เราเดินทางมาเกาหลีครั้งนี้ ช่วง 18 - 26 พ.ค. 60 ด้วยสายการบิน Thai Asia X บินดึก มาถึงบ่ายๆ เพราะเครื่องเสีย เราเลยต้องรอเปลี่ยนเครื่องลำใหม่ กว่าจะได้บินฟ้าก็สว่างพอดี มาถึงแล้วด่านแรก ก็คือ ตม. ซึ่งเราก็เจอแจ๊คพ็อต ถูกพาเข้าห้องเย็น แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ถึงอย่างนั้น กว่าจะมาถึงที่พักก็ค่ำแล้ว เราเลยไม่ได้ไปไหน อาบน้ำนอน เตรียมตัวเที่ยวเกาหลี (ที่รัก) กันค่ะ
เช้าวันแรกที่เกาหลี ตื่นสายหน่อย แต่จะสายแค่ไหน เราก็ต้องขอมาสถานที่แห่งนี้เป็นที่แรก คือการไปเปิดทริป ที่ “มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา” ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใครก็ต้องมา เปรียบเป็นจุดเช็คอินสำคัญของนักท่องเที่ยวทุกคน และระหว่างทางเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินมา มีร้านค้า ร้านอาหารเต็มสองข้างทาง เราเลยได้ลองชิมไก่ทอดราดซอสชนิดหนึ่ง หวานๆ กรอบๆ อร่อยมาก กินแล้วติดใจ เท่าๆ กับความชอบมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถึงไม่มีโอกาสจะมาเรียน แต่แค่ได้มาเห็นความอลังการ กว้างใหญ่ สวยงาม ของอาคาร จุดแลนด์มาร์คแห่งนี้แล้ว ก็พอใจแล้ว ถือว่าครั้งหนึ่ง “ฉันเคยมาที่นี้”
ต่อด้วยการมาเดินเล่น ดูวงโคฟเวอร์ (ให้ได้) ที่ย่าน "มหาวิทยาลัยฮงอิก" ที่อยู่ห่างจากที่แรก แค่หนึ่งสถานีรถไฟใจ้ดิน ย่านนี้จะมีผู้คนมากมายล้านแปด ส่วนมากก็จะเป็นนักศึกษา และพวกที่มาร้องรำทำเพลง เป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งบอยแบนด์ เกริล์กรุ๊ปเลือกดูได้ตั้งแต่เช้ายันดึก วงไหนมีวิชวลมากๆ คนก็จะมุงดูเยอะสุดๆ หากใครไม่อยากเบียด มุด แย่งพื้นที่ เพื่อดูหนุ่มๆ ก็ไปเดินช้อป แถวนั้นเอาก็ได้ เพราะมีร้านค้าเยอะมาก เลือกซื้อไม่ถูก ทั้งของกินอีกมากมาย ส่วนเราเน้นประหยัด ก็แค่เดินด้อมๆ มองๆ เป็นอาหารตาก็พอแล้ว
พอตกตอนเย็น เราไปหาของอร่อยกินกันที่ “เมียงดง” ตลาดสุดฮิตของคนไทย ถ้าไม่มานี่พลาดอย่างแรง ไปถึงก็เลือกแทบไม่ได้ อันโน่น นี่ ก็น่ากินไปหมด เลยลองซื้อมากินเล่นๆ เช่นต๊อกบกกี, ไอติมแท่งยาวที่ต้องรีบกินไม่อย่างนั้นจะละลาย อิ่มของหวานแล้ว แต่ของคาวยังไม่ตกถึงท้อง เดินหาร้านไปสักพัก ก็ไปเจอร้านหนึ่ง ที่ขายข้าวเป็นจาน แบบอิ่มเดียวจบ แต่ตักเครื่องเคียงกับน้ำซุปได้ตลอด ราคาพอจ่ายไหว เลยจิ้มไปเมนูหนึ่ง ที่ก็อร่อยจนกินหมดจาน อิ่มแปล้จนเดินกลับที่พักแทบไม่ไหวเลย แต่สุดท้ายก็ถึง กินอิ่ม นอนหลับ เตรียมเที่ยวต่อวันที่สอง
เช้าวันนี้ เรามีเพื่อนร่วมเที่ยวเป็นสาวมาเลเซีย ที่พักอยู่เกสท์เฮ้าส์เดียวกัน ทักทายกันนิดหน่อย พอรู้ว่าเราจะไปโซลทาวเวอร์ เธอก็ขอตามไปด้วย ตอนแรกตั้งใจจะใช้คูปองที่ได้ไปใช้ซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าชินเซเก เพื่อจะเอาใบเสร็จไปแลกใส่ชุดฮันบกฟรี แต่พอเห็นจำนวนคน และราคาสินค้าแล้ว พวกเราเลยถอย ยอมเสียเงินเช่าชุดเองดีกว่า จึงพากันออกจากห้าง เพื่อจะไปโซลทาวเวอร์ แต่จังหวะนั้น เราดันเจอนักแสดงหญิงคนหนึ่ง กำลังแจกลายเซนต์อยู่พอดี ด้วยความชอบมุง เราจึงแหวกชาวเกาหลีเข้าไป และพบว่านักแสดงคนนั้น ก็คือ “ซงจีโฮ” ที่เล่นซีรีส์เรื่อง Princess House นาทีนั้น แบบดีใจมาก ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริง นับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอดาราเกาหลีใกล้ๆ แบบนี้ ตัวจริงสวย แต่ผอมมาก ขาเล็กนิดเดียว
จากนั้น พวกเราก็พากันเดินจากห้างไปทางขึ้นสู่ “โซล ทาวเวอร์” ต่อแถวรอขึ้นลิฟท์แป๊บหนึ่ง เราก็ได้ขึ้นไปถึงที่นั่น แต่จากจุดลงลิฟท์ เราจะต้องเดิน (ซึ่งไกล ไม่ไหว) หรือจะขึ้นกระเช้า (ก็แพงอยู่) ทางเลือกสุดท้าย จึงคือการขึ้นรถเมล์ (ที่ไม่แพง แต่คนเยอะมาก) ในที่สุด พวกเราก็ไปจนถึงโซล ทาวเวอร์ จนได้ มาตอนกลางวัน แดดค่อนข้างร้อน ไปเดินๆ ถ่ายรูป ไม่ได้คล้องกุญแจเหมือนคนอื่น เอาแค่ได้มาเห็นบรรยากาศก็พอ เพราะที่นี่มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ค่อนข้างเยอะ ส่วนเราขอไปนั่งถ่ายตรงมุมยอดนิยม คือเก้าอี้เฉียง เท่านี้ก็เหมือนภารกิจสำเร็จลุล่วง นอกจากนั้น ถ้าใครอยากเก็บภาพมุมสูง เห็นโซลได้ทั่ว ก็จ่ายเงิน เพื่อขึ้นลิฟท์ความเร็วสูง ขึ้นไปบนนั้น ซึ่งก็จะได้ภาพที่สวยสมใจแน่ๆ แต่เราเน้นเซฟไว้ก่อน เลยไม่มีใครขึ้นไป ขอเดินเล่น ดูโน่นนี่ไปเรื่อยๆ ค่ำๆ หน่อย ก็พากันกลับลงมาตามทางเดิม ก่อนแยกย้ายกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพราะเราจะไปหาของกินที่เมียงดง ท้องอิ่ม ถึงจะนอนหลับได้จ้า
ตามแพลน วันนี้เราจะไปกันที่ “Trick eye museum” กันที่ย่านฮงอิค นั่งรถไฟใต้ดินไปไม่นาน ก็มาถึง ซึ่งอันนี้ ตอนวางแผนมาเที่ยวแรกๆ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะมา พอดีเล่นเกมส์จากเพจได้ตั๋วฟรีมาสองใบ เลยแทรกที่นี่เข้าไปในแพลนด้วย ไปถึงก็แจ้งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ เขาก็จะให้เราดาวน์โหลดแอพไว้ เพื่อเวลาเอามือถือไปสแกนตรงที่มีสัญลักษณ์แปะไว้ตรงภาพถ่ายต่างๆ มันก็จะเด้งเป็นภาพสามมิติขึ้นมา เข้าไปข้างในก็ไม่มีคนเลย ไม่รู้ว่าคนเกาหลี เขานิยมมาเที่ยวที่นี่หรือเปล่า ส่วนเรากับเพื่อน ก็เดินๆ หามุมถ่ายรูปที่ชอบ เอามือถือสแกนดูไปเรื่อยเปื่อย เจออันไหนที่แปลกๆ ตลกๆ ก็แชะกันจนพอใจ ก่อนจะกลับออกมา เพื่อไปจุดหมายต่อไป ซึ่งก็คือ “สวนฮานึล” ไปหน้าร้อนอยากรู้ว่าจะมีต้นหญ้าสีน้ำตาล ให้ถ่ายรูปสวยๆ บ้างหรือเปล่า?
เมื่อมาถึง "Haneal Park” เราก็นั่งรถรางจากทางเข้าขึ้นมาด้านบน มาถึงปุ๊บ ก็ต้องหาที่หลบแดดอย่างแรก เพราะไปกลางวันแบบนี้ แดดแรงมากจ้า แต่มาถึงแล้ว เราก็สู้ไม่ถอย เดินท้าแดดกันไป เพื่อหาจุดถ่ายรูป ทว่า หน้าร้อนต้นหญ้า ดอกหญ้า สีน้ำตาล อย่างที่เห็นคนอื่นเขาอัพรูปโชว์ แทบจะไม่มี มองไปทางไหน นอกจากแสงแดด ก็เป็นต้นไม้ใบเขียวมากกว่า เราเลยไปถ่ายรูปกันที่ “รังนก” สัญลักษณ์ของสวนแห่งนี้ จนบ่ายแก่ๆ ไม่รู้จะเดิน นั่ง ทางไหนกันแล้ว เลยชวนกันไปพระราชวังคยองบกกุง ไปใส่ชุดฮันบกถ่ายรูปสวยๆ แต่หารู้ไม่ว่า พระราชวังปิดตอนห้าโมงเย็น เพราะเจ้าของร้านเช่า บอกเรา นี่เลยเสียใจมาก เลยจะมาใหม่ในวันหลังแทน ยังไงเราต้องได้ใส่ชุดฮันบกจ้า
ออกจากสวนฮานึล เราก็นั่งรถไฟมาที่พระราชวังคยองบกอีกครั้ง เพราะเราจะอยากจะเริ่มเดินไปตามสถานที่ที่อยู่ละแวกวัง เลยต้องมาเริ่มต้นที่นี่ เริ่มจากเดินไปที่ “อนุสาวรีย์กษัตริย์เซจง” พระองค์ทรงเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรฮันกึล (ที่ใช้ในปัจจุบัน) รวมถึง ลูกโลกท้องฟ้า อุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝน และนาฬิกาแดด เดินเลยไปอีกนิดหนึ่ง ก็จะเจอกับ “อนุสาวรีย์แม่ทัพอีซุนชิน” ผู้บัญชากองทัพเรือของเกาหลี ในสมัยราชวงศ์โชซอน ซึ่งช่วงแดดร่ม ลมตก แบบนี้ ก็จะมีคนมาเดินเล่น นั่งเล่นบริเวณนี้กันเยอะมาก จากนั้นเราก็เดินกันไปต่อที่ “วัดโชเกซา” วัดแห่งนี้สงบร่มรื่น และสวยงามมาก มีการประดับโคมไฟทั่ววัดด้วย ตอนไปถึงเห็นมีกำลังสวดมนต์ ทำวัตรอยู่ เราเลยยืนไหว้พระจากด้านนอก พร้อมกับนั่งพักไปในตัว
ก่อนจะชวนกันเดินไป “คลองชองเกชอน” อีกหนึ่งจุดเช็คอินสำคัญ เมื่อมาเที่ยวเกาหลีใต้ เราไปถึงก็มืดแล้ว แต่ก็มีแสงไฟส่อสว่าง มานั่งพักขา ดูน้ำพุ ผู้คนเดินไป ก็เพลินตาไปอีกแบบ สถานที่แห่งนี้เป็นอีกแลนด์มาร์ค ที่ใครมาเกาหลี ก็ต้องไม่พลาดที่จะมา นอกจากจะมีความสวยแล้ว ยังเป็นที่พักผ่อนที่ดีอีกด้วย รับลมเย็น ให้พอมีแรงสดชื่นขึ้นนิด เราก็กลับที่พัก พักผ่อนเอาแรง ไว้เที่ยวพรุ่งนี้กันต่อจ้า
วันนี้ เราจะไปเดินสายกันที่ย่าน “K STAR ROAD” แถวอับกูจองย่านไฮโซของเกาหลี ระหว่างทางเดินสองฝั่ง จะมีร้านแบรนด์เนมเต็มไปหมด เราก็ได้แต่เดินดูห่างๆ ไม่ฝักใฝ่อยู่แล้ว เลยมุ่งหน้าไปที่ถนนสายไอดอลนี้แทน และก็ได้มาเห็นตุ๊กตาที่เป็นชื่อศิลปินดังๆ รวมถึงวงที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยเต็มไปหมด ซึ่งถ้าใครติดตาม K - POP มาตลอด ก็จะรู้ว่าถ้ามาเกาหลี ต้องมาเช็คอินถ่ายรูปที่ย่านนี้ให้ได้ ซึ่งเราก็ทำภารกิจนี้สำเร็จ ได้มาสมใจหวัง จุดมุ่งหมายต่อไป จึงคือการไปหาศิลปินที่บริษัท ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินเล่นๆ ไปไม่กี่นาที เราก็มาถึง แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอเมนบ้างหรือไม่? ถ้าเจอก็ดีใจสุดๆ แต่ถ้าไม่ ก็ถือว่าได้มาเห็นบริษัท ด้วยตาตัวเองแล้ว
“JYP” ค่ายเพลง ซึ่งยืนหนึ่งในใจเรา เพราะศิลปินที่ชอบอยู่ค่ายนี้ ทั้ง 2PM GOT7 และ TWICE ไปถึงแล้วก็จะเจอแฟนคลับมายืนรอ นั่งรอ ไอดอลกันหน้าบริษัทประมาณหนึ่ง บางกลุ่มก็จะเข้าไปรอในร้านขนมชื่อดัง สั่งของมากิน คั่นเวลาเล่น (แต่ก็นาน) เพราะเราไม่รู้ว่าจะเจอวงเมนเมื่อไร ส่วนเราว่างมาก ก็ต้องหาอะไรกินเช่นกัน รอจนแล้วจนเล่า ก็ไม่เจอสักคน คนที่เจอกลับเป็น “ปาร์คจินยอง” ประธานค่าย สรุป วันนั้นไปแต่เช้า รอจนบ่าย ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แต่แค่ได้มาถ่ายรูป ได้มาเห็นบริษัทของศิลปินที่ชอบด้วยตาตัวเอง สำหรับเรา แค่นี้ก็ที่สุดสำหรับคนเป็นติ่งแล้ว ไว้ครั้งหน้าค่อยเจอกันที่ไทยก็ได้
ก่อนหน้ากลับไทยหนึ่งวัน วันนี้เราก็ได้มาใส่ชุดฮันบกสมใจ เลือกชุดจากร้านเช่าใกล้ๆ วังในราคา 10,000 วอน / 2 ชั่วโมง แต่งตัวเสร็จ ก็มุ่งหน้ามายัง “พระราชวังคย็องบก” ถ้าใส่ชุดฮันบก ไม่ต้องเสียค่าเข้า แต่ถ้าไม่ใส่ก็จ่ายค่าเข้า 3,000 วอน เดินเตร่ ถ่ายรูป ดูทิวทัศน์ ซึ่งตอนเราไปมีนักท่องเที่ยวทั้งคนเกาหลีและต่างชาติ มากันเยอะมากๆ แม้แดดจะร้อนแค่ไหนก็ตาม และตอนบ่ายๆ ก็จะมีการผลัดเปลี่ยนทหารเวรยาม ที่ก็เรียกคนไปมุงดูเยอะมาก รวมทั้งเราด้วย จวบจนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง พวกเราก็กลับมาเปลี่ยนชุดที่ร้านเช่า เพื่อจะไปยังจุดหมายต่อไป
“หมู่บ้านบุกชน” อีกแลนด์มาร์ค ที่นักท่องเที่ยวไม่เคยพลาดที่จะมากัน ซึ่งจากพระราชวัง ใช้เวลาเดินมาไม่นาน แถมยังมีเจ้าหน้าที่แจกแผนที่ พร้อมคอยให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวด้วย พวกเราเดินไปอย่างไม่เร่งรีบ พักหนึ่งก็มาถึงหมู่บ้านยอดนิยมแห่งนี้ โดยมาที่นี่ก็เป็นอันรู้กันในวงกว้างว่า อย่าส่งเสียงดัง ซึ่งเราก็รักษากฎข้อนี้เป็นอย่างดี เพราะแค่ได้มาเห็นของจริง จากที่เคยเห็นแต่ในซีรีส์ มันก็เต็มอิ่มแล้ว และก็ยอมรับว่า บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านแห่งนี้ สวยงาม คลาสสิคแบบโบราณมากๆ มาครั้งหน้าคงจะต้องหาโรงแรมลักษณะแบบนี้ลองพักดูบ้าง เผื่อจะได้อินกับความเกาหลีมากกว่าเดิม เย็นๆ หน่อย เราก็ออกเดินทางอีกครั้ง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า ยังไงจะต้องไปถ่ายรูปสวยๆ ที่ DDP ให้ได้จ้า
ตอนค่ำหน่อย พวกเรากลับที่ “ดงแดมุน พลาซ่า” หรือ DDP กันอีกรอบ และเหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจ เพราะท้องฟ้าแจ่มใส ฝนไม่ตกสักนิด ทำให้เราได้เห็นดอกกุหลาบ LED ที่สวยงามในยามพลบค่ำเช่นนี้ ได้เดินถ่ายรูป ดูบรรยากาศ รอบๆ ที่จะมีผู้คนค่อนข้างหนาตา นอกจากจะมาดูกุหลาบแล้ว ส่วนหนึ่งก็เข้าไปช้อปปิ้งกันอยู่ที่ร้านค้า บริเวณนั้นด้วย นับว่าสถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ มีการออกแบบที่ล้ำสมัย เหมาะสมแล้วที่ไว้ใช้จัดงานโซล แฟชั่นวีค เป็นประจำทุกๆ ปี ได้เดินดูจนพอใจแล้ว จึงได้เวลากลับที่พัก ก่อนที่จะกลับไทยในวันมะรืนนี้
วันสุดท้าย ที่ได้ท่องเที่ยวในเกาหลี โปรแกรมของเราจึงไม่อัดแน่นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เพราะอยากเที่ยวแบบไม่ต้องรีบ เพื่อจะได้เดินหาซื้อของฝากกลับไทย ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงออกจากที่พักตอนสายมากแล้ว ก่อนจะไปหาของกินกันที่ตลาดเมียงดง หลังจากท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อน แต่ด้วยความอยากเดินดูของ เราจึงอดทนข่มตาอย่างมาก ตะลอนหาของฝากกันอย่างเต็มที่ บ่ายคล้อย ถึงได้หยุดพัก และตกลงกันว่าจะเอาของไปเก็บกัน พร้อมกับนอนพักผ่อนจากการกินจนอิ่ม (มากๆ) กันก่อน แต่นอนไปนอนมา ก็หลับยาวตื่นมาจนเกือบหนึ่งทุ่ม เลยรีบล้างหน้า ล้างตา แล้วก็ไปปิดท้ายทริปเกาหลีหน้าร้อนกันที่สะพานบันโพ
“สะพานบันโพ” (Banpo Bridge) เราเดินไปตามเส้นทางเดียวกับที่อ่านรีวิวมา ส่วนตัวรู้สึกว่าจากสถานีไปถึงที่แห่งนี้ ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นการได้ออกกำลังกายไปในตัว พอไปถึง อาการเสียเหงื่อจากการเดิน พอมาเจอลมเย็นๆ ที่พัดมาบริเวณสะพาน ก็ทำให้มีแรง สดชื่นขึ้นได้มาก ตอนที่เราไปถึง แม้จะมืดแล้ว แต่ก็มีผู้คนขวักไขว่ ส่วนมากก็จะเป็นวัยรุ่นที่มาปูเสื่อนั่งชิลกันเป็นกลุ่ม ไม่ก็เป็นคู่ๆ เพราะที่นี่จัดว่าเป็นสถานที่ที่โรแมนติกไม่ใช่น้อย นอกจากนี้ก็มีการแสดงน้ำพุประกอบแสงสีเสียงอีกด้วย ใครอยากมาชมความสวยงามแบบนี้ในวัน เวลา ไหน ก็เสริช์หารายละเอียดได้เลยใน Google นั่งดูจนตาใกล้ปิด และก่อนจะดึกกว่านี้ เราก็รีบกลับที่พัก เพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับไทยกันจ้า
มาเกาหลี สำหรับเรากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ เพราะหลักๆ แล้ว เราชอบอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ตลอดจนการเดินทาง ที่สะดวก และเข้าใจง่าย และยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้เราอยากกลับมาที่นี่ในครั้งต่อไป ถ้าไม่กังวลกับเรื่องของ ตม. มากไปนัก ก็อยากให้ลองมาเที่ยวเกาหลีสักครั้ง ไม่แน่ว่า ทุกสิ่งอย่างในประเทศนี้ จะทำให้เราอยากกลับมาที่เกาหลีอีกครั้งค่ะ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ