พักก่อน หยุดคิดไปเอง วิจัยเผย! เฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจเสมอไป
  1. พักก่อน หยุดคิดไปเอง วิจัยเผย! เฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจเสมอไป

พักก่อน หยุดคิดไปเอง วิจัยเผย! เฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจเสมอไป

หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าการที่ทำตัวเฟรนลี่ หรือแค่การยิ้มให้ หมายความว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณว่ามีใจ แต่วิจัยเผย! เฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจ ควรหยุดคิดไปเอง
writerProfile
11 ม.ค. 2022 · โดย

ไลฟ์โค้ชหลาย ๆ คน เกี่ยวกับด้านความรัก มักจะบอกว่าการที่อีกฝ่ายยิ้มให้ เอาใจใส่ สบตาเวลาพูดบ่อย ๆ ถือเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีใจ หรือรู้สึกพิเศษต่ออีกฝ่าย แม้แต่การตั้งกระทู้ถามทั่วไปก็มักจะมีคำถามเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างแค่เฟรนลี่หรือแอบชอบบ่อย ๆ ว่าควรจะแยกยังไง เราคิดไปเองหรือเปล่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายมีใจให้เราจริง ๆ แต่พอไปถามอีกฝ่ายตรง ๆ ว่าคิดอะไรเกินเลยหรือเปล่า กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่แบบที่คิดและอาจจะทำให้ความสัมพันธ์มีปัญหาได้ แถมยังโดนมองว่าเป็นคนขี้กั๊ก ปากไม่ตรงกับใจ หรือเจ้าชู้อีก วิจัยเผย! เฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจ และอาจจะหมายถึงไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ 

พักก่อน หยุดคิดไปเอง วิจัยเผย! นิสัยเฟรนลี่ไม่เท่ากับมีใจเสมอไป

เฟรนลี่หรือมีใจ แค่เฟรนลี่หรือแอบชอบ

มีงานวิจัยหลากหลาย ชี้ให้เห็นว่าผู้ชายมักคิดไปเองและชอบคิดว่าผู้หญิงมีใจให้ และผู้ชายมักจะประเมินค่าความสนใจทางเพศของฝ่ายหญิงสูงเกินไป ต่างจากผู้หญิงที่ประเมินค่าความสนใจของผู้ชายที่เข้าหาต่ำเกินกว่าความเป็นจริง นักวิจัยพบความแตกต่างทางเพศเกี่ยวกับความเข้าใจผิดนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และเหตุผลหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าผู้ชายจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหากพลาดโอกาสที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่รักหรือสนใจ แต่สำหรับผู้หญิงจะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่ไม่ผูกมัดมากกว่า และความคิดแบบนี้เกี่ยวข้องกับอคติทางเพศอื่น ๆ อีกด้วย

การวิจัยโดยแอนโธนี่ เจ ลีแห่งมหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง ได้มีการคัดเลือกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชาย 586 คนและนักเรียนหญิง 640 คนสำหรับการทดลองนี้ โดยแต่ละกลุ่มจะได้เจอผู้ชาย 3-4 คน และผู้หญิง 3-4 คน ก่อนที่จะทำการออกเดท นาน 3 นาทีกับสมาชิกเพศตรงข้าม ก่อนเดทและหลังเดท จะให้ทำแบบประเมินความน่าดึงดูดใจของตัวเอง ให้คะแนนความสนใจทางเพศที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม และการรับรู้ถึงความสนใจทางเพศของฝ่ายตรงข้ามที่มีต่อตัวเอง ในตอนท้ายของเซสชั่น จะมีการกรอกแบบสอบถามที่ประเมินรสนิยมทางเพศของแต่ละคน และขอบเขตในการทดลองนี้ คือการเต็มใจที่จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ผูกมัด ข้อมูลจากการโต้ตอบทั้งหมด 3,850 ครั้ง และจากการวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระดับความสนใจทางเพศของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ยังห่างไกลจากความเป็นจริง และสอดคล้องกับการศึกษาเกี่ยวกับความสนใจทางเพศที่มากเกินไปก่อนหน้านี้

จากผลวิจัยโดยรวมแล้ว ผู้ชายจะประเมินความสนใจของอีกฝ่ายมากเกินไป ในขณะที่ผู้หญิงไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ว่ากำลังโดนสนใจอยู่ นักวิจัยบางกลุ่มมองว่าเหตุการณ์นี้ อาจจะเป็นแค่การสะท้อนถึงแนวคิดส่วนตัวที่บุคคลนั้น คิดว่าคนอื่นคิดแบบเดียวกันกับตัวเอง หากการตีความนี้ถูกต้อง ผู้ชายก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากกว่าผู้หญิง และในการรับรู้อย่างไม่ถูกต้องของผู้ชายเกี่ยวกับความสนใจทางเพศของผู้หญิงอาจเป็นปัจจัยในการล่วงละเมิดทางเพศ ความก้าวร้าวทางเพศ หรือการบีบบังคับอีกด้วย

แนวโน้มของผู้ชายที่จะประเมินค่าความสนใจทางเพศของผู้หญิงสูงเกินไปอาจเกิดจากผู้ชายให้ความสำคัญกับสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้หญิงที่ใช้ในการส่งสัญญาณความสนใจทางเพศ อย่างการสบตา การกระพริบตา ท่าทางที่เปิดกว้าง และการยิ้ม แต่ผู้ชายจะใช้กลยุทธ์ที่เปิดเผยกว่า เช่น การเข้าไปพูดคุย แต่ก่อนจะเริ่มเข้าไปพูดคุยนั้น ก็มักจะรอสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นจากผู้หญิงก่อน ที่ผู้หญิงใช้สัญญาณทางเพศที่ละเอียดอ่อนกว่าเพราะอาจต้องการหลีกเลี่ยงการโดนว่า การประนามจากสังคมว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน หรือต้องการเวลาในการประเมินคุณภาพของผู้ชายที่จะเข้ามาทำความรู้จักด้วย

ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงอาจประเมินความสนใจของตนเองในผู้ชายต่ำเกินไป เนื่องจากความกังวลเรื่องมาตรฐานและความเท่าเทียมทางเพศ จากการทดลองอื่น ผู้ชายที่ได้รับการฝึกฝนให้เพิกเฉยต่อสัญญาณต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า (อย่างการแต่งตัวด้วยชุดสีแดง) และความดึงดูดใจทางกายภาพอื่น ๆ เน้นที่การสังเกตุการแสดงออกทางอารมณ์ของผู้หญิงแทน มักจะรับรู้ความสนใจทางเพศของผู้หญิงในการทดลองได้แม่นยำมากกว่า และในการทดลองนี้มีประโยชน์มากโดยเฉพาะสำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะล่วงละเมิดทางเพศแก่ผู้หญิง

บางครั้งแค่การที่ผู้หญิงยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร ผู้ชายก็มักจะตีความว่าเป็นสัญญาณว่ามีใจ กลับกันที่ผู้หญิงเห็นรอยยิ้มของผู้ชายเป็นแค่การให้กำลังใจ ในการออกเดทและการมีความสัมพันธ์ เรามักพยายามคิดว่าคน ๆ หนึ่งมีความรู้สึกโรแมนติกกับเราหรือไม่ การพยายามอ่านความคิดและความรู้สึกของใครบางคนในลักษณะนี้ มักจะทำให้เกิดความผิดพลาด เนื่องจากอคติส่วนตัว และอาจะทำให้เข้าใจผิดถึงความสนใจของฝ่ายตรงข้าม หรือพลาดสัญญาณที่บ่งบอกว่าชอบจริง ๆ

เพื่อความชัดเจน และให้มีความแม่นยำมากขึ้นในการตีความว่าฝ่ายตรงข้ามชอบหรือไม่ชอบเรา ควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายมากขึ้น เลิกอคติ ให้ความสำคัญกับความคิดและความรู้สึกส่วนตัวน้อยลง การสังเกตุพฤติกรรมของอีกฝ่าย เช่น การสัมผัสอื่น ๆ ที่มากกว่าการสัมผัสธรรมดา การพูดคุยหยอกล้อเกี่ยวกับเรื่องเพศ การลงทุนในความสัมพันธ์ การให้การสนับสนุน และภูมิใจในความสัมพันธ์ที่มีเราอยู่ด้วย ถ้าอีกฝ่ายมีใจให้ ก็มักจะตอบแทนความขอบคุณสำหรับการลงทุนนั้นเช่นกัน โดยการเอาใจใส่ และตอบสนองความต้องการให้อีกฝ่ายแบบที่ไม่ต้องร้องขอแบบชัดเจนจน ทำให้ "รู้" มากขึ้น และ ทำให้ "สงสัย" น้อยลง ว่าเขาชอบเราจริง ๆ หรือเปล่า

Reference :

Anthony J. Lee. 2020. "Sex Differences in Misperceptions of Sexual Interest Can Be Explained by Sociosexual Orientation and Men Projecting Their Own Interest Onto Women" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://journals.sagepub.com/doi/abs/10.1177/0956797619900315 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565

Madeleine A. Fugère Ph.D. 2018. "Why Men Tend to Overestimate Women's Romantic Interest" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.psychologytoday.com/us/blog/dating-and-mating/201804/why-men-tend-overestimate-womens-romantic-interest สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565

Beth Ellwood. 2020. "Study offers new psychological explanation for men’s tendency to overestimate women’s romantic interest" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.psypost.org/2020/06/study-offers-new-psychological-explanation-for-mens-tendency-to-overestimate-womens-romantic-interest-57167 สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565

Jeremy Nicholson M.S.W., Ph.D. 2016. "4 Ways to Tell Whether Someone Is Into You" [Online] เข้าถึงได้จาก : https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-attraction-doctor/201603/4-ways-tell-whether-someone-is-you สืบค้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565   

การที่ส่งสัญญาณโดยการยิ้มให้ ก็ไม่ได้แปลว่ารู้สึกชอบเสมอไป และการที่มีนิสัยเฟรนลี่ ก็อาจจะทำให้คนคิดไปเอง และรู้สึกสับสนได้ว่าแค่เฟรนลี่หรือแอบชอบ ไม่ว่าจะทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็สามารถตีความการกระทำของฝ่ายตรงข้ามแบบผิด ๆ เพราะอคติของตัวเองได้ ถ้าอยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเรา แนะนำว่าถามไปตรง ๆ ดีกว่า และถ้าอีกฝ่ายบอกว่าไม่ชอบ ก็แค่เลิกเซ้าซี้ หมดยุคตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลกแล้วค่ะ ยุคนี้คือยุคแห่งการเคารพสิทธิของคนอื่น และเอาใจใส่ความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม ถ้าคุกคาม หรือล้ำเส้นเกินไป จากที่เฉย ๆ อาจจะกลายเป็นเกลียดจนมองหน้าไม่ติดแทนก็ได้

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ