ก่อนอื่นเลยนะคะการไปเที่ยวต่างประเทศแบบประหยัดตัวแปรแรกเลยคือตั๋วเครื่องบินที่ราคาย่อมเยาค่ะ วิธีการหาตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดก็มีอยู่หลายวิธีนะคะ เช่น จองล่วงหน้านานๆ,การจองตั๋วเครื่องบินช่วงโลว์ซีซั่น(เราไปช่วงนี้ค่ะช่วงโลว์ของญี่ปุ่นสนุกกว่าที่คิด),การจองตั๋วเครื่องบินแบบต่อเครื่อง ซึ่งอันสุดท้ายเป็นวิธีที่เราจองตอนไปญี่ปุ่นครั้งแรกค่ะ และชอบมากด้วยเนื่องจากได้นั่งเครื่องฟูลเซอร์วิซ อย่างที่เราไป บินกับสิงคโปร์แอร์ไลน์ค่ะต่อเครื่องที่ชางงีสิงคโปร์ ได้ตั๋วมาในราคา9000กว่าบาท(จริงๆราคา8900บาทค่ะแต่ว่าบวกค่ารูดบัตรนู่นนี่นั่นเลยเป็น9000นิดๆ) จำตัวเลขชัวร์ๆไม่ได้ค่ะ เพราะไปมาเมื่อ3ปีก่อนนู้นนนเลย พอใจมากๆได้นั่งเครื่องฟูลเซอวิซมีน้ำขนมอาหาร+น้ำหนักกระเป๋าด้วย แถมราคาถูกกว่าสายการบินโลวคอสบางสายการบินอีกด้วยค่ะ เพิ่มเติมเราเดินทางช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษาค่ะเพราะแม่ทำงานบริษัท
พอถึงสนามบินชางงี ก็ต้องรอต่อเครื่อง6-7ชม. ดีนะคะเป็นไฟล์ทกลางคืน ไปถึงญี่ปุ่นช่วงบ่ายๆค่ะ ไปถึงชางงีเวลาเหลือเยอะ หาเคาท์เตอร์ของสนามบินขอรหัสไวไฟฟรีได้นะคะ แค่ยื่นพาสปอร์ทให้เจ้าหน้าที่ ส่วนการเปลี่ยนเครื่องไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เราเช็คอินได้บอร์ดดิ่งพาสมาทั้ง2ใบตั้งแต่สุวรรณภูมิเลยค่ะ แต่ต้องเช็คเองว่า เราต้องต่อเครื่องที่เทอมินอลไหน เกตไหน ดูที่ป้ายสนามบินได้เลยค่ะ (ปล.ในกรณีต่อเครื่องไม่ต้องผ่านตม.ค่ะ) หลังจากลงจากเครื่องบินนั้นเดินตามป้าย transfer โลดดด พอเจอป้ายตารางบินแล้วดูเกตเรียบร้อย เราก็ดูป้ายทางไปเทอมินอลหรือเกตที่เราต้องไปขึ้นเครื่องค่ะเดินตามป้ายเลย ไม่ต้องกลัวนะคะ สนามบินจะมีป้ายที่เป็นสากลบอกอยู่ตลอดทางว่าเกตไหนเดินไปทางไหน แค่เราต้องรู้เกต/เทอมินอล ซึ่งก็ดูจากบอร์ดดิ่งพาสหรือป้ายตารางเที่ยวบินค่ะ
พอถึงญี่ปุ่นปุ๊ป เราก็ทำการผ่านตม. ง่ายนิ๊ดเดียว แค่มั่นใจเข้าไว้ ผ่านสบายๆ หลังจากนั้นหาตู้ซื้อตั๋วรถไฟจากแอร์พอร์ตไปโรมแรม โรงแรมที่เราจองเป็นโรงแรมแถวย่าน Asakusa ชื่อโรงแรมตามรูปข้างบนเลยค่ะ ห้องพักเตียง2ชั้นห้องน้ำในตัว
ราคาห้องที่2000บาทต่อคืน แต่เท่าที่หาคือถูกสุดๆแล้ววว ถ้าถูกกว่านี้จะไม่มีห้องน้ำในตัวค่ะ ความพิเศษของโรงแรมนี้คือติดกับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของโตเกียว วัดอาซากุสะนั่นเองง เดินไปแปปเดียวสะดวกมากๆค่ะ แถมแถวนั้นเป็นย่านถนนคนเดิน มีร้านดองกี้ด้วยค่ะ เนื่องจากเราไปถึงเย็นๆเกือบค่ำ เลยไม่ได้ไปเที่ยวไหน ขอเดินแถวๆโรงแรมหาอะไรกินดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มเที่ยว
สรุปวันแรกค่ะออกเดินทางจากสุวรณภูมิดึกๆ ของวันที่16กค. ต่อเครื่องที่สิงคโปร์ ถึงญี่ปุ่นประมาณบ่าย2-3 เลยไปเที่ยวย่านคนเดินอาซากุสะ ของขายร้านค้าเยอะมากๆ เราได้ของฝากของช็อปปิ้งตั้งแต่วันแรกที่ถึงเลยค่ะ ดองกี้ก็ใหญ่มากเช่นกัน ถ้าใครมาเดินแถวย่านอาซากุสะอย่าลืมแวะดองกี้สาขานี้ด้วยนะคะ เราเข้าทุกวันเลย ส่วนร้านค้าช็อปที่เป็นแบรนด์ดังๆ ไม่ค่อยมีนะคะ มีแต่ร้านขายชุดกีฬาค่ะ แต่ร้านค้าร้านเบียร์เยอะมากๆเลยค่ะ ย้ำอีกครั้งว่าคึกคักมากๆ
มาถึงวันที่2ค่ะ เป็นวันเที่ยวทั้งวัน ที่แรกเลยคือวัดอาซากุสะที่เราบอกไว้ว่าอยู่ใกล้โรงแรมมากๆ เปิดแม็ปเดินตามประมาณ5-10นาที
คนญี่ปุ่นน่ารักมากๆเลยนะคะ เห็นเราเป็นชาวต่างชาติมีคุณป้าคนนึงเข้ามาพูดคุยพร้อมกับสอนวิธีไหว้แบบถูกต้องให้ ประทับใจมากค่ะ วัดอาซากุสะนี้สวยมากๆเลยนะคะและใหญ่มากด้วยสีแดงทั้งวัด มีโคมแดงยักษ์ มีมุมถ่ายรูปมีสวนปลาคราฟสวยๆให้ถ่ายรูปเพียบ ใช้เวลาอยู่ในวัดสักแปปนึง หลังจากไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปแถวๆหน้าวัดค่ะ มีของขายเยอะแยะมากมาย อย่าลืมแวะทานซาลาเปาทอดเจ้าดังของวัดด้วยนะคะ
หลังจากเที่ยววัดอาซากุสะเสร็จแล้ว ขอสายบุญต่อที่ศาลเจ้าเมจิค่ะ นี่ก็เป็นสถานที่ดังแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ถึงสถานที่นี้แล้วต้องนั่งรถไฟใต้ดินแล้วนะคะ เดี๋ยวขอพูดถึงเรื่องตั๋วรถไฟใต้ดินแบบเหมาหน่อยนะคะ เราซื้อจากที่ไทยเลย เป็นของmetro ซื้อมาแบบ48ชม.เพราะเราอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ 2วันเต็ม
พอมีตั๋วแบบเหมาแล้ว เราเริ่มใช้เมื่อไหร่นับไปอีก48ชม. ขึ้นได้ไม่จำกัด เราตีราคาไปประมาณ400บาทนะคะแต่จริงๆก็ไม่ถึงค่ะ มาต่อที่เที่ยวกันดีกว่าค่ะ ออกมาจากวัดอาซากุสะมองหาป้ายเมโทร subway จากสถานีAsakusaค่ะ แล้วไปลงที่สถานี harajuku หลังจากนั้นเดินตามกูเกิลแมปไปศาลเจ้าเมจิเลยค่ะ
ในศาลเจ้านี้ร่มรื่นมากๆค่ะทางเดินเข้าสองทางเป็นไผ่ญี่ปุ่นไกลหน่อยแต่ก็คุ้มค่ะ เพิ่มเติมวัดหรือศาลเจ้าที่ญี่ปุ่นเครื่องรางขายเยอะจริงๆค่ะ พอไหว้ขอพรเสร็จเดินออกทางเดิมค่ะ ทางยาวมากแม่ท้อ แต่พอออกมาแล้วก็เป็นแหล่งช้อปปิ้งharajukuค่ะ แงงง แรงฮึดมากก เดินเล่นดูของไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาไปย่านที่ทุกคนต้องไป ถ้ามาถึงโตเกียวแล้วนั่นก็คือชิบูย่าค่ะ ที่จริงมันเชื่อมกันนะคะ แต่ว่าแม่เราเดินไม่ไหวเลยนั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่า ไหนๆก็เหมามาล่ะ
ที่ชิบูย่าใหญ่สมคำร่ำลือ พอขึ้นมาจากสถานีชิบูย่าใกล้ๆจะเห็นรูปปั้นหมาฮาจิโกะถือเป็นหนึ่งซิกเนเจอร์ของชิบูย่าเลยค่ะ อย่าลืมแวะไปถ่ายรูปน้า แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปตอนข้ามทางม้าลายมานะคะคนเยอะ เราก็หาอาหารกิน พร้อมกับช้อปปิ้ง ที่นี่มีทั้งร้านค้าตามถนนห้างใหญ่ๆก็มีนะคะ ดองกี้สาขาที่ชิบูย่าก็ใหญ่แล้วของก็เยอะอยู่ค่ะ เดินจนท้อจริงๆค่ะ ญี่ปุ่น ใครจะมาต้องฝึกเดินเยอะๆนะคะเดี๋ยวหอบ เราก็เดินยันค่ำๆเลยค่ะ ไม่ดึกมากเพราะแม่ไม่ไหว แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าจากสถานีชิบูย่าไปสถานีอาซากุสะค่ะ กลับโรงแรมกัน พน.กลับแล้ว
วันนี้วันสุดท้ายแล้วลุยช็อปปิ้งของฝากค่ะ เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแต่เช้า จากสถานีasakusaเหมือนเดิม ไปสถานีuenoโลดดด (ถึงสถานีuenoก็แวะฝากกระเป๋าไว้กับตู้ฝากของในสถานีค่ะ)
มาถึงที่uenoแล้วค่ะ สถานที่ที่เราจะไปกันในสถานีนี้คือตลาดAmeyoko ออกจากสถานีทำอะไรไม่ถูกก็เปิดแมปเดินตามเลยค่ะ จะบอกว่าแม่ชอบที่นี้ที่สุดในทริปนี้เพราะของคือดีงาม ขนมของแห้งเยอะมาก ราคาดีมาก เสื้อผ้ากีฬาก็ราคาดีมากค่ะ ช็อปกันเพลินมากค่ะ เพราะเราไม่ใช่สายแฟชั่น แต่สายกิน 5555 แล้วก็หาอาหารของกิน ขนมหวาน ก่อนจะไปสนามบินนาริตะด้วยค่ะ เตรียมกินให้อิ่มเลย
เสร็จจากตลาดสุดท้ายแล้ว เรากับแม่ก็เดินกลับไปสถานีueno ค่ะ ซื้อตั๋วรถไฟใหม่นะคะ(ไม่ใช่48ชม.)เป็นตั๋วรถไฟไปสนามบินนาริตะ อย่าลืมเอากระเป๋าด้วยค่ะ หลังจากนั้นก็นั่งยาวเลยค่ะ ไปสนามบินนาริตะ ข้างทางเป็นท้องทุ่งนาของญี่ปุ่นสวยงามค่ะ
พอถึงสนามบินนาริตะ ก็เช็คอิน เหมือนเดิมค่ะต่อเครื่อง เช็คอินจะได้บอร์ดดิ่งพาส2ใบ คือใบแรกจากญี่ปุ่นไปสิงคโปร์ และใบ2จากสิงคโปร์ไปกทมค่ะ เช็คอินเสร็จผ่านตม.ญี่ปุ่นแวะถ่ายรูปวิวหน่อยค่ะ
หลังจากถึงสิงคโปร์ทำเหมือนเดิมเลยนะคะเดินตามป้าย transfer และก็หาป้ายตารางบินเพื่อเช็คเทอมินอลเกตว่าตรงกับบอร์ดดิ่งพาสเราหรือเปล่าค่ะ หลังจากนั้นก็ไปรอหน้าเกตขึ้นเครื่องกลับไทยได้ เย่~
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน (เราขอตีเป็น9500บาทนะคะ ราคาอยู่ที่ประมาณนี้) คนล่ะ 9500บาท
ค่าที่พักคืนล่ะ 2000บาท ไป2คืน 4000หาร2คนตก คนล่ะ 2000บาทค่ะ
ค่าพ็อกเก็ตwifi เช่า2วัน500บาท วันล่ะ 250บาท หาร2คนล่ะ 250บาท
ตั๋วรถไฟแบบ48ชม. (ตีราคา400บาท แล้วแต่เรทที่ไป) คนล่ะ 400บาท
ค่ารถไฟไปสนามบินและค่าฝากกระเป๋าประมาณ 500บาทค่ะ(แล้วแต่เรทเงิน)
รวมทั้งหมด(ไม่รวมช้อปปิ้ง+กิน) ต่อคน 9500+2000+400+250+500 =12650 บาทค่ะ
ส่วนเงินช้อปกับกินเรากับแม่หมดไป2คน รวมกัน6-7พันบาทค่ะ ถ้าใครไม่ใช่สายแฟชั่นซื้อของแบรนเนม6-7พันไหวอยู่แล้วค่ะ
จบแล้วค่ะกับกระทู้รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา เราเก็บเงินไปเที่ยวเองจากการทำงานพาร์ทไทม์ค่ะ เพราะว่าไม่อยากรบกวนเงินแม่ แม่เองก็อยากไป แต่ถ้าให้จ่ายให้เราด้วยก็ไม่ไหว เราเลยเก็บเงินเองค่ะ แต่ค่าพ็อกเก็ตมันนี่แม่ออกให้น้า 5555 เราอาจจะไม่ได้ไปเยอะหลายที่นะคะ แต่เราก็รู้สึกคุ้มมากกับการได้ไปเห็นบ้านเมืองของเขาเจริญจริงๆค่ะ และก็พยายามไปเก็บแลนด์มาร์กใหญ่ๆที่ต้องไปกัน
เป็นกำลังใจให้คนที่อยากไปเที่ยวค่ะ ตั้งเป้าหมายจะได้มีแรงเก็บเงิน ศึกษาข้อมูลเยอะๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ไปยากอย่างที่คิด ไปในราคาถูกก็ใช่ว่าจะไม่สบายนะคะ อยู่ที่การวางแผนค่ะ ยังไงถ้าชอบอย่าลืมแชร์ให้เราด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ