Oslo (ออสโล) เป็นเมืองหลวงปัจจุบันของประเทศนอร์เวย์ และเป็นเมืองที่ใหญ่สุดของประเทศอีกด้วย ใช้ภาษานอร์เวย์เป็นภาษาประจำชาติ และสามารถพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์
[โซนเวลาของนอร์เวย์:]
ในช่วงฤดูร้อน หลายประเทศในยุโรปเค้าจะมีทดเวลาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมงตามแสงดวงอาทิตย์ที่กินเวลายาวนานกว่าในช่วงฤดูหนาว หรือเรียกว่า Daylight Saving ดังนั้นเวลาที่นอร์เวย์ทั้งประเทศจะช้ากว่าที่ไทยอยู่ที่ 5 ชั่วโมง (ถ้าเป็นฤดูหนาวจะช้ากว่า 6 ชั่วโมง)
[Norway ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม EU:]
นอร์เวย์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยูโรนะครับ แต่อยู่ในข้อตกลงเชงเก้น (วีซ่าข้ามไปมาระหว่างประเทศในยุโรป) ที่นี่เค้าไม่ใช้เงินสกุลยูโร สกุลเงินท้องถิ่นคือ โครนนอร์เวย์ (์NOK) ดังนั้นควรเตรียมแลกเงินท้องถิ่นให้เพียงพอใช้สอยส่วนตัวก่อนไปเป็นอันดีที่สุดครับ
[สภาพอากาศที่นอร์เวย์:]
เพราะตั้งอยู่ใกล้กับเขตขั้วโลกเหนือจึงมีอากาศหนาวเย็นนานถึง 6 เดือน ซึ่งอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน (มีติดลบสองหลัก) อากาศในกรุงออสโลจะหนาวที่สุดในเดือนธันวาคมและมกราคม อาจ -20C และมีหิมะตกตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายน
ฤดูหนาวของประเทศนอร์เวย์ จะมีระยะเวลากลางวันจะสั้นกว่าเวลากลางคืน ซึ่งในเดือนธันวาคม ถึงเดือนมกราคม จะมีแสงแดดเพียงวันละ 0 - 6 ชั่วโมง
ฤดูร้อนในนอร์เวย์มีระยะเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20-25C ในช่วงนี้จะมีระยะเวลากลางวันยาวนานกว่าระยะเวลากลางคืน เรียกได้ว่าดึกๆ 3-4 ทุ่ม ท้องฟ้ายังสว่างกันเลย
ภูมิอากาศในนอร์เวย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแม้ในช่วงฤดูร้อน ควรใส่เสื้อผ้าเนื้อบางและควรมีเสื้อกันลม เสื้อกันฝน และขาดไม่ได้รองเท้าที่ใส่สบายไว้สำหรับเดิน แต่ถ้าจะเดินทางขึ้นไปนอร์ทเคปซึ่งหนาวเย็นกว่าตัวเมืองออสโลมากจะต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ(มีฮูท) ผ้าพันคอ ถุงมือ หมวก ถุงเท้า
ความเดิมตอนที่แล้ว EP.2: Norway in a Nutshell
https://www.wongnai.com/travel/trips/60635cf0e39d4e01bbeb8b60239fa3dd
หลังจากวันก่อนหน้านี้ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางการท่องเที่ยวที่ชื่อว่า Norway in a Nutshell และมาจบปลายทางสุดท้ายที่กรุงออสโลเมืองหลวง หลังจากตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ถึงเวลาเดินสำรวจในตัวเมืองออสโลกันครับ
Norway เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับประเทศอื่นๆในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ในสมัยล่าอาณานิคม ต่างก็จะหมายที่จะปกครองของกันและกัน เคยตกเป็นของเดนมาร์กและสวีเดนมาก่อน จนเมื่อปี 1905 ได้แยกตัวเป็นเอกราชจากสวีเดน โดยยังมีสถาบันกษัตริย์เป็นประมุขเช่นเดียวกัน
Oslo เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงอันดับต้นๆของโลก ประชาชนได้รับสวัสดิการจากรัฐแบบดีมาก จากแนวทางการปกครอง Welfare State สมัยใหม่ คล้ายกับเดนมาร์กและสวีเดน เป็นเมืองอากาศดี คนของเค้านิยมใช้จักรยานกันเยอะอยู่ ถนนหนทางสะอาดดี บริเวณกลางเมืองมีอาคารสถานที่ราชการ มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีสถาปัตยกรรมแบบเก่าสลับกับตึกทันสมัยในย่านการค้า มีสวนสาธารณะกว้างใหญ่กลางเมือง พระราชวังก็อยู่ใกล้ๆกันเลย ส่วนเขตรอบนอกจะเห็นตึกทันสมัยที่มีรูปแบบการออกแบบที่แปลกตา
ตอนที่ครอบครัวผมไปเน้นเดินเล่นในย่าน downtown ไม่ได้ไปหลายที่มาก หลักๆที่แวะไปหรือผ่านก็มี
• Radhus หรือ Oslo City Hall หรือศาลาว่าการเมืองออสโล เด่นที่เป็นอาคารหอคอยคู่หลังสีน้ำตาล สร้างเมื่อปี ค.ศ.1931 มีลานจัตุรัสตรงทางเข้าที่มีน้ำพุรูปหงส์ รอบๆก็มีงานประติมากรรมหลายชิ้น ด้านในนักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าชมได้เลยหรือถ้ามากับทัวร์เค้าก็พาไปแนะนำให้ ด้านในก็มีงานพวกภาพวาดต่างๆด้วย อารมณ์คล้ายหอศิลป์เลย
• ถนนช้อปปิ้ง Karl Johans Gate ตัดตรงจากสถานีรถไฟไปยังพระราชวัง ระหว่างทางมีอาคารสถานที่สำคัญเก่าๆตั้งอยู่ให้แวะชม รวมทั้งร้านค้า ร้านอาหารมากมาย บางช่วงเค้าจัดเป็นถนนคนเดินกันเลย เป็นถนนที่นักท่องเที่ยวมาต้องแวะลงไปเดินสัมผัสบรรยากาศ แถวๆนั้นจะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่คนมานั่งพักผ่อนกันเยอะ ในสวนมีรูปปั้นบุคคลสำคัญต่างๆด้วย เช่น Johan Halvosen นักไวโอลินและประพันธ์เพลงชื่อดังชาวนอร์เวย์
• Nationaltheatret หรือโรงละครแห่งชาติ สร้างปี ค.ศ.1899 จัตุรัสด้านข้างมีคนมาแวะพักผ่อนกันเยอะ มีรูปปั้นบุคคลสำคัญ 3 คน ตั้งอยู่ตรงสวนดอกไม้ ฝั่งตรงข้ามถนนจะมีอาคารมหาวิทยาลัยออสโล 3 หลัง ถัดขึ้นไปมีหอศิลป์แห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ และมองเห็นพระราชวังตั้งอยู่บนเนิน
• Det Kongelige Slot พระราชวังหลวง เป็นที่ประทับทางการของราชวงศ์นอร์เวย์ ดังนั้นยังมีพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ในช่วง 13:30 คล้ายกับที่ Amalienborg Palace ของเดนมาร์ก สร้างระหว่างปี 1824-1848 สมัยที่เมืองออสโลยังใช้ชื่อว่า Christiania ตามพระนามกษัตริย์คริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก การเข้าชมที่นี่ต้องผ่านไกด์ทัวร์ ไม่ใช่อยู่ๆเดินเข้าได้เลย เปิดให้ชมเฉพาะช่วงฤดูร้อน
นอกจากนั้นละแวกในเมืองออสโล มีที่ให้แวะชมอื่นอีก เช่น อาคารรัฐภา Stortinget มหาวิหาร Oslo Domkirke ป้อมปราการ Akershus และ Nobel Peace Center
หลังจากเดินสำรวจในกลางเมืองออสโลพอได้ฟิลลิ่ง เราก็นั่งรถต่อไปยังสถาที่ถัดไปคือ พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งโบราณ ซึ่งประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียได้ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเป็นดินแดนไวกิ้งครับ
Vikingskipshuset เป็นชื่อในภาษาท้องถิ่นของที่นี่ครับ พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งนี้ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า Bygdøy คล้ายๆแหลมหรือคาบสมุทรทางด้านตะวันตกของเมืองออสโล เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยออสโล เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเรือไวกิ้งโดยเฉพาะที่มีชื่อเสียง ซึ่งขุดค้นพบซากและสมบัติต่างๆจากสุสานไวกิ้งบริเวณฟยอร์ดต่างๆของนอร์เวย์
ไฮไลท์คือเรือไวกิ้งจริงที่ค้นพบและมีความสมบูรณ์ ลำหลักๆมี 3 ลำ ชื่อ Gokstad, Oseberg และ Tune จัดพื้นที่แสดงอย่างมีระเบียบมีเชือกกั้นไว้ หัวเรือ รวมถึงยังมีเรือลำเล็กๆ รถลาก เครื่องมือเครื่องใช้ของชาวไวกิ้งต่างๆด้วย
มีการจัดแสดงแสงสีเสียงเปิดคล้ายๆหนังภาพยนตร์ฉายบนกำแพงและเพดานด้านในของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ ในบริเวณมีร้านขายของฝากด้วย
เปิดทุกวัน 9:00 – 18:00
อัตราค่าเข้าชม:
• อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าฟรี
• ผู้ใหญ่ 100 NOK
• ผู้สูงอายุ/นักศึกษา 80 NOK
• กลุ่มตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป 50 NOK
บัตรเข้าชมที่นี่ใช้ตัวเดียวกับบัตรพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยออสโลในบริเวณเดียวกัน สามารถใช้ด้วยกันได้ภายใน 48 ชั่วโมง
ที่นี่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก จัดแสดงเฉพาะเรือและเครื่องมือของชาวไวกิ้ง เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังย้อนยุคไวกิ้งน่าจะอินดีครับ
หลังจากเดินสำรวจเสร็จที่พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งโบราณ จุดหมายต่อไปที่แวะคือ สวนประติมากรรมแนว Abstract รูปมนุษย์เปลือยมากมายกว่า 200 ชิ้น สมบัติประจำเมือง Oslo ที่เป็น A must เวลามาเที่ยวที่ Oslo ครับ
Vigelandsparken ชื่อในภาษาท้องถิ่นของ Vigeland Park หรือสวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะฟร็อกเนอร์ปาร์ก (Frognerparken)
บริเวณลานตรงกลางของสวนนี้มีการจัดวางงานประติมากรรมแนวนามธรรมหรือ Abstract รูปมนุษย์เปลือยมากมายหลายอิริยาบถกว่า 200 ชิ้น โดยศิลปินชาวนอร์วีเจียน ชื่อ Gustav Vigeland ชื่อเดียวกับสถานที่นี้ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1939-1949 มีทั้งรูปสลักจากหินแกรนิตและโลหะสำริด เค้าเขียนพินัยกรรมยกให้เป็นสมบัติประจำเมือง Oslo ผลงานแต่ละชิ้นมีการทิ้งปริศนาความหมายเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้คิด
ชิ้นหลักๆที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ
• The Monolith หรือ เสาโมโนลิท เป็นเสาแกรนิตสูง 14 เมตร แกะสลักเป็นรูปมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ชายและหญิง พันเรียงร้อยกันไปมาจนถึงยอด น่าจะสื่อถึงการเวียนว่ายตายเกิดและการต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์
• Angry Little Boy หรือเด็กน้อยโมโห ตั้งอยู่บนราวสะพาน เคยถูกแอบตัดมือซ้ายขโมยไปข้างหนึ่ง แล้วได้หล่อมือขึ้นมาใหม่แทน ที่เห็นชัดคือมือซ้ายจะมันวาวกว่ารูปปั้นทั้งตัวเพราะถูกทำขึ้นมาใหม่
สวนนี้มีขนาดกว้างใหญ่ใจกลางเมือง Oslo และมีรถรางเข้าถึงสะดวกลงที่ป้าย Vigelandsparken
======================
ได้เวลาอำลากรุงออสโลแล้วครับ
จุดหมายต่อไปคือการเดินทางเพื่อที่จะมาชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนตรง North Cape โดยนั่งเครื่องจากออสโลมาลงสนามบินท้องถิ่นที่เมือง Hammerfest
นั่งเครื่องสายการบินภายในประเทศมาลงที่เมืองชื่อ Hammerfest ตอนเหนือของนอร์เวย์ ดินแดนที่ประชากรคนเบาบาง แต่ประชากรกวางเรนเดียร์เยอะทีเดียว เห็นได้ทั่วไปตามริมทางระหว่างการเดินทางครับ พอมาถึงเราก็แวะพักค้างคืนที่โรงแรมชื่อ Rica Hotel ซึ่งมีเครือข่ายหรือเชนหลายแห่งในภูมิภาคตอนบนของประเทศนอร์เวย์
หลังจากพักเติมพลังคืนนึงเสร็จ รุ่งเช้าก็เตรียมเดินทางต่อเพื่อเข้าไปยังในตัวเมืองของ Hammerfest ที่เป็นเมืองท่าริมอ่าว เก็บภาพระหว่างเส้นทางมาให้ชมกันครับ
ชื่อในภาษาท้องถิ่นที่นี่เขียนว่า Isbjørklubben หรือชื่อภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายๆคือ Polar Bear Club (Isbjørk = Polar Bear) อยู่ในเมืองดินแดนตอนเหนือของนอร์เวย์ใกล้ขั้วโลกหรืออาร์คติกชื่อ Hammerfest ประชากรเบาบาง จับปลาเป็นหลัก
อยู่ในบริเวณเดียวกับ Tourist Information ของเมืองซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวเลยแถวท่าเทียบเรือ บริเวณนี้เหมือนเป็นแหล่งชุมชนของที่นี่ มีโบสถ์ประจำเมือง และ Attraction เป็นที่นี่ครับ
ที่นี่เข้าฟรีครับ จากชื่อเป็นคลับนะครับ เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 แต่เค้าก็เปิดเป็นส่วนพิพิธภัณฑ์ย่อมๆจัดแสดงเกี่ยวกับหมีขั้วโลก สัตว์และนกต่างๆ รวมถึงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นใกล้ขั้วโลกในการใช้ชีวิตอย่างการจับปลา มีหมีขั้วโลกสต๊าฟไว้ มีจอทีวีให้ดูเรื่องราวชีวิตของที่นี่ และก็มีพวกร้านขายของที่ระลึกด้านในด้วย
ถ้าจำไม่ผิดที่คลับนี้เค้าจะมีให้สมัครสมาชิกแบบตลอดชีพ (ต้องสมัครที่คลับและมาเยี่ยมที่นี่เท่านั้น) และได้รับบัตรพร้อมของชำร่วยเล็กๆน้อยๆด้วย คนนึงน่าจะ 200 NOK (7xx บาท) ผมว่ามันเหมือนกิมมิคสำหรับนักท่องเที่ยวว่าได้มาถึงที่นี่แล้วนะ
ที่นี่เหมือนเป็นจุดแวะ check-in ฆ่าเวลาก่อนที่จะแวะไปชมอาทิตย์เที่ยงคืนที่แหลมเหนือตอนใกล้เที่ยงคืนครับ หลังจากเดินชมบรรยากาศเมืองรอบๆ กลุ่มเราก็นั่งรถต่อขึ้นเหนือไปอีกเพื่อแวะที่เมือง Honningsvag เป็นที่หมายถัดไป
Artico Ice Bar เป็นบาร์ทำจากก้อนน้ำแข็งในทะเลสาบของ Lapland ดินแดนตอนเหนือสุดใกล้ขั้วโลกของยุโรป (นอร์เวย์-ฟินแลนด์) ข้อมูลของที่นี่บอกว่าใช้ก้อนน้ำแข็ง 55 ก้อน แต่ละก้อนหนัก 800 Kg ใช้ไฟ LED ประดับตกแต่งภายใน 4200 ดวง อยู่ในเมืองชื่อ Honningsvag “ฮอนนิงสโวก” เมืองที่อยู่เหนือสุดของนอร์เวย์และทวีปยุโรป
กลุ่มผมออกจากเมือง Hammerfest ต่อมาถึงที่เมือง Honningsvag นี้ เป็นที่แวะสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นไปจุดเหนือสุดของแผ่นดินยุโรปหรือ North Cape (Nordkapp) ลงแวะบริเวณตัวแหล่งชุมชนของเมืองที่มี Attraction อย่าง Maritime Museum และ Tourist Information ของเมืองนี้ครับ ใกล้ๆกันก็จะมี Bar แห่งนี้ด้วยครับ
Artico Ice Bar บาร์น้ำแข็งทั่วโลก ดูภายนอกตัวบาร์ก็เหมือนบ้านในเมืองนี้หลังหนึ่ง แต่พอเข้าไปเค้าจะเนรมิตให้เป็นเหมือนบ้านน้ำแข็งต้องมีมุดเข้าไปเป็นห้อง ด้านในหนาวมากเหมือนอยู่ขั้วโลก พอซื้อตั๋วค่าเข้าไปแล้วก็จะมีเสื้อคลุมให้ความอุ่นสีแดงเด่นมาให้เราใส่ทุกคน พนักงานใส่เป็นสีเขียว เหมือนเป็นกิมมิคของเค้า ด้านในจะออกมืดๆหน่อยถ่ายรูปสวยๆยากหน่อยครับ มีจุดถ่ายรูปก็ตรงตัวหนังสือแกะสลักว่า Nordkapp มีเก้าอี้เลื่อนลากให้นั่งถ่าย กับตรงส่วนที่เป็นบาร์
[อัตราค่าเข้า:]
• ผู้ใหญ่ 149 NOK (5xx บาท)
• เด็ก (อายุไม่สูงกว่า 12 ปี) 50 NOK
ราคาค่าเข้ารวมเครื่องดื่มที่เป็น non-alcohol คือน้ำผลไม้ ให้ 2 แก้ว ซึ่งแก้วที่ใส่ให้เราก็เป็นไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่คือแก้วทำจากน้ำแข็งทั้งอัน เวลาดื่มต้องมีกระดาษวางให้จับถือเพราะเย็นมาก น้ำผลไม้ที่มีให้เลือกตอนไปมี 4 รส ประมาณ Blue Ocean, Banana Tropical, Lime Tropic, Mojito
สรุปบาร์นี้ก็เหมือนเป็นจุดแวะ check-in ฆ่าเวลาก่อนที่จะแวะไปชมอาทิตย์เที่ยงคืนที่แหลมเหนือตอนใกล้เที่ยงคืนครับ
เดินถ่ายรูปในแถวตัวเมืองบริเวณริมอ่าวเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางไปจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ คือ นอร์ทแคป หรือ แหลมเหนือ
จากเมือง Honningsvåg นั่งรถต่อขึ้นมาทางเหนือจากเมืองนี้อีกประมาณ 35km (นั่งประมาณ 30 นาที ในช่วงฤดูร้อน) ก็ถึงจุดชมวิวที่แหลมเหนือนี้แล้วครับ ถือว่าสะดวกดีแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าถ้ามาช่วงฤดูหนาวถนนน่าจะปิดเพราะหิมะลงหนาอาจจะต้องใช้พาหนะอื่นเข้ามาที่นี่ หรือ Convoy Driving
Nordkapp ชื่อในภาษาท้องถิ่นของ North Cape หรือแหลมเหนือ อยู่ในเขต Finnmark ตอนบนสุดของประเทศนอร์เวย์ มีลักษณะเป็นหน้าผาชันสูงตั้งฉากหันออกไปทางมหาสมุทรอาร์คติก ความสูง 307 m (1007Ft) ที่นี่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของกลุ่มผมในการเดินทางขึ้นมายังดินแดนตอนเหนือของนอร์เวย์ (เรียกว่าเหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยุโรปก็ว่าได้)
[เข้าใจเกี่ยวกับ Nordkapp:]
• Nordkapp ถูกโปรโมทให้เป็นจุดหรือส่วนแหลมที่อยู่เหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ (Mainland) ทวีปยุโรป จริงๆแล้วส่วนที่เป็นทวีปยุโรปทั้งหมดยังรวมถึงเกาะ Greenland ด้วย ซึ่งอยู่เหนือสุดจริงๆของยุโรป แต่เค้าไม่นับว่าเป็นส่วนแผ่นดินใหญ่ของทวีป
• Nordkapp จริงๆแล้วก็ถือว่ายังอยู่บนเกาะชื่อ Magerøya เหนือขึ้นไปจาก Hammerfest แต่กั้นด้วยช่องแคบเล็กๆซึ่งสามารถขับรถข้ามผ่านไปเกาะนี้ได้ ดังนั้นเค้าจึงนับว่ายังเป็นส่วนแผ่นดินหลักอยู่
• อย่างไรก็ตามจุดที่เป็นส่วนเหนือสุดของแผ่นดินทวีปยุโรปจริงๆก็ยังไม่ใช่ Nordkapp ตามแผนที่ภูมิศาสตร์ เพราะจะมีอีกแหลมทางทิศตะวันตกของ Nordkapp ยื่นออกไปในทะเลมากกว่าที่แหลมเหนืออีกประมาณกิโลครึ่ง เรียกว่า Knivskjellodden ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดจริงๆ แต่ไม่มีถนนให้รถเข้าไปถึงได้ ต้องเดินเท้าอ้อมจากฝั่งแหลมเหนือและมีปีนเขาด้วยจึงจะถึงจุดนี้ครับ เรียกว่าเหมาะสำหรับนักสำรวจจริงๆที่ต้องการพิชิตเข้าถึงจุดนี้
• ดังนั้นผมสรุปอย่างนี้ครับว่า Nordkapp คือจุดที่อยู่เหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ทวีปยุโรปที่รถสามารถขับเข้าถึงได้มีการคมนาคมที่อำนวยความสะดวกให้ครับ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการมาสัมผัสประสบการณ์แบบไม่ต้องลำบากอะไร แต่ถ้าต้องการความท้าทายหรือพิชิตจุดเหนือสุดจริงๆต้องเดินอ้อมไปที่แหลมชื่อ Knivskjellodden
[ประวัติความเป็นมาของที่นี่:]
• เมื่อสมัย 100 กว่าปีก่อน การเดินทางมาที่แหลมเหนือนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก คือต้องนั่งเรือมาจอดที่ท่าและปีนผาขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีถนนเข้าถึงเหมือนตอนนี้ และยังไม่มีอาคารรับรองใดๆเป็นเพียงที่ราบสูงโล่งๆบนหน้าผาเท่านั้น ดังนั้นคนกลุ่มแรกๆที่มาบุกเบิกแหลมตรงนี้จึงเป็นพวกนักสำรวจโลก หรือบุคคลชั้นสูงมากๆอย่างกษัตริย์ชาติต่างๆในยุโรป เช่น พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปที่ 1 แห่งฝรั่งเศส, สมเด็จพระราชาธิบดีออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดนและนอร์เวย์, จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมัน รวมถึง รัชกาลที่ 5 จากสยามประเทศ
• ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) ทางนอร์เวย์ได้มีการก่อสร้างอาคารรับรองนักท่องเที่ยว (อาคารจุดชมวิวปัจจุบันที่มีสัญลักษณ์ลูกโลกตั้งอยู่) คือ North Cape Center หรือ Nordkapphallen ระหว่างการก่อสร้างได้ขุดเจอแผ่นหินที่มีสลักอักษร “จปร.” ซึ่งเค้าก็ไม่เข้าใจคืออะไรเพราะไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น และ “1907” พอเดาได้ว่าเป็นปี ค.ศ.น่าจะเป็นปีที่คนขึ้นมาบุกเบิกแล้วสลักเอาไว้เป็นหลักฐานว่ามาถึงแล้ว สืบค้นไปค้นมาจนได้ความกระจ่างจากภาพถ่ายเป็นภาพทรงถ่ายของ ร.5 ร่วมกับช่างแกะสลักและกะลาสีเรือที่นำเสด็จขึ้นมาที่นี่ ล้อมรอบแผ่นหินสลักที่เจอนี้ ในอัลบั้มภาพทรงถ่ายที่เก็บรักษาไว้ในสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติที่ไทย ทางนอร์เวย์อยากจะอนุรักษ์ศิลาประวัติศาสตร์นี้ไว้จึงได้สร้างอาคารล้อมเก็บหินก้อนนี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ขยับตำแหน่งที่เจอ ปัจจุบันถ้าใครไปเที่ยวที่นี่จะเห็นเป็นจุดแรกสุดของอาคารรับรองเป็นโถงด้านหน้าของอาคาร
• ปี พ.ศ.2532 มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลนอร์เวย์จัดทำพิพิธภัณฑ์สถานไทย ณ นอร์ทแคป แสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ และสมเด็จพระเทพฯเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดที่นี่เมื่อ 22 มิ.ย.2532
มาถึงจะมีเหมือนด่านเก็บค่าเข้าสถานที่ คิดต่อคน ตอนที่ไปเป็นกลุ่มทัวร์เลยไม่ทราบเรทราคาครับ แต่เท่าที่เช็คในเว๊บไซท์ของที่นี่มาราคาล่าสุดตามนี้
• ผู้ใหญ่ 285 NOK (1,0XX บาท)
• เด็ก (อายุไม่เกิน 14 ปี) 95 NOK (3xx บาท)
• ครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 + เด็ก 2) 665 NOK (2,4xx บาท)
ค่าตั๋วนี้รวมอะไรบ้าง คือ
• ค่าที่จอดรถ
• ค่าเข้าชมภาพยนตร์ Nordkapp สภาพในทุกฤดูกาล (เค้าห้ามอัดวีดีโอ)
• ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ภายในและอุโมงค์แสง
• อยู่ภายในนี้ได้ 24 ชั่วโมง
# ไม่รวมค่าอาหารและเครื่องดื่มในส่วน Restaurant & Café ต้องจ่ายเพิ่มเอง ซึ่งเท่าที่ผมดูราคาแพงใช่เล่นอยู่ อาหารก็ประมาณ Snack ง่ายๆตามรูปด้านล่างนี้
ด้านในจะมีอาคารรับรองรูปโดมและส่วนที่เป็นร้านขายของที่ระลึกต่างๆด้วย ในนี้มีโบสถ์เล็กๆหรือ Chapel และที่ทำการไปรษณีย์ด้วย ซึ่งทั้งหมดต้องนับว่าเป็นที่อยู่เหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ของยุโรป ทางเข้าด้านหน้าตรงป้าย Nordkapp มีระบุพิกัดที่นี่ชัดเจนคือ เส้นละติจูดที่ 71 degrees 10' 21"N อยู่เหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล
[จุดไฮไลท์ต่างๆของที่นี่:]
• ลูกโลกบนลานที่เป็นสัญลักษณ์จุดชมวิวที่นี่ มองลอดออกไปจะเห็นเป็นแหลมที่อยู่เหนือสุดจริงๆที่ชื่อ Knivskjellodden และเป็นบริเวณที่นักท่องเที่ยวจะรอขึ้นมาชมอาทิตย์กำลังอยู่ตรงขอบฟ้าที่เวลาเที่ยงคืนแล้วก็ค่อยๆขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่าเป็นดินแดนที่สว่างเป็นเวลานานที่สุดในช่วงหน้าร้อน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสำหรับจุดที่อยู่เหนือๆของโลกที่เป็นทรงกลม
• อย่างที่เกริ่นไปคือแผ่นหินประวัติศาสตร์ที่แกะสลักคำว่า “จปร.” มีการกั้นไว้อย่างดี เห็นว่ามีคนโยนเหรียญกับแบงค์ลงไปกันเยอะเลย และภายในพิพิธภัณฑ์สถานไทยที่มีพระบรมรูป ร.5 ประดิษฐานอยู่ ทั้งคนไทยในนอร์เวย์และคนไทยที่ไปเที่ยวที่นี่ต่างก็ไปสักการะอยู่
• บริเวณลานกว้างภายนอกอาคาร ยังมีผลงานประติมากรรมที่เป็นเหรียญหินแกะสลลักเป็นลายต่างๆ ผลงานออกแบบของเด็กชาติต่างๆ รวมถึงเด็กไทยที่ชื่อ สิทธิเดช (มีเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษไว้) ตั้งตระหง่านให้ชาวต่างชาติได้ชื่นชม เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความสมัครสมานสามัคคี ผลงานของเด็กๆ จาก 7 ชาติ ได้แก่ อเมริกา รัสเซีย แทนซาเนีย บราซิล ญี่ปุ่น อิตาลี และ เด็กไทย เป็นเหรียญขนาดยักษ์ตั้งอยู่ 7 ชิ้น แสดงความหมายถึงการไม่แบ่งชนชั้น สีผิว หรือวรรณะ ซึ่งเด็กไทยเราออกแบบเป็นตัวไดโนเสาร์ อยู่บนเหรียญ
## ฤดูร้อน ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ให้ความสว่างในเวลาเที่ยงคืน
## ฤดูหนาว ที่นี่เป็นจุดชมแสงเหนืออีกที่หนึ่งเพราะใกล้ขั้วโลก
หลังจากชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมเดินทางออกมาเพื่อข้ามไปยังประเทศถัดไปนั่นคือ Finland ก่อนอื่นเราก็ต้องแวะพักกันก่อน โดยเช้านี้แวะพักกันก่อนที่ Rica Hotel เช่นเคย แต่อยู่ใน Sapmi Park เป็นอุทยานและหมู่บ้านอนุรักษ์วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองยุโรปเหนือ Sami ในย่าน Karasjok เขต Finnmark ตอนบนสุดของประเทศนอร์เวย์ ติดรอยต่อเข้าประเทศฟินแลนด์
Sami “ชาวซามี” เป็นชนพื้นเมืองในทวีปยุโรป อาศัยอยู่ในเขตแลปแลนด์หรือแซปมิ ซึ่งอยู่ในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และคาบสมุทรโกลา รัสเซีย ชาวซามีพูดภาษากลุ่มซามี ซึ่งอยู่ในภาษากลุ่มฟินโน-ยูกริก ตระกูลภาษายูราลิก ปัจจุบัน ประมาณการกันว่ามีชาวซามีทั้งหมด 75,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในนอร์เวย์ (คล้ายกับชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย)
ที่ชุมชนนี้ตอนที่ไปเป็นช่วงหน้าร้อนครับ อากาศไม่หนาวจัดมาก อุณหภูมิน่าจะราวๆ 10-20C กิจกรรมภายในอุทยานและชุมชนนี้หลักๆคือ โรงฉายภาพยนตร์ที่ชื่อ Siida เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่เขต Lapland นี้ รวมทั้งจัดแสดงเกี่ยวกับพวกสัตว์ต่างๆในเขต Artic ตรงนี้ รวมถึงวิถีการใช้ชีวิตของชนพื้นเมืองซามีจากเครื่องใช้ไม้สอย รวมถึงเครื่องแต่งกายประจำชนพื้นเมืองที่เป็นสีน้ำเงินตัดกับแดง (ตามรูปล่าง)
ยังมีส่วนที่เป็นบ้านกระท่อมหลังๆจัดจำลองวิถีการใช้ชีวิตของคนที่นี่อีกด้วย ในบริเวณอุทยานนี้ก็จะมีโรงแรม Rica Hotel ให้ได้พัก และที่ขาดไม่ได้คือ ร้านขายของที่ระลึก งานฝีมือต่างๆของชาวซามี เครื่องเงิน งานเป่าแก้ว
ในบริเวณจะมีร้านอาหาร (อาหารพื้นเมืองต้องมีเนื้อกวางเรนเดียร์ เบอร์รี่ป่า ปลา) และคาเฟ่ด้วยให้บริการ นทท แต่จะเปิดเฉพาะช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ถ้าหน้าหนาวอากาศค่อนข้างหนาวจัดมากแต่จะมีกิจกรรมอื่นๆเข้ามาอย่างเช่น ให้อาหารกวางเรนเดียร์ (เขต Lapland ได้ขึ้นชื่อว่ามีประชากรกวางเรนเดียร์อาศัยมากกว่าคนเสียอีก) การร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับชาวซามี
[อัตราค่าเข้าอุทยานและบริการ:]
ผู้ใหญ่ 195 NOK (700 บาท)
เด็ก (ต่ำกว่า 12 ปี) 145 NOK (5xx บาท)
ครอบครัว (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2) 500 NOK (1,7xx บาท)
ให้อาหารกวางเรนเดียร์ 50 NOK (180 บาท)
จบ EP.3 แล้ว ติดตาม EP.4 (Finale) Finland & Sweden ได้ในโอกาสต่อไปครับ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ