หลายคนอาจจะยังสงสัยตั้งแต่กดอ่านบทความแล้วว่ามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) หรือนาฬิกาชีวิตคือ สิ่งที่บอกเวลาในร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ล้วนมีนาฬิกาชีวิตในแบบของตัวเอง เริ่มตั้งแต่เวลาตื่นยันเข้านอน เวลากินอาหาร เวลาขับถ่าย เหล่านี้เรามักจะทำเหมือนเดิมซ้ำ ๆ แทบทุกวัน บางคนตื่นเวลาเดิมจนไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกไปแล้วด้วยซ้ำ ก็เพราะนาฬิกาตัวนี้ของเรานั่นเอง แล้วเคล็ดลับสุขภาพดีที่มาจากการจัดตารางชีวิตตามศาสตร์จีนคืออะไรกันล่ะ?!
นาฬิกาชีวิต เคล็ดลับหย่างเซิงสุขภาพ (中医十二时辰养生秘诀) ศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีนเชื่อว่า ธรรมชาติและมนุษย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายของเราจะปรับเปลี่ยนตามปี วัน เวลา ฤดู นั่นก็เพราะร่างกายของคนเราจะมีเส้นลมปราณหลายเส้น ในแต่ละเส้นจะมีชื่อและคุณสมบัติเฉพาะ รวมถึงมีจังหวะเวลาที่แน่นอน ถ้าเลือดและลมปราณเหล่านี้ไหลเวียนไม่ดี ก็อาจจะเกิดโรคขึ้นได้ด้วยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้การจัดตารางเวลาชีวิตเพื่อดูแลสุขภาพกันดีกว่า
เวลาและตารางชีวิตประจำวัน vs อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
อย่างที่บอกเลยค่ะว่าแนวความคิดตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน จะแบ่งเวลาใน 1 วัน ออกเป็น 12 ชั่วยาม โดยที่ 1 ชั่วยาม จะเท่ากับ 2 ชั่วโมง ดังนั้น หมอจีนจึงแนะนำให้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามนาฬิกาชีวิต และถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนประเทศ สลับ Time Zone จากกลางคืนเป็นกลางวันก็ไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะร่างกายเราฉลาด ปรับตัวตามแสงอาทิตย์และความมืดได้อยู่แล้ว หรือคนที่ต้องทำงานเป็นกะ นอนไม่เป็นเวลาตามนี้ก็ไม่ต้องกังวลเช่นเดียวกัน เพราะสามารถสลับโหมดได้ ขอแค่พยายามล็อกเวลาให้ใกล้เคียงเดิมทุกวัน เพียงเท่านี้ร่างกายของเราก็จะปรับตัวจนเกิดสมดุลไม่ป่วยง่ายแล้วละค่ะ

มารู้จักเวลาที่อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดฉบับย่อพอให้เห็นภาพรวมกันก่อนดีกว่า ว่าใน 1 วันจะมีอวัยวะไหนทำงานช่วงเวลาไหนกันบ้าง ก่อนที่เราจะไปลงลึกรายละเอียดกันอีกครั้ง...
- 01:00-03:00 น. - เวลาของตับ ต้องหลับให้สนิท
- 03:00-05:00 น. - เวลาของปอด หลับให้ลึกและตื่นให้เช้า
- 05:00-07:00 น. - เวลาของลำไส้ใหญ่ ดื่มน้ำอุ่นช่วยขับถ่ายอุจจาระ
- 07:00-09:00 น. - เวลาของกระเพาะอาหาร ห้ามลืมกินอาหารเช้า
- 09:00-11:00 น. - เวลาของม้าม ทำกิจกรรม ห้ามกลับไปนอน
- 11.00-13.00 น. - เวลาของหัวใจ นอนพักกลางวันสักงีบ
- 13:00-15:00 น. - เวลาของลำไส้เล็ก เวลาย่อยและการดูดซึม
- 15:00-17:00 น. - เวลาของกระเพาะปัสสาวะ ดื่มน้ำช่วยขับปัสสาวะ
- 17:00-19:00 น. - เวลาของไต หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม
- 19:00-21:00 น. - เวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ อารมณ์ดีมีสมาธิ
- 21:00-23:00 น. - เวลาของพลังงานรวม ทำร่างกายให้อบอุ่น
- 23:00-01.00 น. - เวลาของถุงน้ำดี ต้องเข้านอน
ตื่นตอนไหนผิวจะสวย หน้าใสขึ้น

ยามโฉ่ว (丑时) 01:00-03:00 น. เวลาของตับ
ช่วงเวลานี้เพื่อน ๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้สนิท เพราะเป็นเวลาที่เส้นลมปราณของตับจะทำหน้าที่ นั่นก็คือตับจะกำจัดสารพิษในร่างกาย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยการนำมาสังเคราะห์และเก็บสะสมไว้ในรูปไกลโคเจน และสร้างน้ำดีมาเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี โดยเวลา 02:00 น. ร่างกายเราจะมีเมลาโทนินสูงสุด ถ้าช่วงนี้เรายังไม่นอน ตับจะทำงานไม่เต็มที่ ของเสียไม่ถูกกำจัด คนที่โต้รุ่งบ่อย ๆ เลยตื่นมาหน้าหมอง ราศีไม่จับ อารมณ์ร้อน โกรธง่าย และเสี่ยงเป็นโรคตับได้
ข้อห้าม : เวลานี้ไม่ควรกินเด็ดขาด เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้นด้วยการช่วยหลั่งน้ำย่อย และไม่ได้ขจัดสารพิษ ทำให้มีพิษตกค้างในร่างกาย ยิ่งถ้าใครกินแอลกอฮอล์หนัก ๆ ด้วยแล้ว เวลานี้จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตับเป็นอย่างมาก เลี่ยงได้เลี่ยงนะเพื่อน ๆ
ยามอิ่น (寅时) 03:00-05:00 น. เวลาของปอด
"ยามอิ่นหลับลึก ปอดเปิดรับพลังบริสุทธิ์" เพราะเป็นช่วงเวลาที่เส้นลมปราณของปอดทำหน้าที่ ใครตื่นไหวช่วงตี 4-5 เนี่ยดีมากเลย เพราะการปรับการตื่นนอนมาในช่วงนี้ มาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ร่างกายได้รับออกซิเจนได้เต็มที่ เพราะปอดจะทำงานอย่างเต็มที่ ผิวจะสวย หน้าใสขึ้น ส่วนตับจะเก็บกักเลือด สลายเซลล์เม็ดเลือดแดง แล้วนำเลือดใหม่ส่งไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เหตุนี้แหละที่ผิวเราจะดูสดใส มีเลือดฝาด รู้สึกสดชื่น แจ่มใส และกระปรี้กระเปร่าเมื่อตื่นนอนนั่นเองจ้า
Noted : นอกจากนี้ช่วงตี 4-5 ควรทำตัวให้อบอุ่น เพราะเป็นช่วงที่อุณหภูมิของร่างกาย ความดัน การเต้นของชีพจร และการหายใจจะลดต่ำลงมากที่สุด เพราะเลือดจะไปเลี้ยงสมองได้น้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบที่จะเกิดหอบกำเริบได้ง่าย ฉะนั้นต้องดูแลสุขภาพกันให้ดีด้วยน้า
กินข้าวเช้าตอนไหนกระเพาะอาหารจะแข็งแรง

ยามเหม่า (卯时) 05:00-07:00 น. เวลาของลำไส้ใหญ่
หมอจีนแนะนำว่าควรฝึกการขับถ่ายอุจจาระให้เป็นนิสัย เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย พยายามดื่มน้ำอุ่นสักแก้วจะช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ถ้ายังไม่ตื่นนอนในเวลานี้จะทำให้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด และเกิดสารพิษสะสมในร่างกาย ปอดและลำไส้ใหญ่มีความสัมพันธ์กัน ถ้าพลังปอดดี ก็จะขับถ่ายได้ปกติด้วย หมายความว่าเวลาตี 5 นี้เราควรตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว ชาวจีนเชื่อว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ประตูฟ้าเปิด พระอาทิตย์กำลังขึ้น และประตูดินเปิด ซึ่งหมายถึงทวารหนักนั่นเอง ลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย รับกากอาหาร ดูดซึมน้ำและถ่ายอุจจาระ มีการหลั่งสารคอร์ติซอล เพื่อช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้น และถ้าหากลำไส้ใหญ่มีการเคลื่อนตัวดี การขับถ่ายของเราก็จะดีตามไปด้วย
ยามเฉิน (辰时) 07:00-09:00 น. เวลาของกระเพาะอาหาร
เป็นเวลาที่เส้นลมปราณของกระเพาะอาหารทำหน้าที่ ควรกินอาหารมื้อเช้าในช่วงเวลานี้เพื่อให้ร่างกายมีพลังงาน และช่วยให้ “กระเพาะอาหาร” แข็งแรง อาหารในมื้อเช้านับว่าเป็นมื้อที่สำคัญเป็นอย่างมากเพราะเป็นมื้อแห่งการเติมพลังงานให้กับสมองและหัวใจให้สามารถไปสูบฉีดเลือดให้ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ตลอดทั้งวัน ถึงแม้บางคนจะอดอาหารเพื่อลดความอ้วน แต่ก็ควรศึกษาอย่างดี และไม่ควรทำติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือถ้าจะให้ดีเลี่ยงไปอดตอนกลางคืนแทนได้ยิ่งดี Msora-Kasago นักโภชนาการจากสถาบัน The Academy of Nutrition and Dietetics อธิบายว่าการทำ IF ไม่จำเป็นต้องงดอาหารเช้า แต่การไปอดช่วงหัวค่ำจนถึงเช้าแทน เราจะได้รับประโยชน์จากการอดอาหาร 12 ชั่วโมงในขณะที่เติมพลังให้ร่างกายและจิตใจด้วยสารอาหารที่สำคัญในมื้อเช้าอีกด้วย
ผ่อนคลายตอนไหน ตอนไหนห้ามเครียด!

ยามซื่อ (巳时) 09:00-11:00 น. เวลาของม้าม
ฝืนใจ อย่ากลับไปนอนเชียว เพราะช่วงเวลานี้ “ม้าม” จะทำงานได้ดี ซึ่งหน้าที่ของม้ามคือควบคุมไขมัน สร้างน้ำเหลือง ควบคุมกระแสโลหิต ควบคุมการย่อย การดูดซึม และทำหน้าที่กระจายสารอาหารและน้ำไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยม้ามยังมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย กำจัดเม็ดเลือดแดงที่เสื่อมสภาพ โดยช่วงนี้ให้ขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ หากิจกรรมทำ ใครจะ Self-Study หรือทำงานสำคัญ ๆ ช่วงนี้ก็ดีเริ่ด แต่ถ้าเอาเวลานี้ไปนอนซะหมด อ้วนขึ้น ภูมิคุ้มกันบกพร่องไป จะหาว่าไม่บอกไม่ได้น้า
ยามอู่ (午时) 11.00-13.00 น. เวลาของหัวใจ
ห้ามเครียด ห้ามตกใจ เป็นช่วงที่ “หัวใจ” ต้องทำงานหนัก ถ้าใครทำงานเครียด ต้องผ่อนคลายอารมณ์ลงก่อน ช่วงนี้จะนอนพักกลางวันสักงีบก็ดีนะ เพราะเป็นเวลาที่อินหยางสลับเวรกันทำหน้าที่ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การบำรุงอินและหยางด้วยการนอน การนอนพักประมาณ 15-30 นาทีนี้ก็เพื่อบำรุงหัวใจ ให้ร่างกายและสมองได้พัก และเพื่อความสมดุลของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นพร้อมมีแรงทำงานหรือทำเรื่องสำคัญ ๆ ต่อในช่วงบ่าย
ออกกำลังกายตอนไหนดี ให้เหงื่อออกและสุขภาพดี

ยามเว่ย (未时) 13:00-15:00 น. เวลาของลำไส้เล็ก
เป็นเวลาที่เส้นลมปราณของลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและน้ำ หรือก็คือการดูดซึมวิตามินและโปรตีนมาสร้างเซลล์สมอง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แล้วจึงอาศัยม้ามส่งไปยังหัวใจและปอดเพื่อเลี้ยงร่างกาย และกากอาหารจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่ โดยน้ำจะดูดซึมและขับออกไปที่กระเพาะปัสสาวะ ช่วงนี้ไม่ควรกินอะไร เพื่อให้ “ลำไส้เล็ก” ทำงานได้เต็มที่ ใครกินข้าวเที่ยงเลทมาเยอะ ลองปรับใหม่น้า คราวหน้าห้ามกินเกินบ่ายโมง!
ยามเซิน (申时) 15:00-17:00 น. เวลาของกระเพาะปัสสาวะ
เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการดื่มน้ำและขับถ่ายปัสสาวะ ใครที่ไม่รู้จะออกกำลังกายช่วงไหนดี ช่วงนี้เลยค่ะดีสุด เพราะขับของเสียออกได้ง่าย แถมยังเป็นช่วงที่หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อในร่างกายมีความแข็งแรงมากที่สุดอีกด้วยนะ เวลาการทำงานของ “กระเพาะปัสสาวะ” เนี่ยจะทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด
Noted : อย่าลืมดื่มน้ำและเกลือแร่ให้เพียงพอในช่วงที่ออกกำลังกายกันด้วยนะทุกคน เพราะถ้าเหงื่อออกมากเกินไปและโซเดียมออกมาเยอะมีโอกาสเสี่ยงไตวายได้ และถ้าโพแทสเซียมออกมามากเกินไปอาจทำให้หัวใจวายได้ ฉะนั้นออกกำลังกายแต่พอดี ไม่หักโหมจนเกินไปด้วยล่ะ
อาบน้ำ นั่งสมาธิ เล่นเกม ฟังเพลงตอนไหนดี ?

ยามโหย่ว (酉时) 17:00-19:00 น. เวลาของไต
หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เพราะเป็นเวลาที่เส้นลมปราณของไตทำหน้าที่ ใครง่วงช่วงนี้ อาจเพราะไตทำงานไม่ดี จริง ๆ แล้วอาจเป็นผลพวงมาจากการที่เราไม่ดูแลลำไส้เล็ก กินอาหารกลางวันช้า ทำให้ดูดซึมไม่ดี กลายเป็นภาระไตที่ต้องมาทำงานหนัก คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไตจะเป็นหวัดง่าย แถมยังปวดหลัง มีเสลดในคอ อีกข้อที่อยากให้ทำเลยคือให้หมั่นดูแลตัวเองด้วยการอาบน้ำเย็นในตอนเช้า และอาบน้ำอุ่นในตอนเย็นก็มีส่วนช่วยปรับสมดุลในร่างกายได้ ถ้าใครอาบน้ำไม่ได้ก็ให้ใช้วิธีแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นแทน จะช่วยปรับลมปราณของไตที่เสื่อมให้ดีขึ้น
ยามซวี (戌时) 19:00-21:00 น. เวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
ยามซวีต้องอารมณ์ดี เพราะเป็นเวลาที่เส้นลมปราณของเยื่อหุ้มหัวใจและเส้นประสาทสมองจะทำงานได้ดีที่สุด หลังอาหารเย็นจึงควรทำอะไรเบา ๆ ไม่ควรกินจนอิ่มเกินไป เราควรรักษาอารมณ์ของเราให้ดีอยู่เสมอเพื่อเป็นการผ่อนคลาย แถมการฝึกสมาธิ ฟังเพลงเบา ๆ ทำกิจกรรมเบา ๆ ผ่อนคลายอารมณ์ จะช่วยป้องกันโรคหัวใจโต หัวใจรั่วได้ด้วย
นอนเวลาไหนดีสุด ให้อารมณ์ดี สุขภาพดี ผิวสวยครบ!

ยามไฮ่ (亥时) 21:00-23:00 น. เวลาของพลังงานรวม
ทำร่างกายให้อบอุ่น นอนพักผ่อน เพราะเป็นเวลาที่เส้นลมปราณของซานเจียวทำหน้าที่ แถมยังเป็นช่วงแก้ตัวสำหรับคนเลิกงานดึกไม่ได้อาบน้ำในช่วง 17:00-19:00 น. ช่วงเวลานี้ให้อาบน้ำอุ่นเพื่อรักษาพลังงานรวมและบอกร่างกายว่าพร้อมจะนอนแล้ว (บางศาสตร์ก็ว่าไม่ควรอาบน้ำเลยด้วยซ้ำ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายปรับสมดุลความร้อนและเป็นช่วงที่อุณหภูมิในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง) แล้วก็อย่าไปยืนตากลมนาน ๆ ด้วยละ
ยามจื่อ (子时) 23:00-01.00 น. เวลาของถุงน้ำดี
ต้องเข้านอน ไม่ว่าจะมีงานเยอะแค่ไหน ต้องวางลงก่อน แล้วตรงดิ่งไปที่เตียงทันที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ถุงน้ำดีเก็บน้ำดีที่ได้จากตับ และส่งน้ำดีมาช่วยย่อยไขมันที่ลำไส้เล็ก ถ้าไม่เข้านอน และขาดน้ำมาก ๆ ถุงน้ำดีจะข้น ส่งผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกและจามในตอนเช้าได้ โดยทฤษฎีของศาสตร์การแพทย์แผนจีนนั้นเชื่อว่า ถุงน้ำดีจะทำหน้าที่ในการตัดสินใจ ในช่วงของ "ยามจื่อ" ไขกระดูกจะเริ่มต้นสร้างเลือด และซ่อมแซมร่างกาย อวัยวะทั้งหมดภายในร่างกายจำเป็นจะต้องพึ่งพาการทำงานของถุงน้ำดี ดังนั้น ยามจื่อจึงเป็นเวลาที่เราควรจะนอนหลับ ถ้าหากเราไม่สามารถเข้านอนก่อนยามจื่อได้ ก็จะทำให้ไฟที่ถุงมีน้ำดีย้อนกลับขึ้นมาด้านบน (胆火上逆) ก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ คิดมาก กังวล และเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็จะรู้สึกง่วงหงาวหาวนอน งัวเงีย มึนงง ไม่แจ่มใส ใต้ตาก็จะมีสีดำ คล้ำ และถ้าอดนอนเป็นเวลานาน ๆ ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้เช่นกัน
รู้ยังงี้แล้วเรามาปรับจัดตารางชีวิตกันใหม่ให้ตรงตามนาฬิกาชีวิตของร่างกายเรากันดีกว่า เข้าใจแหละว่าช่วงเริ่มต้นอาจจะยาก แถมไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่แบบเรา ๆ ก็ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร แต่ศาสตร์โบร่ำโบราณเขาได้แอบบอกเคล็ดลับสุขภาพดี อายุยืน ผิวสวยมาให้คนรุ่นใหม่ไว้แล้วแบบนี้ จะลองเชื่อและทำตามดูหน่อยก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลยค่ะเพื่อน ๆ ถ้าทำแล้วไม่ดี ไม่เวิร์ค กลับไปใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์แบบเดิมก็ยังได้ แต่ถ้าทำแล้วสุขภาพดีขึ้น ความจำดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นยังงี้ก็น่าลองดูใช่ไหมล่ะ!
มาดูแลสุขภาพกันต่อด้วยบทความดี ๆ ที่เราเลือกมาให้เพื่อน ๆ แล้ว...