เดินทางล้อหมุนจากหาดใหญ่เวลา 8:00 น.ไปถึงพัทลุงแล้ว 10:00 น. เริ่มเที่ยวกันที่ตลาดป่าไผ่ ตะลุยกินตะลุยชิมของทานเล่นพื้นบ้าน ฟังดนตรีสด การละเล่นเครื่องดนตรีไทยของกลุ่มนักเรียน หรือนั่งชมหนังตะลุง มาที่นี่ก็อร่อยและสนุกแบบครบรส แถมราคาอาหารยังถูกแสนถูก เน้นใช้วัสดุตามธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เองใส่เป็นจานรองอาหาร เพื่อลดการใช้หลอดและถุงพลาสติก หรือใช้เท่าที่จำเป็น ถือเป็นอีกแหล่งที่เน้นการท่องเที่ยวแบบหัวใจสีเขียว
หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว พิกัดต่อไปเราจะเอาตัวไปแช่น้ำเย็นๆในลำธารกับการล่องแก่งสุดฟินกันที่หนานมดแดง ต
ค่าบริการคนละ 200 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงระยะทาง 6 กิโลเมตร
ระหว่างทางถ้าหิวก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีร้าน 'พ่อลุงใจดีเซเว่นชายคลอง' ที่เป็นจุดพักเล่นน้ำและมีของทานเล่นรวมถึงเครื่องดื่มคลายร้อน หากใครไม่ได้พกเงินมานั่นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปเพราะมีบริการเก็บเงินปลายทาง
หลังจากล่องแก่งมาเหนื่อยๆ ก็ต้องเพิ่มพุงกันอีกสักรอบ
เวลานี้ต้องการอาหารพื้นบ้านเลยพุ่งตัวมาที่ร้านอาหารสามกั๊ก บรรยากาศดี นั่งทานข้าวในลานทะเลบัว ฟังเพลงโฟล์คซอง ดื่มด่ำกับอาหารอร่อยๆ อย่าง
แกงส้มปลากดลูกเขาคัน (เนื้อปลาคือยิ่งกินยิ่งฟิน)
ผักเหลียงผัดไข่ (จานนี้มีเบิ้ล)
ยำมะม่วงปลากระพง 350 บาท
กุ้งแม่น้ำเผา (วันนี้มีไซส์มินิ ครึ่งโล 400 บาท)
นกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำนี้นอนที่อารียาปาร์ค คอฟฟี่ ออร์ ทรี
เป็นทั้งที่พักและศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตพอเพียงเพราะที่นี่เป็นมากกว่ารีสอร์ท สกิลการจัดสวนขั้นเทพของคุณอารีย์เจ้าของสถานที่ ที่นำธรรมชาติมาสร้างความสุข
และให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้าใช้บริการห้องพัก ร้านอาหาร และอารียาคอฟฟี่ออร์ทรีคาเฟ่
เราพักกันที่ห้องบ้านพุดสีดาเป็นบ้านไม้เรือนไทย ห้องนี้จะเป็นห้องรวมสำหรับ 3 ท่านมีฟูกวางบนพื้น สามารถเพิ่มเตียงเสริมได้อีก 1 ท่านซึ่งทริปนี้เรามากัน 4 คนพอดี ราคาห้องพักอยู่ที่ 1,200 บาท + เตียงเสริม 300 บาท รวมเป็น 1,500 บาท ราคานี้ได้รวมอาหารเช้าสำหรับ 4 ท่านแล้ว
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องมีครบครันไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู ผ้าขนหนู เครื่องปรับน้ำร้อน TV ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ
บริเวณหน้าห้องพักเป็นวิวสวนลำธารและสะพานข้ามไปยังเกาะศาลากลางน้ำได้บอกได้คำเดียวว่าโดนใจคนที่รักธรรมชาติเป็นที่สุด บริเวณทางเดินไปยัง lobby นอกจากมีไม้ดอกไม้ประดับยังมีพืชผักสวนครัว เรียกว่าทางรีสอร์ทได้ใช้สอยพื้นที่ครบทุกตารางเมตร
มื้อเช้าของรีสอร์ทจะจัดเป็นอาหารง่ายๆวันนี้มีข้าวต้มหมูสับรสชาติกลมกล่อมอร่อยหมูชิ้นโต วันที่เข้าพักมีกรุ๊ปใหญ่ของคณะครูเราจึงได้พลอยอานิสงส์ทานขนมจีนแกล้มด้วยผักปลอดสารพิษนานาชนิด
นอกจากนั้นก็ยังมีปาท่องโก๋ขนมปังปิ้งโอวัลตินและกาแฟรองรับอีกด้วย
อร่อยกับอาหารเช้าที่อารียาปาร์ค coffee or tree เรียบร้อยแล้วก็มาใช้บริการคาเฟ่ของที่พักกันต่อเมนู signature คือ areeya coffee เป็นกาแฟสดเมล็ดพันธุ์จากเชียงใหม่คั่วกลางผสมกับน้ำผึ้งหอมอร่อยชื่นใจแก้วละ 55 บาท
คาเฟ่แห่งนี้นอกจากจำหน่ายเครื่องดื่มของหวานแล้วยังมีจำหน่ายอาหารเช้าแก่ผู้ที่ไม่ได้มาเข้าพักอีกด้วย เมนูค่อนข้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มปลาหรือติ่มซำที่ขึ้นชื่อ
ตลาดสีเขียว . . . ที่เลี้ยวมาก็เจอกับความสุข เพราะตลาดแห่งนี้ได้สร้างความสุขให้กับคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง อาหารต่างที่จำหน่ายล้วนเป็นผลิตภัณฑ์พื้นเมืองของพัทลุงให้ได้เลือกชมเลือกช็อปกลับบ้าน รวมถึงงานจักสานอย่างกระเป๋ากระจูด งานศิลปะ ของเล่นที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติอย่างกะลามะพร้าวเครื่องปั้นดินเผา ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชน ทำให้ชุมชนแห่งนี้เข้มแข็งมากขึ้น
ความแตกต่างของตลาดใต้โหนดกับตลาดชุมชนอื่นคือการตกแต่งร้านและพื้นที่ของตลาด ที่เน้นใช้วัสดุธรรมชาติมาดัดแปลงออกแบบให้มีความทันสมัย ภาชนะใส่สินค้าจะต้องนำวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่นที่มีอยู่มารังสรรค์ให้กลายเป็นภาชนะสุดเก๋ ลดใช้โฟมและพลาสติก
สำหรับวันนี้เราก็ได้เลือกชิมอาหารหลายอย่างและได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย
แดดร่มลมตกวันนี้้้้แวะมาเดินเล่นที่นาของบรรพบุรุษที่นาโปแก ชื่อนี้มีที่มา
คำว่านาโปแก เป็นภาษาพื้นบ้านท้องถิ่น
'นา' คือ พื้นดินที่ราบ กั้นเป็นเป็นแปลง หรือคือนาข้าว
'โป' คือ ปู่หรือพ่อของพ่อ
'แก' บรรพบุรุษ
นาโปแก รวมกันแล้วหมายความว่านาของคุณปู่หรือนาของบรรพบุรุษนั่นเอง
นาโปแกเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีเกษตรกรไทย ที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นตั้งแต่การเกี่ยวข้าว ไถนา ดำนา เลี้ยงควาย ขุดบ่อปลา มีควายตัวเป็นๆ ไว้สำหรับให้เราป้อนอาหาร มีร้านค้าขายของกินของทานเล่นและร้านกาแฟ มีทุ่งนา สะพานไม้ ทุ่งดอกปอเทืองไว้สำหรับให้เราเก็บภาพความประทบใจเมื่อมาเที่ยว ณ ที่แห่งนี้
ของดีควนขนุน ต้องลองชิมสาคูแท้ๆ กันที่ร้าน 'ขนมหวานป้ากี้'
ร้านป้ากี้มีขนาดไม่ใหญ่ ในร้านมีโต๊ะเก้าอี้ให้เลือกนั่ง ส่วนตรงกลางร้านเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ที่วางหม้อขนมหวานสารพัดชนิดไว้เช่น ลูกเดือย ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพดเปียก รวมมิตร ฟักทองบวด กล้วยเชื่อม ฟักทองเชื่อม มันเชื่อม ฯลฯ
แต่เมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องสั่งเมื่อมาถึงร้านแล้วนั่นคือ “สาคูเปียก” ที่ทำมาจากสาคูต้น ไม่ใช่แป้งมันเหมือนร้านทั่วไป ด้านนอกจะใส ข้างในจะขุ่น ใส่น้ำตาลและกวนจนเป็นสีน้ำตาลแดงดูน่าทาน เนื้อสาคูเหนียว นุ่ม เด้ง
อร่อยทุกอย่างในราคาถ้วยละ 10 บาท
ก่อนจบล่องใต้ทริปนี้ จะพามาชิมอาหารอร่อย บรรยากาศดี ที่ริมคลองปากประ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง มานั่งกินลม ชมวิวยอ ในบรรยากาศแบบชิลๆ พร้อมกับการรับประทานอาหารอร่อยที่ร้านบางชาม ชื่อนี้อร่อยทุกชาม
ตัวร้านเป็นระเบียงไม้ยื่นไปในน้ำ และมีซุ้มหลังคากั้นเป็นห้องโถงขนาดกลางสำหรับบังแดดในเวลากลางวัน แต่อบอุ่นและกลมกลืนกับธรรมชาติ ทุกมุมที่นั่งเปิดโล่ง และสามารถชมบรรยากาศโดยรอบได้ บริเวณลานด้านหน้าถือเป็นจุดไฮไลท์ที่ใครๆ มาก็ต้องอยากนั่ง เพราะสามารถนั่งชิว กินลมชมวิว ทานอาหารอร่อยๆ ไปกับการชมยอริมน้ำ
เมนูแนะนำวันนี้เริ่มต้นที่
ผัดสายบัวพริกไทยดำ (120.-)
สายบัวแน่นๆ กุ้งเน้นๆ รสชาติเผ็ดพริกไทยน้อยๆ เรียกน้ำย่อยมื้ออาหารเย็นได้เป็นอย่างดี
แกงส้มปลากระบอกลูกเขาคันสายบัวหัวมันขี้หนู (150.-)
จัดจ้านในย่านนี้กับแกงส้มแบบถึงเครื่อง เครื่องเคียงแน่น เนื้อปลาอร่อย
ผัดกะปิสะตอกุ้ง (130.-)
เปรี้ยวอมหวานเผ็ดนิดๆ ทานคู่กับข้าวสวยแค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แกงคั่วเนื้อปูใบชะพลู (180.-)
เป็นจานที่แพงที่สุดในมื้อนี้ แต่ก็ถูกที่สุดสำหรับทุกๆ มื้อถ้าเทียบกับปริมาณเนื้อปูกับความอร่อย แนะนำว่าควรสั่งมากิน
มื้อเย็นสำหรับสี่คนในราคา 820 บาทรวมข้าว เครื่องดื่มอย่างน้ำเปล่า โค้ก และสปายเรด ยังไงก็มีความคุ้ม
จบมื้อนี้เราเดินทางกลับหาดใหญ่โดยใช้เส้นสะพานเอกชัยข้ามไปฝั่งระโนดแล้วใช้ทางลัดกลับเข้าหาดใหญ่โดยสวัสดิภาพ
ส่งหัวใจและแชร์ทริปนี้เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าของบทความ