18/01/2019
เราออกเดินทางจาก บขส.2 นครราชสีมาหรือบขส.ใหม่ ช่วงเย็นๆ รถขับมาตามทางเรื่อยจากโคราช แวะขอนแก่น แวะอุดร และถึงจุดหมายที่หนองคาย ประมาณ 23.00 น. เดินทางนานมาก เพราะรถติดตลอดเส้นทางเลย เราลงรถที่หน้าบิ๊กเจียงหรืออัศวรรณ (ชื่อใหม่) นั่งรถสามล้อเครื่องเข้าไปที่พัก หลังโรงพยาบาลหนองคาย ที่พักดีมาก ใกล้ตัวเมือง ติดริมโขง (มีรีวิวนะ) มาถึงก็เข้าที่พักและลงมาดูริมโขงยามกลางคืน ออกไปอะไรกินและซื้อของเข้ามาที่ห้อง จากนั้นก็ทำธุระส่วนตัวและพักผ่อน เก็บแรงเที่ยวพรุ่งนี้กัน
สวัสดีตอนเช้า 19/01/2019 ริมโขง บรรยากาศตอนเช้าดีมากๆเลย เริ่มต้นวันด้วยการเติมพลังที่ร้านอาหารเช้าพื้นเมืองชื่อดัง และอยู่ใกล้ที่พักด้วย เดินเลาะริมโขงนิดเดียวก็ถึงแล้ว
ทานมื้อเช้าเสร็จแล้วก็พร้อมลุยกัน วันแรกเราจะข้ามไปเวียงจันทร์ ซึ่งมาหนองคายบ่อย แต่ไม่เคยข้ามไปฝั่งลาวเลย ได้แค่ขึ้นไปบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว การเดินทางที่นี่คือรถสามล้อเครื่อง ขึ้นจากหน้าโรงพยาบาลหนองคาย ไปลงหน้าด่านสะพานมิตรภาพ
เดินเข้าจากด้านหน้า เพื่อเข้าไปอาคารตม. เราใช้พลาสปอร์ต จึงไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ หลังจากผ่านตม.ขาออกแล้ว จะมีคิวที่นั่งรอรถบัสข้ามสะพาน คนละ 20 บาท จากด่านตม.จว.หนองคาย มี่สะพานมิตรภาพ ไปลงที่ด่านตม.ท่านาแล้ง ไปถึงต้องกรอกเอกสารตม.เข้าประเทศ และแลกเงินได้ตรงนี้เลย มีหลายสถาบันการเงิน ผ่านจุดตรวจตม.ลาวแล้ว จะต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือค่าเหยียบแผ่นดิน คนละ 40 บาท
หลังจากผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เดินออกมาจะเห็นท่ารถจอดอยู่ทางด้านขวามือ เดินไปเลย จะเจอรถมินิบัสเข้านครหลวงเวียงจันทร์ ขึ้นไปนั่ง รอรถออก เป็นรถแอร์ สภาพดี คนละ8000กีบ
เตรียมเงินกีบไว้เลย เพราะถ้าจ่ายเป็นเงินไทย จะคิด40บาท ซึ่งแพงกว่า
นั่งรถหลับไป1ตืน ก็ถึงในตัวนครหลวงเวียงจันทร์ รถมินิบัสจะไปจอดที่บขส. การเดินทางที่นี้จะเหมือนหนองคายคือ สามล้อเครื่อง แต่เราสามารถนั่งรถมินิบัสเหมือนที่เรานั่งมาจากท่านาแล้ง แต่จะเป็นคนละสาย ต้องถามคนขับ หรือดูข้างรถ ขึ้นไปบนรถ จะมีผังเส้นทาง จุดรับ-ส่ง หรือป้ายรถ บอกอย่างละเอียด ถือว่าดีมากๆ แต่บอกเลยว่าหลง มาลงผิดที่หน้าวัดแห่งหนึ่ง
โดยวัดนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ได้สัมผัสศิลปะลาวล้านช้าง ก่อนจะเปิดmap หาทางเดินไปพระธาตุหลวงเวียงจันทร์ เราเดินเท้ามาเรื่อย ดูบ้านเมืองผ่านสถานที่สำคัญๆเยอะแยะเลย
เมื่อเดินมาอีกสักพัก จะเจอสวนอนุสรณ์สถาน War Deads Monument สะอาด ร่มรื่น เดินถัดเข้ามาจะเป็นสภาแห่งชาติ National Assembly มีลานสวนสนามใหญ่มาก
เราเดินลัดลานนี้มา จะเจอวัดธาตุหลวงเหนือ เข้าไปด้านข้าง มีถาวรวัตถุ ที่สวยงามใหญ่โต
เดินเข้าไปอีกนิดจะเป็น พระธาตุหลวงเวียงจันทร์ ซึ่งด้านหน้าจะมี อนุสาวรีย์สมเด็จพระไชยเชษฐา
ธิราชเจ้า(ໄຊເສດຖາ) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของลาว เป็นผู้นำอาณาจักรล้านช้างและสถาปนากรุงเวียงจันทน์ให้เป็นศูนย์กลาง
หลังจากไหว้และถ่ายรูปแล้ว ก็เข้าไปในพระธาตุหลวงเวียงจันทร์(ພຣະທາດຫລວງ) หรือพระเจดีย์โลกะจุฬามณี ซึ่งประดิษฐานพระอุรังคธาตุ ก่อนเข้าไปเราต้องเสียค่าเข้าชม คนละ 10000 กีบ บอกเลยว่า อลังการมาก สีทองสวย แดดส่องกระทบยิ่งว้าวมาก มองมุมไหนก็สวย ละสายตาไม่ได้เลย
มีพระธาตุเล็กล้อมอยู่บนฐานพระธาตุใหญ่ ชั้นที่สอง รองทั้งสี่ด้าน 30 องค์เรียกวา “สัมมติงสบารมี” มีหอไหว้อยู่ทั้งสี่ทิศ และรอบๆกำแพงมีโบราณวัตถุ อยู่มากมาย เช่น พระพุทธรูป เป็นต้น เราเดินออกจากองค์พระธาตุหลวง เดินมาอีกฝั่งจากทางที่เราเข้ามา จะเป็นวัดธาตุหลวงใต้ ในวัดมีถาวรวัตถุเยอะแยะ และที่สวยสุดๆคือพระนอน ซึ่งหันพระเศียร์ไปทางพระธาตุหลวง ศิลปะลาวล้านช้าง สีทองอร่าม เรานั่งพักตรงข้ามพระนอนอยู่สักพัก และออกทางประตูด้านหลังพระนอน เดินไปหน่อยจะเจอ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมโลกบาดาล ของพญาศรีสัตตนาคราช
ตอนนั้นคือหิวมาก เพราะบ่ายสองแล้ว เลยเดินหาไรกิน บรรยากาศรอบๆเงียบมาก หลายร้านก็ดูแบบปิดกิจการไปก็มี บางร้านก็หยุด เดินหาสักพัก มาเจอร้านคาเฟ่(ภัตตาคารและเบอเกอรี่) สีแดงๆ ที่นั่งมีเยอะ แอร์เย็นๆ เมนูอาหารก็จะคล้ายอาหารตามสั่งของไทย เราสั่งไป รอไม่นาน นั่งดูทีวีรายการคดีเด็ดของไทย อาหารมาเสิร์ฟ หน้าตาดูดี รสชาติดี บริการดี ห้องน้ำสะอาด ราคาก็แอบแพงไปนะ555
กินอิ่มแล้วก็ลุยกันต่อ จุดหมายของเราคือประตูไช แต่ระหว่างทางก็เดินดูบ้านเมืองเขาไป
เดินตรงมาสักพักใหญ่ ก็ถึงสถานที่ที่เราต้องการมา คือตอนนั่งรถเมล์ก็ผ่านนะ เป็นสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ใจกลางเมือง ผู้คนเยอะแยะ มีรถเข้าออกด้านหลังหรือมาจอดด้านข้างอย่างไม่ขาดสาย
ประตูไซ (ປະຕູໄຊ) สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนผู้ร่วมรบเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส
ปะตูไซ ถูกตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง นำสัตว์ในความเชื่อของศาสนาพุทธ เช่น พญานาค เป็นต้น และเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาตกแต่ง บริเวณโดยรอบมีลานแสดงน้ำพุประกอบดนตรีและสวนปะตูไซ เราสามารถขึ้นไปชมด้านบนได้ โดยการซื้อบัตรขึ้นชมคนละ 3000 กีบ ด้านบนจะมี 5 ขั้น เป็นแบบตลาดเลย มีรายขายของเยอะมาก ชั้นที่ 5 เสียวสุดๆ ทางขึ้นเป็นบันไดเวียน แคบๆเล็กๆต้องเดินเบียดกันขึ้น ซึ่งด้านบนสั่นมาก พอลงมา ถึงรู้ว่ามันยังสร้างไม่เสร็จ เราเดินมาถ่ายรูปและนั่งพักที่สวนก่อน
นั่งพักและถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็เดินออกมาทางด้านหน้าจะเห็นรถสามล้อเครื่อง (ตามรูปข้างบนเลย) เราเลยถามทางจะไปอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ และบขส. เขาก็ตอบมาว่า"ทางมันลอกแลก" พร้อมเสนอราคามาเลย 300 บาท เราก็ตกใจ และยืนงง มันแปลว่าอะไรว่ะ?! หันมาคุยกับเพื่อน แล้วถามเขาใหม่ว่ามันแปลว่าอะไร เขาก็ทำมือพร้อมบอกว่า ลอกแลกไง ก็เลยเดากัน คงคำเดียวกับซอกแซก คดเคี้ยวไรงี้ เลยปฏิเสธเขาไป เพราะแพงเกิน 😂 พอเปิดmapดู เดินไปอีกไม่ไกลเท่าไร แต่เมื่อยอะ555 เลยเดินไปพักไป ระหว่างทางจะมีสถานที่สำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษาเมื่อเดินตรงมาสุดทางจะพบกับทำเนียบประธานประเทศ เราเดินลอกแลกไปอีก ก็ถึงสักที ซึ่งจะเป็นสวนสาธารณะ มีคนลาวไปพักผ่อนอยู่พอสมควร
เจ้าอนุวงศ์ ສົມເດັຈພຣະເຈົ້າອະນຸວົງສ໌ พระมหากษัตริย์หรือเจ้ามหาชีวิตของลาว ที่คนลาวนับถือและยกย่อง เป็นวีรบุรุษ อนุสาวรีย์มีขนาดใหญ่มาก มีชาวลาวมาสักการะและถวายของสังเวยอยู่ตลอด เสร็จจากตรงนี้ เรารีบเดินกลับไปยังบขส.เวียงจันทร์ เพื่อขึ้นมินิบัสกลับด่านท่านาแล้ง น่าจะเป็นเที่ยวสุดท้ายของวัน เราถามเวลาขากลับไว้ตอนขึ้นมาเวียงจันทร์
เมื่อกลับมาถึงด่านท่านาแล้งแล้ว เรานำเงินกีบที่เหลือใช้ไปแลกเป็นเงินบาทไทย เดินออกจากตม.แล้วซื้อตั๋วรถขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มาถึงก็ผ่านตม.ขาเข้าที่ด่านหนองคายและเดินออกมาขึ้นรถสามล้อเครื่องกลับที่พัก อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ค่ำนี้เราจะไปเดินตลาดแคมของ ถนนคนเดินหนองคาย ตามด้วยมื้อเย็นริมแม่น้ำโขงบริเวณตลาดท่าเสด็จ
ออกจากที่พักเดินถนนริมโขง ผ่านหลังวัดหายโศก จะเจอถนนคนเดิน มีของคาวหวาน เครื่องดื่มเยอะแยะแต่ราคาถูก มีการแสดงดนตรี โคฟเวอร์ เปิดหมวก มีของotop ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น วางขายตลอดทางเดินริมโขง หมดช่วงถนนคนเดินก่อนถึงตลาดท่าเสด็จ แล้วจะเจอกับแพบนน้ำและร้านอาหารริมโขงเรียงรายไปจนลานวัฒนธรรม มื้อเย็นวันนี้ เราฝากท้องกับร้านประจำ ที่มาหนองคายต้องแวะกินทุกครั้ง
ครัวครูน้อง ตลาดท่าเสด็จหนองคาย ตำนานมากกว่า 40 ปี อาหารไทยอีสาน(หนองคาย-ลาว) ทีเด็ดของร้านนี้คือเมนูปลาจากแม่น้ำโขง สดหวานสะอาดไม่เหม็นคาว รสชาติอร่อย แซ่บนัว มีเมนู หมู ไก่ ปลา ทะเลด้วย บริการดี อาหารได้รวดเร็ว ใครมาหนองคายต้องลองนะ
ลานวัฒนธรรมริมโขงหนองคายจะอยู่บริเวณท่าน้ำวัดลำดวนซึ่งจะมีพญานาคคู่ อยู่ริมโขง และมีน้ำพุพร้อมแสงสี ช่วงที่เราไปนั้นมีกิจกรรมถนนเด็กเดินหนองคายพอดี มีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมและการขายสินค้าต่างๆ แล้วก็กลับมาที่พัก รีบนอนเพราะหมดแรง กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้มีแรงลุยเที่ยวต่อ
20/01/2019 สายแล้วรีบเช็คเอาท์ออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปที่ครัวคุณน้องเพื่อไปเอารถ ที่แม่น้องให้ยืมไว้ขับเที่ยวในหนองคาย ระหว่างทางนั้นก็แวะชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงและถ่ายรูปเล่น ที่ท่าเสด็จหน้าตลาดท่าเสด็จด้วย
เราเดินทางโดยใช้ถนนท่าบ่อ-สังคม ซึ่งจะขับลอดใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เนื่องจากเราตื่นสายจึงทำให้ไม่ได้กินมื้อเช้า เลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่อำเภอท่าบ่อ เติมพลังก่อนเที่ยว แล้วลุยกันต่อ เราขับไปตามทางเลาะริมโขงเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่มาเรื่อยๆ ตั้งใจไว้จะมาดู ว่าหินหมากเป้งคืออะไร
หินหมากเป้ง เป็นหิน 3 ก้อน ติดริมแม่น้ำโขง มีความหมายมีรายละเอียดอธิบายไว้ย่างชัดเจน และเป็นดินแดนธรรมะ ของหลวงปู่เทกส์ เทสรังสี หรือเจ้าคุณพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ มีความร่มรื่นร่มเย็น สงบ สมกับดินแดนธรรมะสองฝั่งโขง
ใช้เวลาในวัดหินหมากเป้งประมาณสองชั่วโมง เนื่องจากวัดมีขนาดใหญ่ โดยฝั่งหินหมากเป้งจะเป็นเสนาสนะต่างๆอีกฝั่งจะเป็นเกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์ เสร็จแล้วเรามุ่งหน้าไปยังอำเภอสังคม เพื่อไปยังถ้ำดินเพียง
วัดถ้ำดินเพียง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของหนองคาย ที่ยอดฮิตอีกแห่ง มีหลายรายการมาถ่ายทำ เป็นถ้ำพญานาค ความเชื่อว่าสามารถไปถึงใจกลางลำน้ำโขงหรือไปถึงประเทศลาว แต่เราไม่ได้เข้าไปนะเพราะคนตัวใหญ่คงเข้าไปยาก
ออกมาจากวัดถ้ำดินเพียงเราแวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เอาสะดวกอะ จากนั้นเราก็ขับรถไปต่อเส้นสังคม-ปากชม ขับไปเรื่อยๆจนเข้าเขตอำเภอปากชม แล้วกลับรถขับมาแวะชมวิวที่พันโขดแสนไคร้
พันโขดแสนไคร้ หรือแกรนด์แคนยอนกลางแม่น้ำโขง จากระดับน้ำโขงที่มีระดับต่ำ ทำให้โขดหินโผล่ขึ้น มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่นับพันโขด มีความสวยงามมาก ยิ่งตอนเห็นสายน้ำไหลผ่านรอยต่อของโขดหินแต่ละก้อน
เราจอดชมวิวสักพัก พอแดดเริ่มตก เวลาเย็น จึงขับรถขึ้นไปยังจุดไฮไลท์ของทริปนี้
วัดผาตากเสื้อ เป็นที่ตั้งของ สกายวอล์ค แห่งแรกของประเทศไทย ที่มองเห็นวิวแม่น้ำโขง ฝั่งลาว และพื้นที่อ.สังคม และในวัดมีเสนาสนะต่างๆที่น่าสนใจแะสวยงาม มีพระนอนองค์ใหญ่ที่หันพระพักต์สู่แม่น้ำโขง ต้องมาสักครั้งในชีวิตเพื่อสัมผัสบรรยากาศ ตอนขึ้นไปสกายวอล์คขาอาจจะสั่น ตื่นเต้น แต่มันคุ้มค่ามาก ทำให้อยากเดินไปอีก
เราอยู่ด้านบนวัดผาตากเสื้อสักพักใหญ่ๆ พอ 18:00 น. เป็นเวลาที่วัดจะปิด จึงขับรถกลับมาเข้าสู่เมืองหนองคาย เราขับรถมาคืนแม่น้องที่บริเวณตลาดท่าเสด็จ แล้วร่ำลา จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังบขส.หนองคาย หาอะไรรองท้องระหว่างรอรถออกตอน 20:30 น. ก็เป็นอันจบทริปลอกแลกสองฝั่งโขง เราได้สัมผัสพบเห็น สถาปัตยกรรม ศิลปะวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของสองฝั่งโขง โดยมีสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 1 เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ เห็นการไหลเวียนของผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยวนักธุรกิจ หรือพี่น้องที่ไปมาหาสู่กัน และทำให้เข้าใจคำว่าลอกแลก ที่หมายความว่า ซอกแซก คดเลี้ยวไม่ตรง เหมือนแม่น้ำโขง
ทริปนี้อาจจะทำให้รู้สึกว่าไปไม่ถึงหนองคาย เนื่องจากว่าไม่ได้ไปไหว้หลวงพ่อพระใส ที่วัดโพธิ์ชัย หรือไปศาลาแก้วกู่ที่มีนาคี แต่ก็หวังว่าจะเป็นทางเลือกและการแนะนำในการท่องเที่ยวให้ทุกคนนะครับ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ