ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังร้อนระอุ อุณหภูมิสูงเสียดฟ้าถึง 40 องศาเซลเซียส เราเลยมีความคิดอยากหลีกหนีอากาศร้อนไปสัมผัสอากาศเย็น ๆ ต่างประเทศ เราเลยบินลัดฟ้าข้ามน้ำข้ามทวีปไปไกลถึงที่เที่ยวยุโรป ที่เที่ยวหน้าหนาวยอดฮิต~ แต่จะไปเที่ยวยุโรปที่ไหนดี? วันนี้เรามีคำตอบ ประเทศที่เราเลือกก็คือออสเตรีย วันนี้เราจะไปยังเมือง “ฮัลล์สตัทต์” (Hallstatt) ที่เที่ยวออสเตรีย เมืองท่องเที่ยวเล็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาและติดริมทะเลสาป “Hallstätter See or Lake Hallstatt” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสวยมากและควรมาเยือนสักครั้งในชีวิต! ส่วนบรรยากาศจะดี วิวจะสวยขนาดไหนตามมาชมกันเลยค่า~

ซึ่งการเดินทางมาเที่ยวฮัลล์สตัทต์ก็สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งรถทัวร์ รถชัตเทิลบัส รถเช่าส่วนตัว หรือรถไฟความเร็วสูง สำหรับเราเดินทางมาจากสนามบิน “Vienna International Airport” โดยใช้รถไฟความเร็วสูงของ ÖBB นั่งประมาณ 4 ชั่วโมงก็จะมาถึง Hallstatt Bahnhof ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองฮัลล์สตัทต์ แล้วเราก็ต้องนั่งเรือข้ามฟากต่อไปยังฝั่งเมืองเมืองฮัลล์สตัทต์
· 1 EUR = 35 บาท (ราคาช่วงกลางมีนาคม 2562)
· เดินทางจาก ออสเตรีย - ฮัลล์สตัทต์ โดยรถไฟความเร็วสูง ÖBB ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
· ค่าเดินทาง 24 EUR (ประมาณ 840 บาท)

1Heritage Hotel Hallstatt
มาถึงเมืองฮัลล์สตัทต์เราก็เข้าเช็คอินกันก่อนเลย~ เราเลือกที่พักฮัลล์สตัทต์ที่มีท่าเรือมาลงบ่อยที่สุดคือโรงแรม “Heritage Hotel Hallstatt” เพราะเรามาพร้อมกับกระเป๋าลากใบใหญ่จะได้ขนของสะดวกแค่นั้นเอง ฮ่า ๆ ห้องที่เราพักมีขนาดกะทัดรัดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป มีห้องน้ำในตัว ที่ประทับใจมากคือเครื่องอาบน้ำเป็นของ L’Occitane อีกด้วย! แถมตื่นเช้ามาเราจะได้เห็นวิวทะเลสาบสวย ๆ พร้อมจิบกาแฟร้อน ๆ มันฟินจริง ๆ นะเธอ~ แต่ราคาแอบแพงไปนิดหนึ่ง ช่วงเช้าเรากินอาหารในที่พัก ซึ่งอาหารส่วนใหญ่เป็นพวกขนมปังแบบต่าง ๆ แฮม ซาลามี่ ไส้กรอก ผลไม้ต่าง ๆ มีแซลมอนรมควันและปลาซาบะสำหรับชาวเอเชียด้วย เด็ดมาก! แต่ที่เด็ดจริง ๆ ต้องครัวซองต์เลยค่ะ ทั้งกรอบนอกนุ่มในสุด ๆ อยากหอบกลับมาไทยมาก
Website : https://www.hotel-hallstatt.com/en/index.html


2ถ่ายรูปมุมมหาชน
สำหรับมุมนี้เป็นมุมที่แสดงถึงบรรยากาศที่สวยงามของเมืองฮัลล์สตัทต์ได้ดีมาก มองเห็นบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาปและไหล่เขาไล่เรียงไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งวิวทะเลสาบที่เห็นนกบินไปมา หงส์และเป็ดแหวกว่ายกันสนุกสนาน และยังมองเห็นโบสถ์ “Hallstatt Lutheran Church” เป็นโบสถ์ประจำเมืองอีกด้วย เสน่ห์ของที่นี่คือ เมื่อเรามาถ่ายภาพมุมนี้ แต่ละฤดู อารมณ์ภาพและสีสันจะแตกต่างกันไป ฤดูหนาวจะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ฤดูใบไม้ผลิดอกไม้จะมีสีสันสดใส ฤดูใบไม้ร่วงจะมีสีส้ม เหลือง แดง ของใบไม้ที่ร่วงโรย มาช่วงไหนก็ดีทั้งนั้นเลยค่ะ


3โบสถ์ Hallstatt Lutheran Church
ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของเมืองฮัลล์สตัทต์ ก็จะมองเห็นยอดโบสถ์แห่งนี้เด่นเป็นสง่า โบสถ์ “Hallstatt Lutheran Church” ถูกสร้างขึ้นช่วงปี ค.ศ. 1785 ภายใต้คำสั่งของ Emperor Franz Joseph I เป็นศิลปะแบบ Gothic สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ด้านในจัดแสดงประวัติของเมืองนี้ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา มีเทียนไว้กลางโบสถ์ให้จุดเพื่ออธิษฐาน ใครมาเที่ยวฮัลล์สตัทต์ห้ามพลาดเด็ดขาด

4Salzkontor
ระหว่างทางตามถนนทางเดินจะมีร้านขายของที่ระลึกมากมาย เราขอแนะนำให้มาที่ร้าน “Salzkontor” เป็นร้านที่รวบรวมผลิตภัณฑ์จากเกลือ ทั้งเกลือสำหรับทำอาหาร ขัดผิว แม้กระทั่งน้ำเกลือพ่นจมูกก็มี เจ้าของร้านบอกว่าร้านนี้เด็ดสุดแล้ว! ฮ่า ๆ



5เดินชมเมืองฮัลล์สตัทต์
พาไปชมที่เที่ยวฮัลล์สตัทต์กันต่อ... เดินไปเดินมาเราก็เจอกับหมู่บ้านที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ที่เลื้อยไปตามผนังของหมู่บ้าน น่าทึ่งมาก! ภาพต้นไม้เลื้อยไปตามผนังบ้านในแนวราบ และแตกกิ่งก้านสาขาสวยงาม เก๋เวอร์! แค่เดินทอดน่อง ชื่นชมบ้านเรือนก็มีความสุขแล้ว แต่จุ๊ ๆ ห้ามส่งเสียงดังนะคะ เพราะเป็นเขตบ้านเรือนมันจะเสียมารยาทและเป็นการรบกวนชาวเมืองด้วย อากาศดี ๆ แบบนี้เดินชมเมืองไปชมต้นไม้ไปก็เพลินไม่น้อยแถมได้ไอเดียกลับมาแต่งบ้านเยอะเลย





เป็นไงบ้างกับเมืองสวยในฝันที่เที่ยวฮัลล์สตัทต์ จริง ๆ แล้วเราสามาถเดินทางไปเที่ยวได้ทั้งแบบ 1 Day Trip หรือ 2 วัน 1 คืนก็ได้ ข้อดีของการค้างคืนคือหลังจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากกลับไปแล้ว เมืองจะเงียบทำให้เรามีเวลาได้ดื่มด่ำบรรยากาศของที่นี่ได้อย่างเต็มที่ ตื่นเช้ามาเจอวิวสวย ๆ เหมือนภาพวาด แค่นี้ก็ทำให้หัวใจพองโตมากแล้วนะ จริง ๆ เมืองนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำอีกเพียบอย่างการขึ้น cable car เพื่อเข้าไปดูเหมืองเกลือ หรือการนั่งรถไปชมเมือง Obertraun ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน เราขอสรุปให้ว่าควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต!


เรายังมีบทความที่เที่ยวต่างประเทศอีกเพียบ!