ดวงตา...ไม่เป็นแค่หน้าต่างของหัวใจ แต่เป็น "กระจกใส" ที่สะท้อนสุขภาพทั้งตัว
สวัสดีค่ะสาว ๆ ดวงตาของเราถือเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการสร้างเสน่ห์และความน่าดึงดูดใจ ใคร ๆ ก็อยากมีดวงตาที่สวยใสเป็นประกาย แต่นอกจากความงามภายนอกแล้ว ดวงตาของเรายังเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อนและสามารถเผย "ความลับด้านสุขภาพ" ภายในร่างกายได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วที่สุดด้วยค่ะ
ในทางการแพทย์ ดวงตาสามารถให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาท และการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ตับและไต การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของ "สี" บริเวณต่าง ๆ ของดวงตา ไม่ว่าจะเป็นสีของตาขาว ขอบตา หรือแม้กระทั่งความขุ่นของตาดำ จึงเป็นสัญญาณเตือนที่เราไม่ควรละเลยค่ะ
การเรียนรู้ที่จะสังเกต 8 สีดวงตาบอกโรค เหล่านี้ จะทำให้คุณเป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเองได้อย่างชาญฉลาด เพราะการรู้ก่อนป้องกันก่อน จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพได้ทันท่วงที ก่อนที่อาการจะลุกลามจนส่งผลกระทบต่อวิสัยทัศน์และความสวยใสของเราค่ะ
วันนี้ Wongnai Beauty จะมาเป็นเพื่อนสาวที่ช่วยคุณส่องกระจกดูดวงตาแบบเจาะลึก พร้อมถอดรหัสว่าสีที่เปลี่ยนไปเหล่านี้กำลังเตือนเราเรื่องโรคอะไรอยู่ และมีทริคเด็ด ๆ ในการดูแลดวงตาให้กลับมาสวยใสและแข็งแรงได้อย่างไรบ้าง เตรียมพร้อมมาทำความเข้าใจดวงตาคู่สวยของคุณกันเลยค่ะ!
สีของตาเกิดจากอะไร สภาวะปกติเป็นยังไงบ้าง: พื้นฐานสำคัญในการประเมินสุขภาพ
ก่อนที่เราจะไปวินิจฉัยความผิดปกติ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "ดวงตาที่มีสุขภาพดี" ควรมีลักษณะและสีพื้นฐานเป็นอย่างไร?
ดวงตาประกอบด้วยส่วนสำคัญหลายส่วน และแต่ละส่วนมีสีที่เป็นปกติแตกต่างกัน:
- ตาขาว (Sclera): โดยปกติควรมี สีขาวใส ไม่มีรอยแดง หรือสีเหลืองปน เพราะตาขาวคือชั้นนอกที่ห่อหุ้มลูกตาไว้ และสามารถสะท้อนความสมบูรณ์ของการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของตับได้ดี
- ตาดำ/กระจกตา (Cornea/Iris): ตาดำคือส่วนที่มีสี (ดำ, น้ำตาล, ฟ้า, เขียว) ซึ่งเป็นส่วนของม่านตา ส่วนกระจกตาที่อยู่ด้านหน้าควรมีความ ใสและโปร่งแสง เพื่อให้แสงผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้
- เยื่อบุตา (Conjunctiva): คือเยื่อบุบาง ๆ ที่คลุมตาขาวและเปลือกตาด้านใน ควรมีสีชมพูอ่อน ไม่บวม หรือมีเส้นเลือดแดงก่ำ
สภาวะปกติ: ดวงตาที่ดีคือดวงตาที่ใส (Clear), ชุ่มชื้น (Moist), และไม่มีอาการเคืองใด ๆ การเปลี่ยนแปลงของสี ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแดง หรือความขุ่นใด ๆ ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง
วัยและสีของตาโดยทั่วไปต้องระวังอะไรบ้าง
การเปลี่ยนแปลงของดวงตาบางอย่างอาจเกี่ยวข้องกับอายุและความเสื่อมตามธรรมชาติ ซึ่งเราควรแยกแยะและเฝ้าระวังตามช่วงวัย
- วัยเด็ก/วัยรุ่น : มักพบอาการตาขาวแดงจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) หรือตาแห้งจากการใช้หน้าจอมากเกินไป (Digital Eye Strain)
- วัยทำงาน : ความเครียดและการใช้สายตาหนักทำให้เกิด ขอบตาคล้ำ และอาการตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) ได้บ่อย รวมถึงตาขาวแดงจากอาการระคายเคืองเรื้อรัง
- วัยผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ : เป็นกลุ่มที่ต้องระวังความเสื่อมของโครงสร้างตา เช่น ภาวะต้อลม (Pterygium/Pinguecula) ที่ขอบตาขาว และความขุ่นมัวของเลนส์ตาที่นำไปสู่ ต้อกระจก (Cataract) รวมถึงวงขาวรอบกระจกตาที่อาจเกี่ยวข้องกับระดับไขมันในเลือด
การรู้ความเสี่ยงตามวัยจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและตรวจสุขภาพดวงตาได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ
8 สีดวงตาบอกโรค

1. ขอบตาคล้ำ: สัญญาณของการสะสมและภาวะ "ภูมิแพ้เรื้อรัง"
ขอบตาคล้ำ (Dark Circles) เป็นปัญหาด้านความงามที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่หากการคล้ำนั้นเป็นอย่างมากและเกิดขึ้นเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณที่ลึกกว่าการอดนอนธรรมดา และมักเชื่อมโยงกับภาวะภูมิแพ้หรือความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: ผิวหนังบริเวณใต้ตาหรือรอบดวงตามีสีเข้มขึ้น อาจเป็นสีน้ำตาลคล้ำ สีม่วงอมเทา หรือสีน้ำเงินเข้ม (ในกรณีที่มีการไหลเวียนโลหิตไม่ดี)
- จุดเด่น: การคล้ำจะเด่นชัดมากขึ้นเมื่อมีการพักผ่อนน้อย หรือมีการขยี้ตาบ่อย ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นภูมิแพ้
- อาการร่วม: อาจมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จาม หรืออาการเจ็บคอร่วมด้วย
ขอบตาคล้ำสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะภูมิแพ้เรื้อรัง (Allergic Shiners): การอักเสบที่เกิดจากภูมิแพ้ (เช่น แพ้ไรฝุ่น อาหาร หรือฝุ่นละออง) ทำให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อในโพรงจมูกและไซนัส การบวมนี้ไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดดำบริเวณใต้ดวงตา ทำให้เลือดคั่งและเกิดรอยคล้ำเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน
- ไซนัสหรือโพรงจมูกอักเสบ: การอักเสบเรื้อรังบริเวณจมูกทำให้เกิดแรงดันและบวมใต้ตา
- การขาดน้ำและพักผ่อนไม่พอ: ทำให้ผิวใต้ตาดูซีดและเส้นเลือดเด่นชัดขึ้น (เป็นสาเหตุทั่วไป)
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- รักษาและควบคุมภูมิแพ้: ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาภูมิแพ้ให้ตรงจุด เช่น การใช้ยาแก้แพ้ หรือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
- นวดกระตุ้นการไหลเวียน: ใช้ปลายนิ้วนางนวดเบา ๆ รอบดวงตา หรือใช้ลูกกลิ้งเย็น (Roller) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ให้เวลานอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์
2. ตาขาวสีเหลือง: สัญญาณอันตรายของ "ตับทำงานผิดปกติ" หรือ "ดีซ่าน"
การที่ตาขาว (Sclera) มีสีเหลืองอย่างชัดเจน เป็นสัญญาณที่รุนแรงและบ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบย่อยอาหารและการขับของเสียของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ตับ
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: ตาขาวมีสีเหลืองอ่อนไปจนถึงเหลืองเข้ม: สีเหลืองนี้อาจเริ่มต้นจากมุมตาด้านใน แล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วตาขาว
- จุดเด่น: สีเหลืองนี้เกิดจากการสะสมของ สารบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดง
- อาการร่วม: อาจมีอาการอ่อนเพลีย, ปัสสาวะมีสีเข้ม (สีน้ำปลา), และผิวหนังมีสีเหลืองร่วมด้วย
ตาขาวสีเหลืองสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะดีซ่าน (Jaundice): เป็นอาการที่บ่งบอกถึงการสะสมของบิลิรูบิน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- ตับอักเสบ (Hepatitis): การติดเชื้อไวรัสหรือการอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ ทำให้ตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้ตามปกติ
- ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน: การมีนิ่วในถุงน้ำดีหรือเนื้องอกไปอุดตันท่อน้ำดี ทำให้บิลิรูบินไม่สามารถไหลออกไปได้
- โรคตับแข็ง (Cirrhosis): ความเสียหายเรื้อรังต่อตับ - ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเร็วผิดปกติ: ทำให้เกิดบิลิรูบินมากเกินกว่าที่ตับจะกำจัดได้ทัน
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- รีบพบแพทย์ทันที: ตาขาวสีเหลืองไม่ใช่เรื่องที่รอได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดและวินิจฉัยหาสาเหตุของการทำงานผิดปกติของตับและท่อน้ำดี
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: งดการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาหรืออาหารเสริมที่อาจเป็นพิษต่อตับ จนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์
- ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ: การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาตับให้แข็งแรง
3. ตาขาวมีจุดเหลืองที่หัวตา: สัญญาณของการสัมผัสแสงแดดและความแห้ง (ภาวะต้อลม)
หากคุณสังเกตเห็นจุดหรือตุ่มสีเหลืองเล็ก ๆ นูนขึ้นมาที่ตาขาว โดยมักอยู่บริเวณหัวตา (ด้านใกล้จมูก) หรือหางตา (ใกล้ขมับ) มักบ่งบอกถึงภาวะที่เรียกว่า ต้อลม (Pinguecula) ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่เป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพของเยื่อบุตา
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: มีจุดนูนสีเหลืองอ่อน หรือสีขาวอมเหลือง: ขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร และมักไม่ลามเข้าตาดำ
- ตำแหน่ง: มักอยู่บนตาขาวบริเวณหัวตา (ใกล้จมูก) หรือหางตา (ใกล้ขมับ)
- จุดเด่น: ตุ่มนี้เป็นก้อนเนื้อเยื่อโปรตีน ไขมัน หรือแคลเซียมที่สะสมอยู่ใต้เยื่อบุตา ซึ่งเกิดจากการระคายเคืองเรื้อรัง
จุดเหลืองที่หัวตาสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะต้อลม (Pinguecula): เป็นภาวะเสื่อมที่เกิดจากการถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง
- การระคายเคืองเรื้อรัง: บ่งบอกว่าดวงตาของคุณได้รับแสงแดดจัด (รังสี UV), ลม, ฝุ่นควัน, หรือความแห้งจากการใช้สายตาหน้าจอเป็นเวลานาน
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- ป้องกันดวงตาจาก UV: สวมแว่นกันแดดคุณภาพดีที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB 100% ทุกครั้งที่ออกแดด เพื่อชะลอการเสื่อมของเยื่อบุตา
- ใช้ยาหยอดตา (น้ำตาเทียม): ใช้หยอดตาเพื่อรักษาความชุ่มชื้น ลดความแห้งและการระคายเคือง
- เลี่ยงลมและฝุ่นควัน: หลีกเลี่ยงการโดนลมแรงเข้าตาโดยตรง เช่น เวลาขับมอเตอร์ไซค์ หรือการอยู่กลางแจ้งที่มีฝุ่นควันเยอะ
4. ตาขาวสีแดงทั่วตา: สัญญาณของการระคายเคือง ภูมิแพ้ ตาติดเชื้อหรือเยื่อบุตาอักเสบ
ตาขาวสีแดง (Red Sclera) เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเกิดจากการขยายตัวหรือการแตกของเส้นเลือดฝอยบนเยื่อบุตา ซึ่งมักบ่งบอกถึงภาวะการอักเสบหรือการติดเชื้อในช่องตา
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: ตาขาวมีเส้นเลือดสีแดงกระจายอยู่ทั่วตา: อาจแดงเพียงเล็กน้อย หรือแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
- จุดเด่น: อาการแดงอาจมาพร้อมกับอาการคัน, เคืองตา, แสบตา, หรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ
- ความรุนแรง: หากแดงแบบเป็นจุดเลือดออกขนาดใหญ่ อาจเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก (Subconjunctival Hemorrhage) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและหายเองได้
ตาขาวสีแดงทั่วตาสื่อถึงสุขภาพอะไร
- เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis): อาจเกิดจาก:
- การติดเชื้อ (ตาแดงติดต่อ): เช่น เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส มักมีขี้ตามาก และอาจติดต่อผู้อื่นได้
- ภูมิแพ้: มักมีอาการคันตามากและมีน้ำตาใส ๆ - การระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม: เช่น ฝุ่น, ควัน, คลอรีนในสระว่ายน้ำ, หรือการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด
- ตาแห้งรุนแรง: การขาดน้ำตาหล่อเลี้ยงทำให้เกิดการเสียดสีและระคายเคืองจนตาแดง
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- สุขอนามัยที่เข้มงวด: หากสงสัยว่าติดเชื้อ ควรงดการใช้ผ้าขนหนูร่วมกับผู้อื่น และล้างมือบ่อย ๆ
- ประคบเย็นและน้ำตาเทียม: หากเกิดจากภูมิแพ้หรือระคายเคือง ให้ใช้ผ้าเย็นประคบ และหยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดอาการตาแห้ง
- พบแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้น: หากตาแดงไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน มีอาการปวดตา หรือมองเห็นผิดปกติ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์
5. รอบตาดำมีสีแดงเข้ม: สัญญาณอันตรายของ "ม่านตาอักเสบ" (Uveitis)
หากอาการตาแดงไม่ได้อยู่แค่ตาขาว แต่สังเกตว่า สีแดงเข้ม นั้นมารวมกันและเด่นชัดอยู่บริเวณรอบ ๆ ตาดำ (รอบกระจกตา) อาการนี้แตกต่างจากตาแดงทั่วไป และเป็นสัญญาณของภาวะอักเสบที่อยู่ลึกเข้าไปในลูกตา
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: สีแดงเข้มจัด บริเวณขอบนอกของตาดำ (Ciliary Flush) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เส้นเลือดอักเสบมาบรรจบกัน
- จุดเด่น: มักมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง, ตาพร่ามัว, และไวต่อแสง (Photophobia) ร่วมด้วย
- ความรุนแรง: ตาแดงชนิดนี้ไม่ได้หายเอง และบ่งบอกถึงการอักเสบที่อยู่ลึกถึงชั้นกลางของลูกตา
รอบตาดำมีสีแดงเข้มสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะม่านตาอักเสบ (Uveitis): เป็นการอักเสบของชั้นกลางของลูกตา (Uvea) ซึ่งรวมถึงม่านตา, ซิลิอารีบอดี และคอรอยด์ สาเหตุอาจมาจากการติดเชื้อ, การบาดเจ็บ, หรือโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune Diseases) เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ต้อหินเฉียบพลัน (Acute Glaucoma): ในบางกรณี ต้อหินเฉียบพลันที่ความดันตาสูงมาก ก็สามารถทำให้เกิดอาการแดงเข้มรอบตาดำร่วมกับอาการปวดรุนแรงได้
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- พบแพทย์ทันที: อาการนี้ถือเป็นภาวะเร่งด่วนทางจักษุวิทยา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับยาต้านการอักเสบ (Corticosteroids) หรือยาอื่น ๆ
- จัดการโรคประจำตัว: หากสาเหตุมาจากโรคภูมิคุ้มกัน ควรดูแลและรักษาโรคประจำตัวให้ดี เพื่อลดการอักเสบที่ลามมาถึงดวงตา
6. ตาดำมีสีขาวขุ่น: สัญญาณความเสื่อมของเลนส์ตา (ภาวะต้อกระจก)
การที่ ตาดำ (เลนส์ตา) มีลักษณะสีขาวขุ่น หรือขาวเทา ไม่ใสเหมือนเดิม มักเป็นสัญญาณของภาวะความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับเลนส์ตาที่อยู่ด้านหลังม่านตา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: บริเวณกึ่งกลางของตาดำ (รูม่านตา) มีสีขาวขุ่น หรือขาวเทา: ความขุ่นนี้จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามเวลา
- จุดเด่น: ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าการมองเห็นลดลงอย่างช้า ๆ เหมือนมองผ่านหมอกหรือกระจกฝ้า แสงไฟจะดูฟุ้งกระจายมากขึ้น
- ความรุนแรง: เมื่อเป็นมากขึ้น ตาดำอาจกลายเป็นสีขาวขุ่นไปทั้งหมด
ตาดำมีสีขาวขุ่นสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะต้อกระจก (Cataract): เป็นภาวะที่เลนส์ตาเสื่อมสภาพตามวัย สาเหตุหลักคืออายุที่เพิ่มขึ้น (พบบ่อยในผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป)
- ปัจจัยเสริม: การสัมผัสแสงแดด (UV) มากเกินไป, การสูบบุหรี่, การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน, และโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- ป้องกันรังสี UV: สวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อป้องกันการเสื่อมของเลนส์ตาจากแสงแดด
- ควบคุมโรคเบาหวาน: รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะระดับน้ำตาลที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- การรักษา: หากการมองเห็นแย่ลงจนกระทบต่อการใช้ชีวิต การรักษาหลักคือ การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา เท่านั้น ไม่มีการใช้ยาหยอดตาที่ได้ผล
7. วงสีขาวรอบตาดำ กระจกตา: สัญญาณของ "ไขมันในเลือดสูง" (ในคนอายุน้อย)
หากคุณสังเกตเห็นวงแหวนสีขาวหรือสีเทาอ่อนปรากฏขึ้นรอบขอบของตาดำ (กระจกตา) ภาวะนี้เรียกว่า Arcus Senilis ซึ่งเป็นเรื่องปกติในผู้สูงอายุ แต่ถ้าเกิดขึ้นในคนอายุน้อย ถือเป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: วงแหวนสีขาว สีเทาอ่อน หรือสีฟ้าอ่อน: เกิดขึ้นรอบขอบด้านนอกของกระจกตา
- จุดเด่น: วงแหวนนี้เกิดจากการสะสมของไขมัน (ลิปิด) และคอเลสเตอรอลในชั้นนอกของกระจกตา
- ความรุนแรง: ถ้าเกิดในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มักไม่เป็นอันตราย (เรียกว่า Arcus Senilis) แต่หากเกิดในผู้ที่อายุต่ำกว่า 40 ปี (เรียกว่า Arcus Juvenilis) จะถือเป็นสัญญาณอันตราย
วงสีขาวรอบตาดำสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia): ในคนอายุน้อย (ต่ำกว่า 40 ปี) การพบวงขาวรอบตาดำเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าอาจมีระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดสูงผิดปกติอย่างรุนแรง
- เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด: การมีไขมันในเลือดสูงตั้งแต่อายุน้อยเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดอุดตัน
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- ตรวจระดับไขมันในเลือด: หากพบวงขาวรอบตาดำในขณะที่อายุน้อย ควรรีบไปตรวจสุขภาพเพื่อวัดระดับคอเลสเตอรอล (LDL, HDL, Triglycerides)
- ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร: ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอลสูง หันมารับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และอาหารที่มีใยอาหารสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ดี
8. ตาดำมีสีขุ่นหรือฟ้าอมเขียว: สัญญาณอันตรายของ "ภาวะต้อหิน" (Glaucoma)
การที่ตาดำ (กระจกตา) มีลักษณะขุ่นมัวผิดปกติ โดยเฉพาะมีสีฟ้าอมเขียว หรือขาวขุ่นร่วมกับการมีอาการปวดตา ถือเป็นสัญญาณเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความดันในลูกตา ซึ่งเป็นอาการหลักของ ภาวะต้อหิน
ลักษณะที่สังเกตเห็น
- สี: กระจกตาดูขุ่นมัว สีฟ้าอมเขียว หรือขาวขุ่น: เกิดขึ้นจากการบวมน้ำของกระจกตาเนื่องจากความดันภายในลูกตาที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- จุดเด่น: มักมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน, และมองเห็นแสงเป็นรัศมีสีรุ้งรอบดวงไฟ (Halo)
- ความรุนแรง: การมองเห็นจะลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายต่อเส้นประสาทตาอย่างถาวร
ตาดำมีสีขาวขุ่น/ฟ้าอมเขียวสื่อถึงสุขภาพอะไร
- ภาวะต้อหินชนิดเฉียบพลัน (Acute Angle-Closure Glaucoma): เป็นภาวะที่ความดันในลูกตาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้
- ต้อหินชนิดเรื้อรัง: ต้อหินชนิดที่ความดันไม่สูงมาก อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาอย่างช้า ๆ และการมองเห็นลดลงอย่างเงียบ ๆ
วิธีทางป้องกัน ทริคในการดูแลสุขภาพ
- พบแพทย์ทันที (ฉุกเฉิน): หากมีอาการปวดตารุนแรงร่วมกับตาขุ่นและเห็นแสงสีรุ้ง ถือเป็น ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ที่ต้องเข้ารับการรักษาเพื่อลดความดันตาให้ทันท่วงที
- ตรวจวัดความดันตาสม่ำเสมอ: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน หรือผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจวัดความดันตาและตรวจจอประสาทตาเป็นประจำทุกปี
- เลี่ยงการใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้หวัดหรือยาขยายม่านตาบางชนิดในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อต้อหินมุมปิด
จากการที่เราได้เรียนรู้สัญญาณเตือน 8 สีดวงตาบอกโรค ไปแล้ว ทำให้เราทราบว่า ตั้งแต่รอยคล้ำใต้ตาจากภูมิแพ้ ไปจนถึงตาขาวสีเหลืองจากตับที่ทำงานหนัก ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญที่เรานำมาใช้ดูแลตัวเองได้ การมีดวงตาที่สวยใสและสุขภาพดีจึงเริ่มต้นจากการเป็นคนช่างสังเกตค่ะ อย่าปล่อยให้ความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ทำลายการมองเห็นและความมั่นใจของคุณไป
จำไว้เสมอว่า หากพบการเปลี่ยนแปลงของสีดวงตาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดรุนแรง หรือการมองเห็นแย่ลงอย่างฉับพลัน นั่นคือสัญญาณที่บอกว่า ถึงเวลาต้องปรึกษาจักษุแพทย์แล้วค่ะ การป้องกันและการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ จะทำให้ดวงตาคู่สวยของคุณเป็นประกายและแข็งแรงไปอีกนานเท่านานค่ะ ดูแลตัวเองให้เต็มที่นะคะ
.
อ่านบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ :


