“เรามาทำอะไรที่นี่...”
นี่คือความคิดในหัวตลอดการเดินป่าไปจุดกางเต็นท์ ซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 7.9 กม. แค่เดินทางลาดปกติก็หอบจะแย่แล้ว ลองคิดดูว่าต้องเดินในป่าจะขนาดไหน ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวน้ำ ต้องปีนป่ายข้ามเขา 5 ลูก แต่เชื่อมั้ย เรากล้าพูดเต็มปากเลยว่า “ภูสอยดาว” เป็นที่เที่ยวอุตรดิตถ์ที่สวยและประทับใจที่สุดตั้งแต่เราเคยไปมา...โดยวิธีการเดินทางมาภูสอยดาวนี้มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งรถทัวร์และรถไฟ แต่ทางเราเลือกที่จะขับรถไป เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายกว่ามาก (มีเพื่อนหารก็ดีเงี้ย5555)

แต่เท่าที่อ่านเพิ่มมา ถ้านั่งรถทัวร์กับรถไฟจะต้องลงที่ตัวเมืองพิษณุโลก และต่อรถเข้ามาที่ อ.ชาติตระการ แล้วให้รถรับจ้างขับไปส่งที่อุทยาน ไม่ก็นั่งรถสองแถวต่อไป แต่จะมีปัญหาตอนขากลับ เพราะบางทีอาจลงมาไม่ทันรถสองแถว หรือไม่วันนั้นก็ไม่มีรถสองแถวอยู่เลย ดังนั้นเช็คข้อมูลให้ดีก่อนเริ่มเดินทางกันด้วยน้า


พอเรามาถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว สิ่งแรกที่ต้องทำคือติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่เชิงเขาก่อน เพื่อเช่าเต็นท์, จ้างลูกหาบ และที่สำคัญที่สุดคือการลงทะเบียนเพื่อเดินขึ้นภูสอยดาว (หลังจาก 4 โมงเย็น จะมีเจ้าหน้าที่เดินขึ้นไปจุดกางเต็นท์ เพื่อตรวจดูว่าไม่มีใครตกหล่นอยู่ระหว่างทางในตอนกลางคืน และทำการนับคนอีกครั้งที่จุดกางเต็นท์ว่าจำนวนคนตรงกับที่ลงทะเบียนมามั้ย จัดว่าปลอดภัยมากก!)
หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปขึ้นรถอีแต๋น เพื่อไปจุดเริ่มต้นเดินป่า ก่อนเริ่มออกเดิน แนะนำให้ทานอาหารและเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะระหว่างทางไม่มีร้านอาหาร ไม่มีห้องน้ำ และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใด ๆ ดังนั้นขนมและน้ำจึงสำคัญมาก ต้องพกน้ำกันคนละ 1 ขวดใหญ่เลยล่ะ (และอย่าลืมที่จะเก็บขยะติดตัวเสมอ ห้ามทิ้งไว้ระหว่างทางนะ!)

ทางเดินป่าเข้าใจง่ายมาก ไม่น่ากลัวเลย เพราะเจ้าหน้าที่ภูสอยดาวได้ทำการถางหญ้าทำทางไว้ให้อย่างดี ตอนแรกที่เริ่มเดิน ทางจะยังไม่ชัน เป็นทางลาดธรรมดา ยังเดินร้องเพลงกับเพื่อนได้ชิลล์ ๆ แต่ทางโหดของจริงอ่ะ อยู่หลังจากนั้นแหละ...

เดินมาได้ประมาณ 1 ชม. จะเริ่มพบเจอกับทางชัน เหมือนกำลังเดินขึ้นบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเดินเท่าไหร่ก็ไม่เจอทางลาดปกติสักที ตอนนั้นจะเริ่มพูดกับเพื่อนละ “หรือเราจะยอมแพ้แล้วกลับดี?” โชคดีที่ในกลุ่มยังมีคนใจสู้ เลยพอจะให้กำลังใจเดินต่อกันได้ 5555 โดยกว่าจะถึงยอดภูสอยดาว เราจะต้องผ่านเนินทั้งหมด 5 เนิน ต้องบอกว่าทั้ง 5 เนิน มีชื่อที่ดีมากกก เป็นชื่อที่เรียกขวัญและกำลังใจในการไปต่อมากกกก(ประชด) โดยชื่อจะมีตามนี้ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่ากอ เนินเสือโคร่ง แล้วก็เนินสุดท้าย "เนินมรณะ"
เนินสุดท้าย “เนินมรณะ” นี่ไม่ได้ชื่อมาแบบเล่น ๆ นะจ๊ะ เพราะของจริงคือ มรณะ จริง! เป็นเนินที่ชันมาก ชันจนต้องใช้มือช่วยปีนกันเลยทีเดียว แต่ก็เป็นเนินที่สู้ตายมาก เพราะจะได้ยินเสียงคนคุยกันไกล ๆ ที่ดังมาจากจุดกางเต็นท์ ทำให้มีแรงฮึดที่จะเดินต่อขึ้นอีกเยอะเลย

แต่ที่เนินสุดท้ายนี่แหละ ที่เราจะได้เจอกับวิวหลักร้อยล้าน วิวที่น้อยคนจะได้มาเห็น วิวที่ทำให้หายเหนื่อย และเป็นวิวที่ทำให้รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ บนโลกใบใหญ่ เป็นวิวที่ทำให้หายใจแบบสุดปอด แล้วหันไปพูดกับเพื่อนว่า... พวกเราโคตรโชคดีเลย ที่ตัดสินใจมาที่นี่ :)


เดินต่อจากเนินสุดท้ายมาได้ไม่นาน จะเริ่มเห็นลานต้นสนขนาดใหญ่ สถานที่ขึ้นชื่อของภูสอยดาว ถึงตอนนั้นนี่แทบจะวิ่ง เพราะหิวมากกก! อยากกางเต็นท์แล้วต้มมาม่ากินใจจะขาด ข้างบนนี้จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เพื่อให้เราเช่าเต็นท์ เช่าเตาแก๊ส เช่าเตาถ่าน ส่วนเรื่องไฟฟ้า จะมีถึงแค่ 2 ทุ่มเท่านั้น นอกนั้นคือมืดสนิทไปเลยจ้าาา

โดยทางอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ได้จัดทำห้องน้ำให้อย่างดี แยกชายและหญิง จะมี 2โซนคือโซนห้องน้ำสำหรับปลดทุกข์ และโซนสำหรับอาบน้ำ ส่วนเรื่องการทำอาหารด้านบน เราจะต้องเตรียมวัตถุดิบมาเอง เพราะด้านบนไม่มีอาหารให้บริการ มีแค่เครื่องครัวให้เช่าเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกหม้อ เตาต่าง ๆ แต่เราแอบเห็นบางเต็นท์เขาแบกหมูกระทะมาปิ้งกันเลยนะ 5555 สุดจริ๊งงง แต่ทางเราของ่ายไว้ก่อน พกมาม่ากับไข้ต้มจาก 7-11นี่แหละ สบายสุด ชิลล์สุด!

ใครจะมาที่นี่ แนะนำให้ลองดูปฎิทินดาวมาก่อนล่วงหน้า เพราะถ้าได้มาคืนเดือนดับจะได้เห็นทางช้างเผือกเลยแหละ ของจริงคือสวยมากกก! สวยสมชื่อ “ภูสอยดาว” เพราะมันใกล้จนเหมือนจะเอื้อมถึงเลย เหมือนมีคนเอากากเพชรไปโปรยไว้บนฟ้า เสียดายที่ถ่ายดาวไม่เป็น ได้แต่ขอความเห็นใจจากช่างภาพที่เขาไปล่าทางช้างเผือกกันให้ช่วยถ่าย (ได้มา 1 รูปแบบดาวจาง ๆ ของจริงสวยกว่านี้อีกจะบอกกก)

ไฮไลต์อีกอย่างของภูสอยดาวคือ ทุ่งดอกหงอนนาคบนลานสน เพราะถ้าเรามาช่วงหน้าฝน เราจะได้เจอกับดอกหงอนนาคจำนวนมาก ที่บานสะพรั่งเต็มลานกลางเต็นท์ เรียกว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นดอกไม้สีม่วงน่ารัก ๆ แบบนี้เต็มไปหมดเลยแหละ

และแล้วก็ถึงเวลาบอกบ๊ายบาย สานสนแห่งภูสอยดาวกันแล้ว โดยเราจะต้องใช้เส้นทางเดิมกับที่ขึ้นมา แต่คราวนี้จะใช้เวลาน้อยลง แถมเหนื่อยน้อยลงด้วย เนื่องจากเป็นทางเดินลงซะส่วนใหญ่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินด้วยนะ เพราะเราทุกคนได้แผลกลับมากันทั้งนั้น (ฝนมันตก ทางเลยเป็นโคลนลื่น ๆ ล้มลุกคลุกคลานกันมาตลอดทาง)

ทริปเที่ยวอุตรดิตถ์นี้ เป็นทริปที่ทั้งเหนื่อยและสนุก เพราะได้ใช้เวลากับเพื่อนร่วมทาง 100% จริง ๆ ช่วยกันตั้งแต่เดินป่า ยันกางเต็นท์ ไปถึงการจุดเตาเพื่อต้มมาม่า ต้องทำแผลให้กันเพราะลงเขาแล้วลื่น เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในกรุงเทพฯ ได้เจอวิวภูเขาแบบสุดลูกหูลูกตา ได้เจอกับมิตรภาพข้างเต็นท์ ที่แบ่งขนมให้กิน เข้ามาช่วยจุดเตา แถมยังช่วยสอนวิธีการถ่ายดาวให้อีกต่างหาก ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องบอกว่าเราเชียร์แค่ไหนให้ไปที่นี่ อาจจะไม่ต้องไปเร็ว ๆ นี้ แต่อยากให้เก็บที่เที่ยวอุตรดิตถ์แห่งนี้ไว้เป็น 1 ในลิสต์ ที่ต้องไปให้ได้ก่อนตาย เพราะมันสวยและคุ้มค่าต่อการไปมากจริงๆ :) ไปเหอะ ภูสอยดาวมันดีจริง ๆ นะ ถ้าใครอยากหาที่กินอุตรดิตถ์เพิ่มก็ไปดูกันได้ที่ 10 ร้านอาหารในอุตรดิตถ์ แล้วยังมีที่เที่ยวอีกเพียบในเพจ Wongnai Travel อย่าลืมตามไปดูกันนะคะ
สรุปค่าใช้จ่าย

ข้อแนะนำเพิ่มเติม





