
#วงในบอกมา
“รสทิพย์” หนึ่งในเบเกอรีชื่อดังย่านบางรักและสีลม ที่เปิดเคียงคู่กับ “ปั้นลี่” และ “อาม้าเบเกอรี่”
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยอดขายที่ตกลงจากการย้ายร้านเข้าซอย แต่อยู่ที่ปัญหาสุขภาพของคุณพ่อกฤษดา จรัสเรืองนิล ต่างหาก ที่ทำให้ร้านต้องปิดตัวลงแบบเงียบ ๆ
ตอนนี้ “รสทิพย์” กลับมาอีกครั้งโดยตั้งต้นจาก “เอแคลร์” สินค้าขายดีที่ได้น้องแยม-มนัสพร จรัสเรืองนิล ลูกสาวที่สืบทอดสูตรเบเกอรีของร้าน โดยมีนัท-นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล พี่ชายช่วยจัดการเรื่องแฟนเพจเฟซบุ๊กและดีไซน์ต่าง ๆ เพื่อให้แบรนด์ “รสทิพย์” กลับมามีชีวิตอีกครั้งในโลกออนไลน์

เราตื่นเต้นกับการเห็นโพสต์ของน้องแยม-มนัสพร จรัสเรืองนิล ศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา ถึงการกลับมาเปิดขายเอแคลร์ของ “รสทิพย์” ผ่านหน้ากรุ๊ปเฟซบุ๊ก “Tri-Assumption ล่อซื้อ” ซึ่งเป็นตลาดออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้กับศิษย์เก่าของโรงเรียนอัสสัมชัญ 3 แห่ง คือ โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา และโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เข้ามาฝากขายสารพัดสิ่งในช่วงนี้
แน่นอนว่าโพสต์นั้นกลายเป็นโพสต์ที่ถูกกดไลค์และคอมเมนต์มากที่สุดโพสต์หนึ่งของกลุ่ม ลูกค้าส่วนใหญ่ก็รู้จักคุ้นเคยกับ “รสทิพย์” เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นเบเกอรีราคาย่อมเยาที่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด และก็ต้องบอกว่าเป็นร้านเบเกอรีเก่าแก่ระดับตำนานของย่านบางรักเคียงคู่มากับ “ปั้นลี่” และ “อาม้าเบเกอรี่” น่าจะยุคเดียวกับศาลาโฟร์โมสต์

“รุ่นคุณพ่อทำธุรกิจขายทองมาก่อน แล้วเคยโดยโจรปล้น จึงคิดว่าอาชีพนี้ค่อนข้างอันตราย พอดีว่าตัวเราเองก็เรียนไม่สูงด้วย เลยหาลู่ทางดูก็เห็นว่าร้านขนมเป็นอะไรที่ลงทุนต่ำ แต่ว่ากำไรมาก อุปกรณ์เราลงทีเดียว แล้วค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ผมฝึกงานมาตั้งแต่อายุ 14-15 ตามภัตตาคารและร้านอาหาร เน้นทำขนมเลย ไปฝึกแบบไม่เอาเงิน ฝึกวิชา เงินเดือนก็ยกให้เค้าไป เราเล่นกันอย่างนี้ พอวิชาโอเค เราก็เปิดร้านเลย เซ้งบ้านตรงหัวมุมแถวเจริญกรุง เปิดร้านมาตั้งแต่พ.ศ.2519” คุณกฤษดา จรัสเรืองนิล คุณพ่อของน้องแยม เจ้าของร้านรุ่นแรกเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของรสทิพย์

คุณพ่อบอกกับ Wongnai ว่ารสทิพย์ทำเบเกอรีแทบทุกอย่าง มีทั้งไอศกรีม ขนมปัง เค้ก คุกกี้ เรียกว่าครบวงจร จนช่วงหลังเริ่มรับทำขนมเปี๊ยะ และขนมไหว้พระจันทร์ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีเบเกอรีร้านไหนทำขนมประจำเทศกาล แน่นอนว่าการตลาดในสมัยนั้นก็เป็นการตลาดในเชิงทดลอง อะไรที่ต้นทุนสูงไม่คุ้มทุน ยอดขายไม่ดี ก็เลิกทำแล้วหันมาทำขนมตัวใหม่ออกมาทดแทน พลิกแพลงดันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นร้านรสทิพย์ในวันนั้น
“ปั้นลี่และอาม้า เน้นแบบขายส่งด้วย ส่วนผมเน้นขายหน้าร้าน เราทำราคาถูกกว่าลิตเติ้ลโฮม เราเลยได้ 2 ตลาดในตอนนั้น เมนูขายดีเป็นเอแคลร์ เลดี้ ขนมเค้ก พายเอแคลร์ และพายกรอบครีมเอแคลร์ที่ดังมาก ไส้ของเราไม่เหมือนคนอื่น ขายมาก เรียกว่าทำจนเหนื่อย 555 ขายมากก็เฮโลกันสั่ง” คุณพ่อเล่าให้ฟังถึงสินค้าขายดี

เมื่อเราถามว่าทำไมเอแคลร์ถึงกลายเป็นสินค้าขายดีและเป็นที่จดจำ คุณพ่อบอกว่า “ตัวไส้กับเปลือกของเราไม่เหมือนชาวบ้าน เน้นหนักเรื่องไส้เลย ใครกินก็เป็นเอกลักษณ์ของร้าน ครีมนม แล้วก็อีกสองตัวก็คือ โกโก้ และกาแฟ ซึ่งต้นทุนสูงกว่า เราต้องเพิ่มราคาขึ้นนิดนึง เพราะผมใช้วัตถุดิบดี คืออะไรที่สุดยอด เราใช้ตัวนั้น เพราะตอนนั้นมีเบเกอรีไม่กี่เจ้าที่ใช้เนยถังทอง มันเหมือนกับหัวเนยเลย พรีเมียมเลยครับ มีกัลปพฤกษ์ มีผม แล้วก็ในวังที่ใช้กันอยู่ ตอนนี้ยังมีอยู่แต่ไม่มีใครกล้าลงทุนแล้ว มันสูงไปแล้ว เราซื้อมากินเองทำเองใช้เองยังพอไหวอยู่ เลยหันไปใช้เนยสด แต่ก็เลือกใกล้เคียง ต้องบอกว่า Butter กับ เนยสด ต่างกันที่ไขมันเนย ตัวนั้นเป็นหัวของน้ำมันเนย ถ้าใส่ตัวนั้นต้นทุนจะสูงขึ้นอีก”
หลังจากที่คุณพ่อมีปัญหาสุขภาพ เนื่องจากการทำเบเกอรีหลายอย่างดัวยตัวเองค่อนข้างหนัก ทำให้ตัดสินใจปิดร้านรสทิพย์ในย่านบางรักไปแบบเงียบ ๆ “เราเลิกเพราะคุณพ่อสุขภาพไม่ดี ไม่ใช่ว่าไปต่อไม่ได้ คุณพ่อมาตรฐานสูง อยากทำเองหมด คุกเข่าแต่งเค้ก วันนึงเป็นพันชิ้น จนต้องไปผ่าเข่าทั้งสองข้าง” คุณแม่ศรีอุไร จรัสเรืองนิล เล่าให้เราฟัง


“เอาจริง ๆ โตมากับขนมที่ร้าน ตื่นมาก็ได้กลิ่นขนม พอรู้ว่าจะเลิกแล้วจริง ๆ เหรอ ขนมร้านเราก็รสชาติไม่เหมือนที่อื่น มีเอกลักษณ์ แล้วจะไม่ได้กินขนมบ้านเราแล้วเหรอ สูตรทั้งหมดจะหายไปแล้วเหรอ หายไปพร้อมป๊าเหรอ เราเลยรู้สึกว่าเออรับช่วงต่อมาทำต่อดีกว่า เราพร้อมเสมอแค่ลงมือทำ ก็เลยไม่ได้ทิ้งช่วงจากป๊า ฝึกทำมาตั้งแต่ ม.6 จนมาช่วงมหาลัย ป๊าก็บอกเนิ่น ๆ ว่าจะถอยแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว สุขภาพไม่ดี แต่เราก็ทำมาเรื่อย ๆ รับออร์เดอร์ลูกค้าเก่าที่มีเบอร์เรา และออร์เดอร์งานสัมมนาจัดเลี้ยง ก็สั่งเรื่อย ๆ ปากต่อปาก ได้ออร์เดอร์มาตลอด แต่ไม่ได้ทำในชื่อ รสทิพย์ ส่วนช่วงนี้มีโควิดและได้เจอลูกค้าเก่า ๆ มากขึ้น เราเลยอยากลองทำโดยใช้ชื่อ รสทิพย์ เดิมไปเลย” น้องแยมเล่าถึงเหตุผลที่สืบทอดกิจการและการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในแบบออนไลน์
แล้วคุณพ่อล่ะดีใจไหมที่ลูกอยากสืบต่อสูตรเบเกอรีของรสทิพย์ “เขาเห็นเราทำอาชีพนี้เหนื่อย ให้ทำตามเรา ต้องใจรัก พอใจรักก็อยากทำ ก็โอเคไปได้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อ อาชีพตอนนี้ก็มีหลายอย่างที่ลูกไม่เอาก็มี ต้องให้เกิดจากภายในของเขาเอง ให้ชิมขนมของเจ้าอื่นว่าเป็นไง มาคิดว่าต่างจากของเรายังไง วัตถุดิบตัวไหนเปลี่ยนควรทำยังไง พื้นฐานต้องรับรสก่อน แล้วเปรียบเทียบสินค้าเขากับเราต่างกันไหม มีอะไรที่เราต้องพัฒนาอีกไหม ทุกคนมีหลักการคิดไม่เหมือนกัน” ฟังดูคุณพ่อปลื้มลูกสาวหนักมาก แต่มองอีกมุมก็แอบสอนแบบแนบเนียนมาตลอด



สำหรับแฟน ๆ ของรสทิพย์ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องรสชาติที่อาจจะเปลี่ยนไป เพราะน้องแยมแอบบ่นมาว่าคุณพ่อเป็นโค้ชที่มาตรฐานสูงมาก ถ้าไม่ดีคุณพ่อจะไม่ปล่อยออกขายเลย แน่นอนว่าวัตถุดิบอาจจะเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัยและราคาของวัตถุดิบ แต่ได้ร่วมกันทดลองแล้วว่ารสชาติเหมือนเดิม คุณพ่อถึงกับบอกว่า “รสชาติไส้เอแคลร์ตอนนี้ รู้สึกว่าจะดีกว่าตอนที่ผมเปิดร้านอีก”
แม้ว่าตอนนี้จะมีเฉพาะเอแคลร์ไส้ครีมสด แต่น้องแยมมองว่า ไส้เอแคลร์สามารถประยุกต์ได้หลายอย่าง “เราอาจจะเล่นกับรสชาติ และการกินรูปแบบใหม่ คือ เอาไส้เปล่า ๆ ทาขนมปัง บางคนที่ซื้อไปเอาเข้าฟรีซทำเป็นไอศกรีม แล้วแต่ใครเอาไปกินรูปแบบไหน”

เมื่อเราถามถึงว่าจะสั่งเอแคลร์ของรสทิพย์ได้อย่างไร น้องแยมบอกว่าเธอเปิดอาทิตย์ละ 2 วัน วันอังคาร และศุกร์ วันละ 2 รอบ 12.00 น. และ 17.00 น. เพื่อให้การเปิดเตาอบคุ้มค่าที่สุดเนื่องจากเป็นเตาแก๊สอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ไฟฟ้าควบคู่ด้วย หรือพูดง่าย ๆ ว่าทำเท่าที่เธอทำไหว โดยให้ลูกค้ามารับด้วยตัวเอง หรือให้ทางร้านส่งให้ก็ได้ แต่ขอให้มารับก่อน 2 ทุ่ม ซึ่งตอนนี้เฉพาะกรุ๊ปเฟซบุ๊ก “Tri-Assumption ล่อซื้อ” ก็สั่งพรีออร์เดอร์ยาวไปถึง 15 พฤษภาคมแล้ว ราคากล่องละ 90 บาท มี 12 ชิ้น แป้งนุ่ม ๆ ไส้แน่น ๆ

“โปรเจกต์ต่อไปก็เป็นขนมที่ร้านนี่แหละค่ะ จะทยอยเอากลับมาทำ เราทำเป็นอยู่แล้ว รอให้เราพร้อมแล้วทำ ออกมาได้ดี แล้วลูกค้าโอเค ก็คิดว่าอยากหาว่าที่ทางตรงไหนเหมาะสำหรับเปิดหน้าร้าน หาอยู่ และที่ยากก็คือเราต้องดูฐานลูกค้าด้วยว่าอยู่ไหน ไม่เหมือนฐานลูกค้าบางรักแล้ว” น้องแยมพูดถึงการขยับขยายในอนาคต
ติดตามเรื่องราวร้านอาหารดี ๆ ที่จะมาเล่าเรื่องราวของร้านอาหารมากกว่าเพียงรีวิวร้านอาหารใหม่ แต่อาหารมีเรื่องราวซ่อนอยู่เสมอ อ่านต่อได้ที่