Luckchu Malatang - ลัคชูหม่าล่าทัง

วันนี้อยากจะพาไปแอ๊บหรู กินอะไรหรูหราให้สมกับชื่อร้านเขาซะหน่อย Luck-Chu Malatang ลัคชูหม่าล่าทัง ร้านหม่าล่าแบบใหม่ที่อาจจะทำให้บางคนลืมภาพของหม่าล่าที่เสียบไม้แล้วย่างแบบเดิม ๆ ไปเลย ปกติหม่าล่าเสียบไม้ย่างเราจะกินเป็นกับแกล้มเป็นส่วนใหญ่ แต่หม่าล่าทังแบบนี้เราจะกินเป็นจานหลัก เน้นอิ่ม เน้นอร่อย กับรสชาติของน้ำซุปที่เป็นหม่าล่าอย่างเต็มเปี่ยม Luck-Chu พ้องเสียงมาจาก ลัคชู หรือ ลักชูรี่ ที่แปลว่าหรูหรา ร้านนี้ต้องการอยากทำให้เมนูหม่าล่าทังที่อาจจะดูธรรมดาในปัจจุบันให้เป็นเมนูที่หรูหรา ด้วยการใช้วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ เน้นเกรดพรีเมียม จึงเป็นคนคอนเซ็ปต์ของที่นี่ ร้านอยู่ที่ปากซอย ถนนหมื่นด้ามพร้าคต ซอย 3 (ถนนเส้นด้านข้างราชภัฏเชียงใหม่) ถ้าขับรถผ่านให้สังเกตร้านซักผ้าจะอยู่หัวมุมปากซอย เงยหน้ามองไปที่ชั้น 2 ก็จะเจอร้านแล้ว สามารถจอดรถบริเวณด้านหน้าร้านซักผ้าแล้วเดินเข้าไปในร้านจนสุด จะเห็นป้ายของร้านซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 2 ที่นี่ไม่ได้บริการเป็นแบบ Buffet นะ เขาบริการเป็นชาม ซึ่งหม่าล่าทังจะเป็นบริการที่ลูกค้าสามารถเลือกหยิบอาหารด้วยตนเอง แล้วส่งให้พ่อครัวไปปรุงพร้อมน้ำซุปที่เลือกไว้ ทางร้านสนนค่าบริการในราคาขีดละ 30 บาท ถามว่าแพงมั้ย? บางคนก็อาจจะคิดว่าแพง แต่อาจจะต้องดูสภาพของเศรษฐกิจในยุคนี้ ยุคที่เนื้อหมูราคาเกือบแตะ 250 บาทต่อกิโลกรัม โดยทางร้านจะดีลเนื้อสัตว์จากทางซัพพลายเออร์ด้วยตนเอง เป็นฟาร์มที่เลี้ยงสัตว์ในระบบปิด ขนส่งแบบแช่เย็น แต่ไม่ได้สั่งมาครั้งละมาก ๆ (ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงกว่าการสั่งมาเป็นล็อตใหญ่) เพื่อที่ทางร้านจะได้มีเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ลูกค้าจะได้กินของใหม่ ๆ สดสะอาด เมื่อลูกค้ามาถึงแล้วก็เลือกหยิบกาละมังพลาสติก (เรียกกาละมังได้นะ เพราะมันใหญ่เอาเรื่อง) แล้วเลือกวัตถุดิบตามที่ชอบ ถ้าชอบกินผักก็ถูกหน่อยเพราะผักจะเบา แต่ถ้าเน้นพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ก็จัดเต็มได้ เมื่อเลือกได้แล้วก็ส่งให้น้องพนักงานทำการชั่งน้ำหนัก พร้อมเลือกน้ำซุปที่ต้องการ ซึ่งทางร้านมีบริการอยู่ 3 ซุปด้วยกันคือ หม่าล่าต้นตำรับ, หม่าล่านม และน้ำดำสไตล์ญี่ปุ่น แล้วทางร้านจะมอบบัตรคิวอัตโนมัติให้ แค่นั่งรอให้บัตรคิวดัง ก็ค่อยไปหยิบที่เค้าน์เตอร์ ระหว่างที่รอเชฟปรุงอาหารให้ อย่าลืมไปทำน้ำจิ้มด้วยละ เพื่อเพิ่มความอร่อย หลากหลายส่วนผสม เครื่องปรุง งานนี้ต้องบอกเลยว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน D.I.Y. กันตามอัธยาศัยเลย และอย่าลืมหยิบช้อนและตะเกียบด้วย ซึ่งน้าอ้วนชอบใจอย่างหนึ่งกับตะเกียบ เพราะเขาเก็บไว้ในหม้อที่ฉายแสง UV เพื่อฆ่าเชื้อโรคอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็นตะเกียบที่สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ แต่ความสะอาดบอกเลยว่าต้องยกนิ้วให้ ระหว่างที่รอเชฟปรุงอาหารมาให้ น้าอ้วนก็อยากแนะนำเมนูกินเล่นซะหน่อย กินเพลิน ๆ รอได้ เต้าหู้ทอด (39 บาท) เต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลือง 100% ไม่มีส่วนผสมของแป้งเลย กินอร่อยพร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ด หรือใครอยากได้ความกรอบนอกนุ่มใน อารมณ์ของหวานเบา ๆ กับ หมั่นโถวทอด (49 บาท) เสิร์ฟกันมา 3 ชิ้นขนาดพอดี ทอดจนด้านนอกกรอบแต่ด้านในยังคงความนุ่ม จิ้มกับนมข้นหวานซะหน่อย อร่อยเหาะ เมื่อถึงเวลา บัตรคิวอัตโนมัติก็จะร้องส่งเสียง เราก็เดินไปเค้าน์เตอร์แล้วหยิบอาหารมาที่โต๊ะ อย่างที่บอกว่าที่นี่จะมีน้ำซุปให้เลือก 3 แบบก็คือ น้ำซุปหม่าล่าต้นตำรับ รสชาติจี๊ดจ๊าด เผ็ดร้อน ไม่ติดเค็ม สามารถซดได้เรื่อย ๆ ยิ่งได้ความหวานของผักที่เข้ามาผสมด้วย มันยิ่งทำให้น้ำซุปกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ถ้าอยากได้ความนุ่มละมุนขึ้นมาสักนิด น้ำซุปหม่าล่านม ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี ความนุ่ม ละมุนของนมจะช่วยทำให้ความจัดจ้านของหม่าล่าลดน้อยลง ใครที่ชอบความจัดจ้านผสานความนัวเบา ๆ หม่าล่านมนี่แหละคือเด็ดสุด แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกินเผ็ด ตัวเลือกอร่อย ๆ หอม ๆ หวาน ๆ กลมกล่อมอย่างซุปน้ำดำสไตล์ญี่ปุ่นก็ดีนะ อารมณ์เหมือนเรากินชาบูน้ำดำ แต่ต้องบอกว่าน้ำซุปที่นี่กลมกล่อมไม่แพ้ใคร เปลี่ยนสไตล์การกินหม่าล่าแบบที่คุ้นเคย หม่าล่าเสียบไม้แล้วย่างก็คงเบื้อกันบ้างแล้ว มาลองหม่าล่าทัง ที่จะได้กินทั้งเนื้อต่าง ๆ ลูกชิ้น เครื่องเคียง และผักอีกมากมาย เลือกหยิบ เลือกใส่กันได้ตามอัธยาศัย รวมไปถึงการเลือกน้ำซุป ในแบบที่เราชื่นชอบ ใครขชอบความจัดจ้านก็จัดไปเลยกับหม่าล่าต้นตำหรับ และที่ขาดไม่ได้ เต้าหู่ทอด และหมั่นโถวทอด ถ้ามาแล้วอย่าลืมสั่งเด็ดขาด เพราะมันดีมาก