ใครว่าทำงานให้ได้งานต้องเข้าออฟฟิศอย่างเดียว ขอบอกเลยว่าไม่จริง ! ชวนสาว ๆ ชาวออฟฟิศหนีโรค COVID-19 มานั่งทำงานที่บ้านด้วยแอปพลิเคชันดี ๆ ใช้ได้จริง ที่มนุษย์ยุค 4.0 ไม่ควรพลาด อยากทำงานที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะต้องใช้แรงใจและความตั้งใจแบบสุด ๆ แล้ว อาจต้องหันมาเพิ่งแอปฯ ทำงาน กันบ้างนะจ๊ะ งานจะได้ลื่นไม่มีสะดุด ส่วนจะมีแอปฯอะไรบ้างนั้น เราแบ่งเป็นหมวด ๆ มาให้พร้อม ครอบคลุมทุกการทำงาน ไปดูกันจ้า

คุยแชตกลุ่ม/ส่งข้อความ
แน่นอนว่าเราต้องมีการสนทนากันบ่อยยิ่งขึ้น ในการ Work From Home แบบนี้จะขาดแอปสนทนากับเพื่อนร่วมงานไปไม่ได้เลยค่ะ บางคนอาจจะมีแอปที่ใช้ประจำอยู่แล้วแต่อยากเปลี่ยนให้ดีขึ้นก็ได้เหมือนกันนะ
Workplace
เป็นแอปที่หน้าตาคล้าย Facebook เลยค่ะ แต่ทำมาเพื่อใช้ในการทำงานโดยเฉพาะ แอปนี้สามารถตั้งโพสต์เพื่อขอความคิดเห็นจากทีมได้ หรือแชตกันในกลุ่มได้ มีได้หลายกลุ่มเลยด้วยนะคะ อาจจะแบ่งย่อยเป็นกลุ่มบริษัท กลุ่มของชั้น กลุ่มของทีม ของแผนก เป็นต้น
Facebook Messenger
สำหรับทีมที่มีกรุ๊ปเฟซบุ๊กไว้คุยกันอยู่แล้ว เราเชื่อว่าคงใช้ Facebook Messenger ในการทำงานเป็นปกติอยู่แล้ว ในช่วงเวลาที่ต้อง Work From Home แบบนี้ก็บอกเลยค่ะว่ายังเหมาะมาก ๆ และสามารถช่วยให้คุยงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องห่วงแชตหายหรือสมัครอะไรเพิ่มให้วุ่นวายเลย
LINE
LINE เป็นอีกหนึ่งโซเชียลมีเดียที่หลายออฟฟิศนิยมใช้ในการทำงาน ในการ Work from Home แบบนี้ LINE มีข้อดีคือรวดเร็ว เพราะเป็นแอปที่ทุกคนคุ้นเคย ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่มาก แต่ข้อเสียของมันก็คือหลายคนอาจจะไม่ชอบที่มันอยู่ปะปนกับแชตส่วนตัว แต่ถ้าเกิดมือถือมีปัญหา ข้อมูลในแชตอาจหายไปได้ค่ะ
เป็นโซเชียลมีเดียที่คล้ายคลึงกับ LINE เลยค่ะ คือเน้นการแชตไปเลย แต่สำหรับออฟฟิศที่มีเพื่อนร่วมงานเป็นชาวต่างชาติก็จะสะดวกมากกว่าเพราะว่า WhatsApp เป็นแอปที่นิยมในหมู่ชาวตะวันตก ดังนั้นในการ Work From Home แบบนี้ก็อาจจะใช้ WhatsApp เป็นช่องทางการสนทนาก็ได้นะคะ
Discord
โดยปกติแล้วแอป Discord จะเป็นที่นิยมในหมู่เกมเมอร์ แต่ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการ Work From Home ได้ค่ะ สามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชันบน Desktop และแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถคุยกันด้วยเสียง อัปโหลดไฟล์เสียงลงไปได้ค่ะ ทำให้ในการทำงาน จะลองใช้แอปนี้ก็ใช้ง่ายและเท่ดีเหมือนกัน
ประชุมทางไกล
หลายบริษัทที่ Work From Home จะมีกำหนดให้ประชุมกันทุกเช้า ทำให้ต้องมีแอปมารองรับการประชุมทางไกล โดยแอปที่คนทำงานนิยมใช้กันในช่วงนี้ มีดังนี้ค่ะ
Zoom
Zoom เป็นแอปประชุมทางไกลที่มีข้อดีคือเราสามารถมองเห็นหน้าของทุกคนในตอนประชุมได้พร้อม ๆ กัน สามารถเข้าร่วมกลุ่มประชุมได้สูงสุดถึง 100 คน (ในเวอร์ชั่นที่ใช้ฟรี) และสามารถคุยกันได้ต่อเนื่อง 40 นาทีค่ะ มีฟังก์ชันแชตและแชร์หน้าจอขึ้นที่ประชุมด้วยนะคะ
Hangouts Meet
เป็นโปรแกรมประชุมทางไกลจาก Google ดังนั้นบริษัทไหนที่ผูกอีเมลไว้กับ Goolgle อยู่แล้วเราจะยิ่งแนะนำเลยค่ะเพราะจะสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นไปอีก สามารถเชิญคนเข้าประชุมง่าย ๆ ด้วยการแชร์ลิงก์ ทำตารางนัดหมายได้ และถ้าหากว่าคุยกันเป็นภาษาอังกฤษจะมีฟังก์ชันเปิดแคปชั่นแบบเรียลไทม์ ขึ้นเป็นคล้าย ๆ ซับไตเติ้ลให้ด้วยค่ะ
Microsoft Teams
เป็นแอปสำหรับ Work From Home ที่ค่อนข้างจะครบถ้วนทั้งในการประชุมทางไกลสูงสุด 250 คน คุยแชต แชร์ไฟล์ต่าง ๆ รวมไปถึงการคุยส่วนตัวค่ะ ออฟฟิศไหนที่ปกติใช้โปรแกรมของ Microsoft อยู่แล้ว น่าจะพอคุ้นเคยกับหน้าตาของโปรแกรม เราก็ขอแนะนำเลยค่ะ
Slack
มาต่อกันที่อีกหนึ่งแอปที่เป็นที่นิยมในการใช้คุยงานมาตั้งแต่เทรนด์ Work From Home ยังไม่มา นั่นก็คือ Slack ค่ะ แอป Slack นั้นสามารถใช้คุยแชตกลุ่มรวมไปถึงคุยวิดิโอทางไกลได้ แต่จะเหมาะกับกลุ่มเล็ก ๆ ไม่เกิน 15 คนค่ะ มากกว่านั้นจะมีการเก็บค่าใช้จ่าย ออฟฟิศไหนที่ปกติใช้ Slack คุยแชตหรือแชร์งานกันอยู่แล้วก็สามารถใช้คุยวิดิโอต่อได้เลยยย
Skype
อีกหนึ่งแอปที่หลายคนอาจจะหลงลืมกันไปว่าสามารถใช้คุย VDO Call ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Skype เป็นอีกหนึ่งแอปที่เหมาะแก่การใช้ Work From Home ค่ะ โดยที่เราสามารถคุยแชตกันได้ และประชุมทางไกลแบบเห็นหน้ากันได้ด้วย เหมาะกับออฟฟิศที่มีไม่เกิน 50 คนค่ะ
โอนย้าย/รวบรวมข้อมูล
ระบบ Cloud ก็เป็นอีกหนึ่งความสำคัญในการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home ค่ะ เพราะการที่ไม่ได้อยู่กับคอมพิวเตอร์ของออฟฟิศอาจทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลบางอย่าง หรือแชร์ข้อมูลกันยากขึ้น ไปดูกันเลยว่ามีแอปไหนช่วยเราแชร์ข้อมูลได้บ้าง
Google Drive
แน่นอนว่านาทีนี้แอปในตระกูล Google มาแรงมาก ๆ Google Drive เป็นแอปที่สามารถแชร์ข้อมูลร่วมกันหลาย ๆ คนได้ เพียงแค่ใส่อีเมลของเพื่อนร่วมงานหรือแชร์ลิงก์ไปให้ค่ะ มีพื้นที่ว่างให้ใช้ฟรี ๆ Account ละ 15 GB ใครที่ปกติบริษัทใช้อีเมลผูกกับ Google ก็ยิ่งง่ายเลยยย
Dropbox
อีกหนึ่งแอปแชร์และโอนย้ายข้อมูลที่หลายคนนิยมติดตั้งลงไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตัวเองเลยค่ะ โดยพื้นฐาน Dropbox เปิดให้เก็บไฟล์ไว้ได้ 2 GB ใครที่ไม่ได้ต้องการแชร์ข้อมูลอะไรเยอะมาก เราขอแนะนำช่องทางนี้นะคะ เพราะปลอดภัยและง่ายในการเชื่อมข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับคอมพิวเตอร์ค่ะ
iCloud
สำหรับชาว Apple ที่ทำงานที่บ้านจะต้องหลงรักแอปแชร์ข้อมูลนี้อย่างแน่นอนค่ะ ออฟฟิศไหนที่ใช้อุปกรณ์ของ Apple ทั้งหมด จะยิ่งส่งเสริมให้ใช้ iCloud ได้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงแห่งการ Work From Home แบบนี้ค่ะ เพราะเราสามารถนำข้อมูลของคอมออฟฟิศลงใน iCloud ได้อย่างรวดเร็ว และเปิดผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ แถมค่าบริการก็ถูกแสนถูก 50 GB ในราคาเดือนละ 35 บาทเท่านั้นค่ะ
ไม่ต้องดาวน์โหลด เพราะมีอยู่ในอุปกรณ์ Apple อยู่แล้ว
OneDrive
OneDrive เป็นหนึ่งในแอปแชร์และโอนย้ายข้อมูลที่เป็นที่นิยมในหมู่คนทำงานค่ะ ฟังก์ชันจะคล้ายคลึงกับ Google Drive ค่ะ โดยเริ่มต้นจะมีพื้นที่ฟรีให้ 5 GB ใช้ได้ดีใน PC ที่มี Window 10 ขึ้นไป สามารถใช้งานออฟไลน์ได้ และถ้าหากว่าซื้อพื้นที่ 1 TB สามารถใช้งาน Office 365 ได้แบบฟรี ๆ เลยยย ใครที่ใช้ PC Work From Home ก็จัดไปค่า
รับ-ส่งเอกสาร
ในการทำงานแม้จะเป็นการ Work From Home แต่บางคนอาจจะยังต้องมีการยืนเอกสาร ส่งของที่จำเป็นกันอยู่ เราจึงควรมีแอปส่งเอกสารติดกันเอาไว้สักแอปค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีแอปไหนน่าใช้กันบ้าง
Grab
บริการ Grab Express เป็นบริการรับ-ส่งของโดยเมสเซนเจอร์ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์แบบที่นิยมกันจะคิดราคาเริ่มต้นที่ 40 บาทค่ะ กิโลเมตรถัดไป 7-15 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง ข้อดีคือมีโปรโมชั่นเยอะ สั่งตัดบัตรได้รวดเร็ว ถ้าใครมีไว้สั่งอาหารหรือเรียกรถอยู่แล้วก็ไม่ต้องโหลดแอปใหม่ให้เสียเวลา
Get
แอปที่จำเป็นต่อการส่งเอกสารในช่วง Work From Home แอปต่อมาก็คือ Get ค่ะ นอกจากมีบริการวินมอเตอร์ไซค์ สั่งอาหารแล้วก็สามารถส่งของได้ด้วยบริการ Get Delivery มีส่วนลดอยู่บ่อย ๆ และสามารถผูกบัญชีธนาคารไว้เพื่อเติมเงินลงในบัญชีให้จ่ายได้ง่ายขึ้นค่ะ
LINE MAN
มาต่อกันที่อีกหนึ่งบริการส่งของยอดฮิตอย่าง LINE MAN ค่ะ โดยราคาเริ่มต้นของบริการส่งของ LINE MAN คือ 48 บาท คิดราคากิโลเมตรละ 7.5 บาท ฟังก์ชันเพิ่มเติมคือเค้าสามารถตั้งค่าให้รับ-ส่งของแบบไป-กลับได้ ไม่ต้องเสียเวลาเรียกรถหลายรอบ และประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกค่ะ
Lalamove
แอปสำหรับคนทำงานที่บ้านไว้ใช้ส่งของโดยเฉพาะ มีตั้งแต่ส่งของเล็ก ๆ ไปจนถึงของชิ้นใหญ่เลยค่ะ โดย Lalamove เค้าเคลมว่าถ้าส่งของกับเค้า ทั้งรวดเร็ว ส่งของถึงในชั่วโมงเดียว ปลอดภัย และสั่งได้ตามใจ ราคาเริ่มต้นแค่ 48 บาท และกิโลเมตรละ 7.2 บาทค่ะ โดยสามารถเพิ่มฟังก์ชันเก็บเงินปลายทาง ไป-กลับ ฝากส่งไปรษณีย์ได้ แต่ก็มีค่าบริการเพิ่มเติมนะคะ
แชร์หน้าจอ/พรีเซนท์งาน
สำหรับในการประชุมระหว่าง Work from Home ที่อาจต้องมีการพีเซนท์งานหรือโชว์งานให้ดู คงขาดฟังก์ชัน Screen Sharing ไม่ได้เลย ไปดูกันว่าเค้านิยมใช้แอปไหนกันบ้างงง
Webex
Webex เป็นแอปทำงาน Work From Home ที่เหมาะกับการประชุมที่ต้องการแชร์หน้าจอขึ้นที่ประชุมค่ะ สามารถมีผู้ร่วมประชุมได้ถึง 100 คน (ในแพลนที่ไม่มีค่าใช้จ่าย) รวมทั้งสามารถแชร์ไฟล์ต่าง ๆ ไว้ในที่ประชุมได้ 1 GB ฟรี
Lark
ต่อมาเป็นอีกหนึ่งแอปทำงานที่บ้านที่ช่วยให้สามารถแชร์หน้าจอขึ้นที่ประชุมได้ Lark นั่นเองค่ะ โดยแอปนี้สามารถแชร์เอกสารได้ทั้งตอนที่อยู่ในคอมพิวเตอร์และในการประชุมบนสมาร์ทโฟนค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถเปิดให้คนในที่ประชุมสามารถ Take Over เข้าถึงไฟล์นั้นได้ในขณะประชุมได้ค่ะ
join.me
เป็นอีกแอปที่เราสามารถใช้พรีเซนท์งานในช่วง Work from Home แบบนี้ได้ค่ะ โดย join.me เป็นแอปประชุมทางไกลที่เปิดโอกาสให้คนทำงานได้พรีเซนต์เอกสารได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสไลด์ รูปภาพ กระดานจด โดยสามารถใช้ให้กับทีมงานคนอื่นได้ร่วมแชร์ไอเดียลงไปบนไฟล์ที่เรากำลังนำเสนอได้ด้วยค่ะ ทำได้ทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน
Zoom
เป็นแอปที่พูดถึงไปแล้วว่าเหมาะกับการประชุมงานทางไกล โดยสามารถแชร์หน้าจอให้คนในที่ประชุมได้ค่ะ เพียงแค่กดปุ่ม Screen Share ก็สามารถยิงหน้าจอทำงานของเราขึ้นให้ทีมดูได้เลย แต่จะไม่สามารถให้ทีมกดแก้ไขหรือเพิ่มเติมไฟล์ได้ค่ะ
นัดหมาย/วางแผนงาน
มาต่อในหมวดที่สำคัญสำหรับการ Work From Home ค่ะ ในการทำงานกันเป็นทีม แน่นอนว่าต้องมีการวางแผนงานให้ดี และเมื่อไม่ได้เจอกันที่ออฟฟิศแบบนี้ก็ควรจะมีตัวช่วยเอาไ้ช่วยตั้งเด้ดไลน์งาน หรือลงรายละเอียดและมอบหมายงานให้ทีมค่ะ
Trello
เป็นแอปที่เหมาะกับการ Work From Home เพราะสามารถช่วยดูแลในด้าน Project Management ได้ดีค่ะ โดยสามารถวาง Deadline วางแผนงานที่จะทำ โดยสามารถทำเป็น Personal Board และ Group Board เพื่อเอามาแชร์กันได้ค่ะ
Asana
เป็นอีกหนึ่งแอปที่ช่วยจัดการงานทั้งเดี่ยวและเป็นทีมได้ดีในช่วง Work Form Home เพราะสามารถสร้าง To do list, Task ทั้งแบบกว้างสำหรับทีม และในรายละเอียดยิบย่อย โดยสามารถโยนไฟล์เอกสารลงไปในแอปประกอบการวางแผนได้เลย นอกจากนี้สามารถคอมเมนต์งาน รับ Feedback จากทีมได้เลยในแอปนี้ค่ะ
Apple Calendar
สำหรับที่คนออฟฟิศใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของ Apple เราขอแนะนำให้ใช้ Apple Calendar สำหรับเป็นตารางนัดหมายงานไปเลยค่ะ นั่นเพราะเราสามารถรวมทุกตารางนัดหมายในชีวิตของเราให้จบอยู่ที่แอปนี้เพียงแอปเดียวได้เลย สามารถใส่เวลา สถานที่ได้ครบถ้วน แถมจุดเด่นอีกอย่างของ Apple ก็คือสามารถเปิดในอุปกรณ์ไหนของตัวเองก็ได้
ไม่ต้องดาวน์โหลด เพราะมีอยู่ในอุปกรณ์ Apple อยู่แล้ว
Google Calendar
แต่สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์ของ Apple อีกหนึ่งแอปสำหรับนัดหมายงานที่มีประสิทธิภาพก็คือ Google Calendar ค่ะ อีเมลของใครผูกติดกับ Gmail ก็จะยิ่งง่ายกว่าเดิมไปอีก โดยเราสามารถยิงคิวไปยังเพื่อนร่วมงานได้เลย มีการแจ้งเตือนทั้งทางอีเมลและทางแอปปฏิทินค่ะ
แอปอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแอปที่สามารถช่วยให้การทำงานที่บ้านของเราเป็นไปได้อย่างมีคุณภาพค่ะ เช่น
Calm
เป็นแอปที่เอาไว้สร้างสมาธิ ทำ Meditation โดยหลัก ๆ แอปจะมีเสียงเพลงต่าง ๆ ให้เปิดไประหว่างทำงาน นอกจากนี้ยังมี Tips ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสมาธิและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย
Google Suite อื่น ๆ
ในการทำงาน Work From Home เราสามารถใช้แอปอื่น ๆ ในเครือเดียวกับ Google Suite มาช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแม้จะอยู่ที่บ้าน เช่น Google Doc, Google Sheet, Google Slide เป็นต้น
Signnow
ในการทำงานที่บ้าน หลายคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการส่งเอกสารไปให้เซ็น เราสามารถประหยัดเวลาได้ด้วยการใช้แอปเซ็นต์เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดระยะเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการนำส่งเอกสารค่ะ แอปที่เราแนะนำคือ Signnow ช่วยให้สามารถส่งลายเซ็นต์ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย
** แนะนำให้เช็กเรื่องความปลอดภัยให้ดีนะคะ มิเช่นนั้นลายเซ็นของเราอาจไปอยู่บนเอกสารที่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นได้ค่ะ **
สาว ๆ สามารถเลือกแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ทำงานได้ดี และเหมาะกับเพื่อนร่วมงานทุกคนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังนะคะ Wongnai Beauty หวังว่าสาว ๆ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยแอปเหล่านี้ แล้วก็อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ^^
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่