วันแรกของการมาเยือน "New York City" เราเลือกที่จะพักใน Manhattan ก่อนจะเดินทางไปสถานที่ฮิตอย่าง "Central Park" สวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน กับต้นไม้สีเขียวระรานตา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความชิลของผู้คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่เดินจับมือกัน หรือคุณยายที่จูงน้องหมามาเดินเล่นเป็นเพื่อน หรือเหล่าวัยรุ่นมากมายที่นอนอ่านหนังสือบนสนามหญ้าอย่างสบายใจ ที่เป็นเหมือนงานอดิเรกในฝันของเรา ที่อยากลองใช้ชีวิตชิลๆ ในสวนสาธารณะแบบนี้บ้าง
ก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปยังสถานที่ฮิตอย่าง "Brooklyn Bridge" สะพานแขวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สกิลแรกที่คุณต้องมีเมืองมาที่สะพานแขวนแห่งนี้ คือ สกิลการถ่ายรูปที่ต้องโพสอยู่ตลอด เพื่อคอยจังหวะที่ไม่มีใครมาบดบังสะพานเพื่อกดแชะลงอินสตราแกรมกันสวยๆ และอีกสิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมาก คือต้องมองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลังให้ดี เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ จักรยานก็พร้อมพุ่งชนเข้าหาคุณเสมอ เนื่องจากบนสะพาน จะมีเส้นทางสัญจรสำหรับจักรยานอยู่ด้วยกับพื้นที่ถ่ายภาพ จึงไม่แปลกที่การได้รูปสวยๆสักรูปคู่กับสะพาน "Brooklyn Bridge" จะเป็นเรื่องที่ยาก
และไปต่อกับสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกล หรือที่เรียกกันว่า Dumbo ที่ย่อมาจาก Down under the Manhattan Bridge overpass ที่แปลว่าทางผ่านใต้สะพาน Manhattan ซึ่งถ้ามองจากสะพาน Brooklyn Bridge ไปอีกฝั่งจะเห็นสะพาน Manhattan ในมุมเล็กๆ พร้อมกับป้ายคำว่า DUMBO ที่ถ้ามองจากตรงนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกถึงความห่างไกล จนอยากยอมแพ้ที่จะเดินไปใต้สะพานแห่งนั้น แต่ด้วยบรรยากาศชิคๆ ระหว่างเดินก็ทำให้เราลืมเรื่องอื่นๆ ไปสนิท
ที่อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดจากการเดินเท้าจากบนสะพานลงมาใต้สะพานผ่าผู้คนนักท่องเที่ยวมากมาย และเมื่อเดินมาถึง สิ่งแรกที่คุณจะเห็นคือสะพาน Manhattan ตั้งเด่นเป็นสง่ากับสีของสะพานที่ตัดกับตึกขนาบทั้งสองข้างเหมือนงานศิลปะสวยๆสักชิ้น แต่ด้วยบรรยากาศของท้องฟ้าในวันนั้น ที่แดดจ้าจนเกือบมองไม่เห็นเส้นแขวนของสะพาน แต่ก็อลังการไปกับความสูงของสะพานเมื่อมองจากช่องแคบๆ อย่าง DUMBO
และอีกหนึ่งสถานที่ประติมากรรมแปลกตาอย่าง ตึก Flatiron ที่มีรูปทรงสามเหลี่ยมอันโดดเด่น ทำให้เราอยากมาเห็นสักครั้งด้วยตาตัวเอง เพราะไม่ว่ามองไปมุมไหน รูปทรงของแต่ละด้านก็จะเปลี่ยนไปตามตำแหน่งที่เรายืน ซึ่งสร้างเอกลักษณ์ให้กับตึกนี้เป็นอย่างดี โดยที่รอบๆ ตึกจะเต็มไปด้วยถนนและผู้คนเดินผ่านไปมา กับฝั่งตรงข้ามของตึกที่จะมีเก้าอี้ให้นั่งชิล กับร้านเบอร์เกอร์ในระแวกใกล้เคียงเพื่อมานั่งกินดื่มด่ำบรรยากาศในช่วงพระอาทิตย์ตกจนถึงเวลาค่ำ
พอตกค่ำ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนเป็นสถานที่แห่งแสงสีทันที อย่างอีกสถานที่สุดท้ายของวันที่พลาดไม่ได้ คือ Times Square ถนนที่เต็มไปด้วยแสงสีที่ได้จากป้ายบิลบอร์ดขนาดมหาศาล ไหนจะนักท่องเที่ยวที่รอพื้นที่ว่างบนถนนเพื่อถ่ายวิดีโอแบบ Time-lapse เก๋ๆ และในระแวกนั้นจะเต็มไปด้วยโชว์ต่างๆ สร้างสีสันให้นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะเดินตามป้าย SALE เข้าร้านแบรนด์ชั้นนำมากมาย ที่ไม่ว่าใครออกมา ต้องมาพร้อมกับถุงหลายใบกับเสื้อตัวใหม่สัก 1-2 ตัว
และเมื่อออกมาจาก มหานครนิวยอร์ก เราเลือกที่จะใช้เวลา 1 วันเต็มไปกับธรรมชาติ ณ น้ำตก Niagara Falls สถานที่ธรรมชาติอันน่าทึ่ง ที่ต้องพาตัวเองมาเจอประสบการณ์สักครั้งในชีวิต เพื่อสูดอากาศเข้าปอดที่ไร้ PM 2.5 พร้อมเงยหน้ารับน้ำตกเต็มๆ ด้วยความสดชื่นจาก Niagara Falls
ถ้าคุณได้ไปล่องเรือในน้ำตก Niagara Falls จะรู้ว่าธรรมชาติกว้างใหญ่กว่าที่เราคิด และแม้จะต้องต่อสู้กับคิวยาวเยียดที่รอขึ้นเรือ แต่เมื่อเจอกับธรรมชาติก็ถือว่าคุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้ เพราะในระหว่างที่คุณกำลังล่องเรือลำใหญ่ไปกับผู้คนหลากหลายสัญชาติ พร้อมส่งเสียงตื่นเต้นทุกครั้งที่น้ำตกสาดเข้าหน้า และถึงแม้จะตัวเปียกไปทั้งตัว แต่ทุกคนก็พร้อมส่งเสียงตอบรับธรรมชาติตลอดทริปขณะที่อยู่บนเรือจนขึ้นฝั่งเพื่อมาสัมผัสบรรยากาศจากธรรมชาติอีกแบบในมุมที่กว้างมากขึ้น
ปิดท้ายไปวันรูปสุดท้าย กับบรรยากาศยามค่ำคืนใน Niagara Falls ที่ตระการตาไม่แพ้แสงสีของ Times Square เลยทีเดียว
เราหวังว่าทริปวิ่งเที่ยว 2 วันในมหานครนิวยอร์กของเราจะเพิ่มความ "อยาก" ให้เท้าของคุณกล้าที่จะออกเดินทาง และพิสูจน์ความสวยงามของทุกสถานที่ด้วยตัวคุณเอง ที่รับประกันว่าสวยกว่าภาพไหนๆ ที่คุณเคยเห็นทุกการรีวิวใน "Wongnai" แน่นอน !!!
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ