้เราลืมถ่ายรูปอาหารมื้อนี้ สำหรับคืนนี้เราทานอาหารพร้อมไวน์ที่เหลือจากการดื่มในสระว่ายน้ำ และเบียร์ที่ยังมีในจนทำให้คืนนี้ของเราเป็นคืนแห่งความสุขกับการทอดอารมณ์ในบรรยากาศส่วนตัว และวิวริมน้ำกับลมที่พัดผ่านมาเบาๆ
เช้าวันสุดท้ายของเรา เราตื่นมาเพราะการนำ Floating Breakfast มาเสิร์ฟที่ห้องของพนักงาน อาหารเช้านี้มีสองเมนูหลักที่เราสามารถเลือกได้เองตอนเช็คอิน ส่วนเมนูอื่นๆที่อยู่ในโฟล์ทนั้นทางรีสอร์ทจะจัดวางเพิ่มมาให้เราอย่างสวยงามน่ารับประทาน
มื้อเช้านี้ถึงจะเป็น Floating Breakfast แต่เราก็ไม่ได้กินมื้อนี้ในน้ำจริงๆนะครับ เพียงการนำมาถ่ายภาพสวยๆก็เพียงพอสำหรับเรา สุดท้ายก็ได้นำอาหารทั้งหมดขึ้นมาทานที่โต๊ะทานข้าวกันตามปกติ
หลังจากทานเรียบร้อยแล้ว ยังขาดอีกหนึ่งสิ่ง คือการนอนเล่นบนเบาะโฟม ต้องลองดูหน่อยว่าสามารถรับน้ำหนักได้มากแค่ไหน เพื่อเป็นการเล่นน้ำส่งท้ายก่อนลาวังนกแก้ว พาร์ค วิว เป็นการปิดทริป
เราอยู่กันแบบคุ้มค่าเต็มเวลา และใช้ทุกพื้นที่ของ Pool Villa Raft 11 อย่างคุ้มค่า เราออกจากที่พักประมาณ 11.40 น. เพื่อ Check-Out ตอนเที่ยงพอดี
ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นที่นี้ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับรีสอร์ทหรูแห่งนี้ ไว้มีช่วงเวลาดีๆ และเหมาะสม เราคงได้กลับมาอีกครั้ง
ขอบคุณ "วังนกแก้ว พาร์ค วิว"
หลังจากขับออกมา เพื่อมุ่งหน้ากลับ เราคิดว่าคงจะแวะหาคาเฟ่นั่งพักซักที่ และซื้อของฝากของเมืองกาญจน์กลับไปฝากเพื่อนๆเรา เราจึงลองนั่งเซิร์ซร้านต่างๆผ่านกูเกิ้ล แล้วร้านที่เราเลือกก็คือ " Library Cafe' "
เป็นมื้อส่งท้ายทริปด้วยห้องแอร์เย็นๆ อาหารที่สั่งมีทั้งพิซซ่า ข้าวต้มแห้งทะเล สปาเก็ตตี้ รวมถึงกาแฟ และตบท้ายด้วยบิงซูเย็นๆ ตามสไตล์ทริปรีวิวของอะตอม มักจะหิวจนลืมถ่ายอาหารเป็นประจำ แต่สำหรับร้านนี้เราให้ 9 เต็ม 10 ทั้งบรรยากาศร้าน การบริการ ความสะอาด และรสชาติอาหารที่อร่อย
เราใช้เวลาอยู่ที่ร้านนี้น่าจะประมาณสองชั่วโมง ถือว่าเป็นจุดพักสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด(เพราะเราจะแวะซื้อของฝากที่ร้านแก้วอีกจุดนึง) ร้านตั้งอยู่ในตัวเมืองกาญจนบุรี ถือว่าเป็นจุดพักที่ระยะทางกำลังดี นั่งพักกับบรรยากาศร้านที่เย็นสบายโอ่โถง ชาร์จพลังได้ก่อนที่จะขับกลับต่อเข้ากรุงเทพฯ
และจุดสุดท้ายตามที่เกริ่นไว้ ร้านแก้ว เป็นร้านของฝากที่ไม่แวะไม่ได้ เพราะต้องซื้อขนมอร่อยๆกลับไปฝากเพื่อนๆ ด้วย
ถือว่าปิดทริปนี้อย่างสมบูรณ์ การหลีกหนีความวุ่นวาย การใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างที่ตั้งใจไว้ ทั้งวิถีสโลว์ไลฟ์ที่บ้านอีต่อง หรือการหยุดเวลาของเราไว้กับที่พักสุดหรู และมีความเป็นส่วนตัวแบบขีดสุดที่ "วังนอกแก้ว พาร์ค วิว กับห้องพัก Pool Villa Raft No.11"
ถือว่าเป็นสองความต่างขั้นสุดที่สามารถหยุดเวลาของเรา ให้เราได้พักชาร์จพลังและกลับไปสู้ต่อกับชีวิตในเมืองอีกครั้ง
ขอบคุณประสบการ์ณดีๆ เพื่อนร่วมทางที่ดี ทุกๆ สิ่งที่พบเจอและ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ