หลังจากได้วีซ่า ที่มีวีรกรรมสุดฮาของการเตรียมภาพถ่ายที่ต่างไปจากวีซ่าประเทศอื่นๆ แล้วเราใช้เงินทำงานด้วยการยื่นผ่านนายหน้าแค่เตรียมกรอกเอกสารและภาพถ่าย 2 สิ่งเท่านั้น อ่อ ใบมอบอำนาจด้วย แล้วรอเวลาไม่นานวีซ่าจีนก็มาอยู่ในมือ ซึ่งจะติดมาในเล่มพาสปอร์ตให้เลย เป็นวีซ่าชั่วคราวนะคะ เข้าออกได้เพียง 1 ครั้ง
เมื่อตั๋วพร้อม ใจพร้อม กายพร้อม แลกเงินหยวนพร้อม ก็ออกเดินทางกันเลยจ้า เราบิน Air Asia จองแบบกระชั้นชิด ราคาก็จะแพงๆหน่อย ไปกลับอยู่ที่ 9,xxx บาท
บินดอนเมือง ก่อนออกก็จัด Sim2Fly ไว้สำหรับการติดต่อและอัพรูปใดๆ โดยไม่จำกัดการเข้าถึงเพราะปกติจีนจะบล็อค Line Facebook นั่นนี่ ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปค่ะ ใช้ได้ตามอัธยาศัยจ้า
ไฟท์เราบินดึกไปเช้าที่โน้น (เหมือนเพื่อนจะบอกว่าเท่าที่เช็คข้อมูล จะมีบินดึก เช้าที่โน้นแทบทั้งนั้นเลย) เลยแวะเติมพลังที่ King Power Lounge อาหารรอบดึกวันนี้มี ข้ามต้มร้อนๆ ซาลาเปาอร่อยๆ และสลัดสุดโปรด เพื่อนเพิ่งได้เข้าครั้งแรก ติดใจใหญ่เลย และเล็งไว้ละว่าต้องไปทำบัตรสมาชิกด่วนๆ ของเค้าดีจริงๆค่ะคุณขา
ได้เวลาพร้อมบินค่า ใช้คูปอง Hot Seat ได้ที่นั่งหน้าสุดเลย และทั้งลำ มีเรากับเพื่อนสาวเป็นผู้โดยสารคนไทยเพียง 2 คนเท่านั้น แอร์ก็จะวนเวียนมาคุยด้วยอยู่ตลอดๆ แต่ปัญหาของคนขายาวหน่อยสำหรับที่ Hot Seat หน้าสุดขาก็จะยืดได้ไม่เต็มที่ แต่พอดีเบาะว่างเลยไล่เพื่อนไปอีกเบาะ แล้วเอี้ยวตัวยืดขาซะเลย หลับยาวไปค่ะ (แต่จริงแล้วการนอนบนเครื่องมันสบายไม่เหมือนบ้านเนอะ หลับๆตื่นๆวนไปค่ะ)
ถึงแผ่นดินจีนโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง อากาศอยู่ที่ 22 องศา คว้าเสื้อกันหนาวมาใส่กรุบๆ เดินไปรับกระเป๋า แล้วเข้าห้องน้ำสำรวจความสะอาดกันก่อนเลย ...วิ้ง สะอาดสะอ้านมากเลยนะยู ลบภาพจำในอดีตออกไปซะ เพราะทั้งสองจุดที่ลองเข้าสำรวจ ไม่ว่าจะสุขาแบบนั่งโถและนั่งยองๆ ก็สะอาดสะอ้านมากค่ะ และด้วยความที่ไฟล์ไปถึงเช้าเกินไป รถไฟใต้ดินยังไม่เปิดเลยนั่งๆนอนๆในสนามบิน เดินหาโบร์ชัวท่องเที่ยว เวียนถามหลายจุด เค้าพูดอังกฤษและไม่เข้าใจภาษาเท่าไหร่นัก
ว่างจัด ลองสำรวจห้องสุขาอีกจุด เป็นส้วมยองๆก็จริง แต่ก็สะอาดนะเออ
เอาล่ะ พอได้เวลารถไฟใต้ดินเปิด ก็รีบลงชั้นล่าง ไปเคาน์เตอร์ซื้อตั๋วกันจ้า นี่ก็ว่าเร็วกันมากละ แต่คิวที่ต่อก็ยาวแล้วเช่นกัน บัตรเติมเงิน Metro ชื่อบัตรว่า Yang Cheng Tong ที่สามารถเดินทางได้ทุกรูปแบบ ทั้งรถไฟใต้ดินและบัส ยังสามารถใช้ใน 7-11 ได้ด้วย รวมถึงเติมเงินที่ 7-11 ด้วยค่ะ เราจ่ายครั้งแรกไป 50 หยวน เป็นค่ามัดจำบัตรด้วย 20 หยวนและที่เหลือเป็นมูลค่าในบัตร
ที่พักสุดหรูของเราตลอดทริป อยู่ย่านใจกลางเมืองกวางโจว มีสถานีรถไฟใต้ดินโผล่มาถึงเลย อาคารของที่พักก็มีห้าง สวนสาธารณะ แหล่งการค้า ถนนการค้าสำคัญของกวางโจวเลย
ห้องพักกว้างขวาง เตียง 2 เตียงใหญ่ที่มีกั้นห้องแบ่งเป็นสัดส่วนให้เลย ห้องน้ำกว้าง มีอ่างอาบน้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีเครื่องซักผ้า เตารีด ตู้เย็น เตาอบ เคาน์เตอร์บาร์แบบทำอาหารได้เลย คือดีงามมากมายค่ะ ใครไปกวางโจวแนะนำที่พักที่นี่เป็นอีก 1 ทางเลือกค่ะ
หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และเผลองีบไปหน่อย ก็ได้เวลาตื่นมาสำรวจรอบๆที่พัก หาอะไรทาน และตะลุยเที่ยวกันดีกว่า ต้องบอกว่าร้านที่นี่เป็นภาษาจีนซะส่วนใหญ่ หมดปัญญาที่จะรีวิวร้านอาหารท้องถิ่นหลายๆร้าน เพราะไม่รู้จะเพิ่มชื่อร้านยังไงหรือหาชื่อร้านหากมีคนรีวิวไว้แล้วยังไงเลย ดูรูปไปเพลินๆละกันนะคะ
Koi The' สาขา Yuexiu Park หน้าตึก Sun Flower กลางเมืองกวางโจว ร้านหน้ากว้าง แต่ไม่มีที่ให้นั่งทาน มีพนักงานเชิญชวนและมีแก้วเล็กให้ชิมก่อนด้วย
เมนูก็มีแต่ภาษาจีน พนักงานที่ให้ชิมพอจะรู้เรื่องอังกฤษบ้าง ก็อาศัยชี้ภาพ อังกฤษแบบเน้นคำกันไป เราเลือก "Golden Bubble Milk Tea" ความหวานก็มีให้เลือกเป็น% ปริมาณน้ำแข็งก็ด้วย เราเลือก Normal ออกมา อร่อยคล้ายๆไทยแหละ แต่เราว่ามันหอมๆกว่า มุกทานตอนแรกออกนุ่มๆ และพอคนไปมาโดนน้ำแข็งมันก็หนึบเหมือนที่คุ้นเคย และให้เยอะเหมือนๆไทย สุดท้ายชานมหมดโดยที่มุกเคี้ยวไม่หมดเหมือนกัน ราคา 20 หยวน ประมาณ 100 บาทไทย
ที่แรกไปกันที่ "อนุสรณ์สถานซุนยัตเซ็น" นี่คือเดินลัดเลาะผ่านสวนสาธารณะใกล้ๆที่พัก ไปตาม Google Map ชมสวนและวิถีชีวิตผู้คนแถวนี้ พบว่า ในสวนคนจีนนิยมมาออกกำลังกาย รำไทเก๊ก รำดาบ ออกกำลังกายกันมากมาย (ไม่รวมการสูบบุหรี่ทั่วบ้านทั่วเมืองที่ทำลายสุขภาพกันนะคะ) สรุปเดินไปเดินมามันไกลมาก แต่อากาศสบายๆเลยได้แค่ปวดขา
มาถึงแค่มองไกลๆ ก็เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ที่สร้างเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของ ดร.ซุน ยัตเซ็น เป็นอาคารเสาแปดเหลี่ยม ด้วยความที่อ่านอะไรไม่ออกเลย และค่อนข้างเหนื่อยจากการเดินทางและเดินมา เลยไม่ได้เข้าชมภายใน
ภายนอกอาคารสามารถเที่ยวชมได้ฟรีเลย ภายในมีค่าเข้าด้วยค่ะ
Yuexiu Park สวนที่ตั้งของอนุสาวรีย์ห้าแพะ สัญลักษณ์และเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกวางโจว สวนแห่งนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ กว้างขวางแบบเดินวนหาแพะอยู่นาน แต่ก็แวะชมจุดชมวิวสวยๆมากมายตามรายทาง
เมื่อเจออนุสาวรีย์แพะ ก็ตื่นตาดีนะ เข้าใจว่าไม่ใหญ่จากการดูรีวิว แต่ของจริงยิ่งใหญ่ดี สมแล้วที่ชาวเมืองกวางโจวในอดีตร่วมมือร่วมใจสร้างเพื่อรำลึกจากเรื่องราวที่ช่วยจากความอดอยากให้เมืองมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชมค่ะ
BAATZAN Tea Restaurant ร้านอาหารใกล้ที่พัก เดินประมาณ 2-3 ล็อค เข้ามาในซอยหน่อย เห็นว่ามีชื่อภาษาอังกฤษ พอมีความหวัง แต่เข้าไปเมนูภาษาจีนล้วนๆค่ะ ก็พยายามดูรูปและใช้ Google Translate แปล เลยได้เมนูเหมือนข้าวมันไก่ เพื่อนได้ข้าวหมูแดงจานโตมาคนละจาน มีผักใช้แทบทั้งต้น แต่หวานกรอบดี รวมแล้วอร่อยดีค่ะ แต่ซุปค่อนข้างจีน คิดว่าเป็นรสในแบบคนจีนทานที่ไม่เน้นรสเข้มข้นขนาดคนไทย ราคาจานละ 53 หยวนค่ะ
ทานเสร็จก็เดินย่อย เพื่อไปที่ Temple of The Six Banyan Tree หรือ วัดไทรหกต้น เปิด Google Map จากแถวโรงแรมก็ถือว่าไกลพอสมควร อากาศเย็นสบายดี แต่ควันบุหรี่สองข้างทางตลบอบอวลมาก
ภายในวัดมีเจดีย์ 9 ชั้น สูงตระหง่านโดดเด่น สวยงาม และมีพระองค์ใหญ่สีทอง 3 องค์ด้านใน และรอบบริเวณก็มีสถาปัตยกรรมจีน อาคาร และหอพระอีกหลายหลัง รวมถึงต้นไทรใหญ่โดดเด่น สลับกับความร่มรื่นของไม้อื่นร่วมด้วย ภายในบริเวณวัดสะอาดสะอ้าน และเงียบสงบมากค่ะ
วัดที่จีนมักนำดอกไม้สดแบบก้านยาวๆสวยๆมาสักการะกัน สวยงามแปลกตาไปอีกแบบนะคะ
ที่นี่เราไม่ได้เสียค่าเข้าค่ะ แต่บางรีวิวก็บอกว่าเสียนะ งงจัง
หลังจากเราได้ไหว้พระตามวิถีพุทธแล้ว ก็ต่อด้วยตามหาโบสถ์เอาใจเพื่อนที่นับถือคริสต์กันด้วย เดินทางด้วย Metro แล้วเปิดกูเกิ้ลตามหา เข้าซอบเล็กซอยน้อย ถามทางนักเรียนแถวนั้นเพราะคิดว่าน่าจะพอได้ภาษาบ้าง แต่เปล่าเลย ชี้เป้าแบบผ่านชุมชนแออัดที่แสนจะน่ากลัว แต่วนไปวนมา กูเกิ้ลก็สัญญาณไม่ค่อยดี แต่ก็มาเจอโดยบังเอิญ ...แต่ อีกที คือ เกินห้าโมง โบสถ์ปิดละจ้า ได้แต่เกาะรั้วถ่ายรูป เพื่อนก็อธิษฐานอยู่ด้านนอกไปจ๊ะ (แต่ก็แอบเห็นยังมีคนอยู่ด้านใน แต่น่าจะเป็นพวกกลุ่มที่เข้าไปในเวลาแล้วยังออกมาไม่หมดมั้งคะ)
ตอนกลับ เราเดินออกมาด้านหน้าเลย คือ มันไม่ไกลจาก Metro เลยอ่ะ ซึ่งคิดว่าเราคงออกประตูผิด และเดินวนเวียนตามการสื่อสารที่ไม่ค่อยรู้เรื่องของกันและกันค่ะ ถือว่าออกกำลังขาเนอะ เหอๆ
ปิดทริปค่ำคืนนี้ที่ "Beijing Lu Night Market" ถนนคนเดินขนาดใหญ่ ย่านการค้าสำคัญของที่นี่ เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คในการมาเยือนกวางโจวเลยค่ะ ซึ่งพวกเรานั่ง Metro กลับมาโผล่สถานีกลางถนนคนเดินแล้วเดินสำรวจกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะมีร้านรวงมากมายทั้งอาหาร เสื้อผ้า นั่นนี่
ผู้คนเดินขวักไขว่จนตาลาย เลยอยากเติมหวาน เจอร้าน "บัวลอยงาดำ" ที่กำลังเคี่ยวกันสดๆหน้าร้าน และภายในร้านมีคนนั่งทานเต็มไปหมด จัดสิคะ รออะไร ไส้งาดำหอมมาก มันมาก ดูดีมีประโยชน์ สำหรับเราทานเยอะๆก็มึนไปเหมือนกัน แต่องค์รวม รสชาติหวานมันกำลังดีค่ะ
เช้าวันที่ 3 ตื่นสายหน่อย ปั่นผ้าตากริมระเบียง แล้วลงมาสำรวจถนน Beijing Lu ในยามเช้ากันบ้างเพราะเมื่อคืนคนเยอะ ลายตาไปหมด
พบว่าตั้งแต่ต้นถนนเมื่อเดินจากฝั่งที่พักของเรา มีตู้กระจกที่อนุรักษ์ถนนโบราณให้นักท่องเที่ยวได้ชม บ่งบอกถึงอารยธรรมของที่นี่ที่ยังคงไว้ให้ชนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวได้ศึกษากัน ระหว่างทางก็มีอนุสรณ์ สัญลักษณ์อะไรต่างๆตามแยก หรือหน้าตึกให้ชมอยู่หลายจุด รวมถึงวัดสำคัญระหว่างถนนไป่จิงลู่กับถนนอีกเส้นด้วย
"Dafo Temple" หรือ Great Buddha Temple เป็นวัดไม้ขนาดใหญ่ ตระหง่านสวยงาม โดยเฉพาะกลางคืน เปิดไฟทั้งหลังสวยงามอร่ามตาเลยแม่คุณเอ๋ย ก็ไหว้พระขอพรที่ด้านหน้ากันได้เลยค่ะ
โปรแกรมสำคัญของเราในวันนี้คือ เราจะขึ้นเขากันค่า ...สถานที่หลายๆจุดที่ไป add เพิ่มยากมากบน App Wongnai บวกกับสัญญาณและความทุลักทุเลใดๆแล้ว ก็พลาดที่จะเพิ่มสถานที่ลงไปได้
White Cloud Mountain คือจุดหมายของเรา คนท้องถิ่นจะเรียกว่า ไป่หยวนซาน (ซาน หมายถึง ภูเขา) เป็นภูเขาเมฆขาว อะไรทำนองนั้น (แปลจากอังกฤษซะเลย ฮ่าๆ)
การเดินทางโดย Metro Line 2 ลงสถานี Xiaogang St.(2/21) และเดินอีกประมาณ 10 นาที แต่ปัญหาคือ จะเดินไปทางไหน โผล่มาก็งงละ นี่คือ ค่อนข้างออกนอกเมืองกันเลยทีเดียว ทั้งให้กูเกิ้ลช่วยออกเสียง และเปิดแม๊พช่วย แต่ในที่สุดก็เดินถึงทางเข้าจนได้ (จริงแล้วขึ้นบัสต่อมาได้ แต่ก็ไม่รู้จะขึ้นฝั่งไหน ลงถูกมั้ย และอยากเดิน ว่างั้นเหอะ)
ค่าเข้า 5 หยวน แล้วต่อ Shuttle Bus ต่อแรก 10 หยวน ต่อสอง 20 หยวน กะว่าขาลงจะนั่งเคเบิ้ล แต่เซิทดูข้อมูลมันจะไปลงจุดที่ไกลจาก Metro ไปอีก เลยตัดสินใจลงเหมือนเดิมค่ะ
บรรยากาศ สองข้างทางระหว่างนั่งรถขึ้นมา คนจีนเดินขึ้นเขากันเก่งมากค่ะ ไม่เพียงแค่หนุ่มสาวนะคะ ทั้งเด็กเล็ก คนแก่ มีไม้คนละอันก็เดินลิ่วๆขึ้นมาระเกะระกะถนน จนรถที่นั่งมา คือบีบแตรไปตลอดทางอ่ะ ฮ่าๆ นี่เรานั่งรถยังเมื่อยแทบแย่ นับถือพวกที่เดินขึ้นมาจริงๆเลย ไม่รู้มากันตั้งแต่กี่โมง ฮา..
ด้านบน อากาศสดชื่น เย็นสบาย เป็นการฟอกปอดอย่างดี เพราะภาคพื้นดินมีแต่ควันบุหรี่ทั้งเมือง บวกกับ PM2.5 เข้าไปอีก นี่แพ้อากาศตั้งแต่ไป แต่พออยู่บนเขา หายไอเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ และยืนยันชื่อของภูเขานี้ เพราะมีเมฆขาวๆเป็นปุยสวยๆเต็มไปหมด มีสวนสัตว์ย่อมๆให้ชม และมีคาเฟ่น่านั่งหลายร้านเลย
ส่วนของร้านอาหารนี้ ตั้งอยู่ด้านบน ริมผาฝั่งนึงของเขาเมฆขาว วิวดีและอากาศดีมากๆ เดินวนไปมา 3 รอบ คือคิดว่าพลาดไม่ได้ เลยรอคิว โดยขอไม่นั่งใกล้โต๊ะที่มีคนสูบบุหรี่ (ร้านอาหารหลายที่ในกวางโจว อนุญาตให้คนสูบบุหรี่ได้ด้วย แงๆ)
เมนูมีแบบภาษาอังกฤษ และมีพนักงานชายท่านนึงสื่อสารอังกฤษได้ สบายล่ะทีนี้
ส่วนของอาหารดูดีและรสดีมาก พวกเราทาน "Cold cut แฮม" "สลัดผัก" "ข้าวผัดซีฟู้ด" และปิดท้ายด้วย "ชาผลไม้" อันนี้ดีงามที่สุด เป็นชาร้อน ที่เป็นผลไม้รวม รสดีมาก คือจิบไปแล้วดูมีประโยชน์ที่สำคัญคืออร่อยสุดๆเหมาะกับอากาศและบรรยากาศมากมายค่ะ
ราคาปานกลาง-ค่อนข้างสูง แต่สำหรับวิวและรสชาติรวมถึงบริการ ถือว่าคุ้มค่ามากๆเลยค่ะ
จากนั้นรีบดิ่งลงมา เพื่อเตรียมตัวกับโปรแกรมปิดท้ายค่ำคืนนี้ นั่นก็คือ "ล่องเรือสำราญชมวิวเมืองกวางโจวบนแม่น้ำไข่มุก" โดยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro Line 6 to Donghu ทางออก B2 Dashatou Wharf ออกจากสถานีแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ข้ามสี่แยกไฟแดง แล้วเลี้ยวขวา เดินต่อไปเรื่อยๆอาคารจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางซ้าย แต่เราเลือกเดินลัดเลาะริมแม่น้ำ ชมวิวสวยๆเพลินๆไป
บริษัทเรือสำราญมีหลากหลายมาก เราเลือก บริษัท Jinhang Liner วิวดาดฟ้า ในราคา 98 หยวน การซื้อตั๋วต้องแสดงพาสปอร์ตด้วยนะคะ และจะมีตรวจบริเวณหน้าทางเข้าด้วย หลังซื้อตั๋วยังพอมีเวลาเลยข้ามถนนไปเตรียมเสบียง ได้ขนมปัง(จืดๆ) และเบียร์ท้องถิ่น(จืดๆ) มาด้วย
18.40 น. พระอาทิตย์เริ่มตก ไฟอาคารสองริมฝั่งน้ำเริ่มสว่าง ก็ได้เวลาล่องเรือกันค่า อากาศค่อนข้างเย็นบวกกับลมมีสั่นบางช่วงกันเลยทีเดียว บนเรือเสริฟถั่วให้กับน้ำชาถ้วยเล็กๆ เราได้ที่นั่งริมๆเรือ แต่แชร์กับอีก 2 คน (แต่พอเรือออก เค้าก็มูฟไปนั่งที่อื่น สบายไป)
บรรยากาศสองฝั่งประดับไฟสวยงาม สะพานที่พาดผ่านก็มีโชว์ไฟ แสงสี มีแบบเคลื่อนไหวไปอีก แล้วที่ปลายน้ำฝั่งนึง พบกับตึก Canton Tower ตึกสูงที่สุดของกวางโจว และเคยติดอันดับโลกด้วย บวกกับไฟแสงสีสลับสวยงามอร่ามตามาก
ค่ำคืนนี้เลยวิเศษมากๆเลยค่ะ
วันนี้ตื่นเช้า แต่เพื่อนท้องเสีย เหมือนเป็นลางอะไรบ้างอย่าง (เพ้อเจ้อเบาๆ ฮ่าๆ) เราออกไปหาอะไรทานแถวที่พัก ให้เวลาเพื่อนพักฟื้นแล้วนางก็พร้อมลุยกันต่อ
วันนี้มีโปรแกรมไปนอกเมืองอีกแล้ว ณ Lian Hua Shan (Lotus Hill) เราต้องเดินทางด้วย Metro Line 3 รถแน่นมาก พอถึง Shiqiao St. โผล่มางงว่าต้องไปต่อบัสที่ไหน เดินถามใครก็ไม่มีใครช่วยได้ เดินงมอยู่หลายจุด จนพบน้องผู้หญิงปั่นจักรยานหยุดกดมือถืออยู่ ปรากฏน้องพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ ชี้ทางให้เราเดินไปอีกฝั่งของห้าง Aeon เราก็เดินๆไป ซักพ้ก น้องทิ้งรถแล้วมาเดินพาพวกเราออกไปเจอป้ายรถ พวกเราก็ร่ำลาขอบคุณน้องไปเรียบร้อย พอสายที่เราจะขึ้นคือ Bus หมายเลข 92 มาพวกเราก็รีบโดดขึ้น น้องโผล่มาจากไหนไม่รู้มาเรียกให้ลง บอกว่าเป็นรถเสริม เอร้ย มีงี้ด้วย น่ารักสุดๆ ประทับใจมาก ขอบคุณไปหลายครั้งเลย
คราวนี้เปิดกูเกิ้ลแมพ เพื่อไปจุดหมาย แต่รถไม่ผ่านทางเข้า คนขับบอกให้ลงทำท่าเหมือนป้ายสุดท้าย เลยลงเดินต่อ แอบหิวเลยแวะทานข้าวกันก่อน พอจะจ่ายตัง ปรากฎว่า...เพื่อนกระเป๋าสตางค์หายค่ะ OMG เราเคลียร์ค่าข้าวเสร็จ พากันเดินหาสถานีตำรวจก็ไปเจอศูนย์นักท่องเที่ยวที่ทางเข้า ใจหล่นวูบกันไปหมด ขอให้เค้าช่วยติดต่อตำรวจ ที่ต้องใช้ Google Translate แบบทุลักทุเลสุดๆ
หลังแจ้งความและพยายามสื่อสารให้คุณตำรวจช่วยประสานกับทางสถานีรถไฟใต้ดินเส้นทางที่เราใช้ รวมถึงรถบัส เพื่อขอประชาสัมพันธ์เผื่อมีคนเก็บคืนไว้(พยายามมองโลกในแง่ดี) หรือขอดูกล้องวงจรปิด ...แต่ก็นั่นแหละ สื่อสารกันลำบากมากๆค่ะ และเผื่อใจไว้แบบหมดหวังๆ และยังคิดว่าโชคดีแค่ไหน ที่พาสปอร์ตยังอยู่ ไม่งั้นคงลำบากมากกว่านี้เป็นแน่แท้
หลังจากนั้น เราก็บอกไปนะ ว่ากลับที่พักก่อนได้นะ เพื่อประสานอายัดบัตรต่างๆ เพราะการอายัดบัตรระหว่างประเทศมีความยุ่งยากในแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะต้องใช้การยืนยันทางเลขหมายโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ (ซึ่งตอนนี้เราใช้ซิมอินเตอร์เน็ตกันนะเออ) แต่เพื่อนก็เด็ดเดี่ยว เพราะโปรแกรมวันนี้มันออกนอกเมืองมาไกล ที่แก้ตัวในวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้วแน่ๆ ต้องยอมใจเพื่อนรักจริงๆค่ะ
ติดต่อซื้อตั๋วด้านหน้าทางเข้าเลย ราคา 54 หยวน ต่อคน ขึ้นรถ Shuttle Bus อีก 10 หยวน เหมือนจะแพงมากเลยนะ แต่เข้าไปก็คุ้มค่ามาก สถานที่กว้างขวาง มีให้เที่ยวหลายโซน ถ่ายรูปจุใจ รถจะจอดที่เจดีย์บัว Lotus Pagoda แล้วก็สามารถเดินชมรอบๆได้ตามอัธยาศัย
นอกจากเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่หันหน้าสู่ทะเลที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้แล้ว ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่เป็นหน้าผาหินและอุทยานหิน ยิ่งใหญ่สวยงามมาก มีการจัดสวน บึงบัวสวยๆ มีวัดใหญ่ คือเดินกันจนเหนื่อย พอให้ลืมเรื่องกระเป๋าตังหายกันไปได้ซักหน่อย ก็ต้องรีบกลับเข้าเมืองเพราะกลัวมืดค่ำจะลงป้ายรถไม่ถูก 555
ออกจากที่เที่ยว ก็ลองโทรสอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้ง คราวนี้มีตำรวจหญิงสุดเท่ที่พูดภาษาอังกฤษได้มาค่า สะดวกขึ้นเยอะ แต่สุดท้ายจากการที่ช่วยประสานไปยังทั้งรถใต้ดินและบัส ก็ให้ความหวัง(อันน้อยนิด)ว่า โอกาสได้คืนมีน้อยมาก ...ถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ต้องมีสติ รอบคอบในการเดินทางต่างแดนมากขึ้น จากการวิเคราะห์กัน คือ จากการที่ขึ้นรถไฟใต้ดินช่วงเวลาเร่งด่วน คนแน่น เพื่อนใช้กระเป๋าเป้และสะพานไว้ที่หลัง ก็อาจหล่น หรือแง่ร้ายมาก คือ มีคนล้วงได้ง่าย เพื่อนเลยบอกกลับไปจะทิ้งเป้ใบนั้นละ ซึ่งส่วนของเราเอง เป็นคนขี้หวงของ กอดกระเป๋าแน่น และทุกอย่างจะถูกรวบมาไว้ด้านหน้า และสัมผัสไว้ตลอดเวลา เล่าไว้เป็นอุทาหรณ์การเดินทางละกันนะคะ
ที่สำคัญ อย่าพกบัตรเครดิตไปเยอะ การอายัดบัตรค่อนข้างยุ่งยาก เงินแยกเก็บหลายๆที่เผื่อฉุกเฉิน หรือระวังตัว มีสติให้เยอะกับการดูแลทรัพย์สินของตัวเองให้ดีค่ะ
Shamian Island เกาะเล็กๆ ที่ใกล้แผ่นดินใหญ่เพียงข้ามสะพานข้ามคลองไปก็ถึงแล้ว มีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเป็นอาคารสวยงามแปลกตาไปกว่าบ้านเรือนทั่วไป ถือว่าเป็นเกาะแห่งคู่รัก ที่นิยมมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง เพราะสถานที่สวยงามและมีบรรยากาศที่ดี ร่มรื่น มีต้นไม้ขนาดใหญ่ สวนสวยๆ พบเจอการออกกำลังกายกันเป็นหมู่คณะ มีจุดรำดาบ รำไทเก๊ก กิจกรรมเข้าจังหวะเยอะแยะมากมาย โซนกลางๆมีสตาบัค ที่แต่งให้กลมกลืนกับสถานที่ด้วย เก๋ๆดี และยังมีโบถส์เล็กๆ สวยงามไปอีกแบบ เพื่อนขอแวะไปสวดมนต์ขอพรด้านในด้วย
เดินไปอีกโซนมี คาเฟ่สวยๆหลายจุด แต่เปิดสาย เลยเดินไปเรื่อยเจอคาเฟ่หน้าโรงแรมซาเหมียน เลยแวะเติมพลัง
พิพิธภัณธ์บ้านตระกูลเฉิน อยู่ในเมือง ลง Metro สถานี Chen Clan Academy เลย เก๋ๆมั้ยล่า ออกจากสถานีแล้วเดินไม่ไกลเลย
ค่าเข้าคนละ 10 หยวน ต้องแสดงพาสปอร์ตในตอนซื้อบัตรเข้าด้วยนะคะ
ตัวอาคารด้านนอก คือ เหมือนที่ดูในหนังจีนเลย สถาปัตยกรรมสวยงามในแบบจีน โดยเฉพาะหลังคาสวยงามวิจิตรมากๆค่ะ อาคารหน้ากว้าง แสดงถึงฐานะของคนในตระกูล จากประวัติทราบว่าสร้างเหมือนเป็นบ้านพักสำหรับลูกหลานในช่วงสอบจอหงวน สอบกฏหมาย ประมาณนั้น โอ้ย มันจะยิ่งใหญ่อลังการเกินไปจริงๆ ส่วนในปัจจุบันก็มีการอนุรักษ์ของเก่าดั้งเดิม และมีเสริมที่เป็นข้าวของ วัตถุโบราณของจากแหล่งอื่นมาให้ชมโดยจัดเป็นห้องแสดงที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น ห้องงาช้าง งามฝีมืออันละเอียด สลักเสลาสวยงาม งานผ้า งานหยกนั่นนี่
Canton Tower อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริป กับการพิชิตตึกสูงลำดับที่ 3 ของโลก (อาจมีการเปลี่ยนแปลง) และอันดับ 1 ของจีน มี 108 ชั้น ติดระดับโลกอีกสิ่งกับ Bubble Tram ชมวิว 360 องศา บนความสูง 460 เมตร
ค่าเข้าชม เราเลือกแบบ 298 หยวน สามารถเข้าชมวิว 3 จุด และขึ้น Bubble Tram ได้ด้วย ซึ่งเป็น Most Popular สำหรับการเข้าชมตึก ต้องแสดงพาสปอร์ตในการซื้อบัตรด้วยนะคะ
การเดินทาง สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาถึงสถานี Canton Tower หรือเดินทางทางบกบนถนน Yiyuan Lu
ระหว่างรอคิวขึ้นตึกก็มีจุดถ่ายภาพเพื่อตัดต่อกับวิวตึกนั่นนี่ ก็ถ่ายๆไป แล้วสามารถไปเลือกรูปที่ต้องการ มีค่าใช้จ่ายในการรับภาพกลับบ้าน หรือถ้าไม่ต้องการก็บอกผ่านได้เลยค่ะ
ลิฟท์ขึ้นตึกเป็นลิฟท์ทึบ มองไม่เห็นวิวด้านนอก ไปเซอร์ไพรส์กันด้านบนเลยนะคะ บนชั้นบนสุด ก็พบกับ Bubble Tram เป็นลูกทรงกลมสีส้มมีกระจกรอบและหมุนวนเป็นวงรอบ 360 องศา ต่อคิวกันยาวในการรอขึ้น เพื่อสัมผัสกับวิวเมืองกวางโจว แต่ช่วงที่เราไป PM2.5 ปกคลุม วิวก็ขมุกขมัวอยู่พอสมควร แต่ก็ตื่นตาตื่นใจ และแอบเสียวไส้ดี เพราะสูงมากๆ แต่ก็ปลอดภัยดีค่ะ
Bubble Tram เราไปกับเพื่อน 2 คน แจมกับคู่รักต่างชาติ 1 คู่ รวม 4 คน ก็ไม่อึดอัดดี ใช้เวลาวน 1 รอบอย่างช้าๆ แต่ใช้เวลากำลังดี (ลืมจับเวลา มัวแต่ตื่นเต้น)
ชั้นชมวิวด้านล่าง ก็มีจุดถ่ายภาพชมวิว และขายของที่ระลึกให้เลือกสรร แล้วยังมีพื้นยื่นที่เป็นกระจกล้อมรอบรวมถึงตรงพื้น หวาดเสียวมิใช่น้อย ก็ต่อคิวยาวกันเลย นี่ก็ถ่ายภาพและซื้อภาพจากทีมงาน แต่เราให้เค้าถ่ายกล้องส่วนตัวด้วยค่ะ
บัตรของเรายังขึ้นชมเทคโนโลยีการก่อสร้างตึก และประวัติการสร้างอะไรทำนองนั้นด้วยค่ะ
ดื่มด่ำกันเต็มที่ เพื่อนก็มาลืม เสื้อแจ็คเกตไปอีก ติดต่อตามหา และเช่นเคย สื่อสารกันยาก และไม่ได้คืนหรอกค่ะ สิริรวม นางทั้งกระเป๋าตังหายและสูญแจ็คเกตค่ะ
ปิดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับช่วงค่ำ ก็แวะ Shangxiajiu แหล่งละลายทรัพย์อีกแห่ง ร้านรวง ของขายเยอะมาก แต่รีบไป รีบกลับ เพื่อรับกระเป๋าเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับ
ท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนที่นำพาทริป ขอบคุณตัวเองที่ทะลายความกลัวในการท่องเที่ยวจีน เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ดี ขอบคุณประสบการณ์ทั้งดี และไม่ดี ในการที่ต้องครองสติเยอะๆทั้งของตัวเองและเพื่อนร่วมทริป
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ตามเที่ยวจนจบนะคะ ขอบคุณวงในสำหรับพื้นที่ดีๆในการแบ่งปันทุกเรื่องราวค่ะ
จนกว่าจะพบกันใหม่ในทริปหน้า ...สวัสดีค่ะ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ