ทุกวันนี้เวลาเดินเข้าคลินิกความงาม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหนต่างก็ขยันโปรเมททรีตเมนต์เมโสหน้าใสมาให้สาว ๆ ได้ลองทำสวยกันแบบไม่น้อยหน้า ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้เข็มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอน ส่งผ่านวิตามินและสารบำรุงอื่น ๆ เข้าสู่ชั้นด้านในผิวแบบถึงที่ แต่หลายคนอาจจะมีคำถามว่า จริง ๆ แล้วเมโสคืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง และจะได้ผลจริงไหม วันนี้ Wongnai Beauty ได้หาคำตอบเรื่องเมโสมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ อยากให้สาว ๆ ได้ศึกษากันก่อนจะไปทำจริงนะคะ
1. เมโสหน้าใสคืออะไร ?
เมโสหน้าใส ก็คือการทำทรีตเมนต์รักษาปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำต่าง ๆ โดยใช้เข็มขนาดเล็กในการเจาะผ่านเข้าไปในผิวหนังชั้นกลาง (เรียกว่าชั้น Meso) เพื่อนำสารจำพวกมัลติวิตามิน แอนติออกซิเดนท์ หรือสารบำรุงผิวตัวอื่น ๆ ไปยังชั้นผิวหนังด้านใน ซึ่งเป็นส่วนผสมของครีมที่ดูดซึมยาก ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิวให้เต่งตึงคล้ายผิวแอปเปิ้ลค่ะ

2. เมโสหน้าใส เจ็บหรือไม่ ?
คำว่าเข็มมักจะมากับความรู้สึกหวาดเสียวอยู่เสมอ (เราก็เป็นค่ะ) จริง ๆ แล้วการฉีดเมโสจะไม่เจ็บค่ะ เพราะเราแทบจะไม่รู้สึกถึงเข็มที่เจาะลงไปเลย เนื่องจากเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก และแทงลงไปในชั้นผิวลึกประมาณ 5-10 มิลลิเมตรเท่านั้น อาจจะมีเพียงแต่ความร้อนที่อาจรู้สึกได้เล็กน้อย ซึ่งจะหายไปในเวลาประมาณ 10-20 นาที ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเนอะ เพราะว่าเราสามารถสวยได้โดยไม่เจ็บตัวนั่นเอง!


Source : 1
3. เมโสช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
สารที่ฉีดเข้าไปเป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดริ้วรอย และหน้าเรียบเนียนสม่ำเสมอ แต่เนื่องจากผิวหน้าของแต่ละคนมีลักษณะต่างกัน เราควรให้คุณหมอตรวจประเมินเพื่อจะได้ทราบว่าผิวหน้าของเรานั้นเหมาะกับเมโสตัวไหนก่อน ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ค่ะ
- เน้นหน้าขาว มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ เช่น Vitamin A, B,C และ E, Transamin และ Glutatione
- เน้นหน้าใส จะมีส่วนผสมของคอลลาเจน และ โคเอนไซม์ เป็นหลัก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ให้ผิวฟูขึ้น กระชับรูขุมขน
- เน้นลดสิว-แก้ผื่น จะช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมออก ช่วยลดสิว เมโสยี่ห้อที่มีจุดเด่นด้านนี้คือ มาเด้-คอลลาเจน

4. เทคนิคแบบสะกิด VS แบบ 16 จุด
การฉีดเมโสหน้าใสมีอยู่ 2 เทคนิคค่ะ ได้แก่ แบบสะกิดและแบบ 16 จุด ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทางที่ดีอยากแนะนำให้ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ เพราะถ้าระหว่างฉีดไม่สะอาดพอจะเกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้ (ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนไข้ที่ซื้อเมโสมาฉีดเองค่ะ) ซึ่งเราได้ทำตารางเปรียบเทียบความต่างของเมโสทั้งสองเทคนิคมาให้ดูแล้วจ้า


5. ผลลัพธ์อยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
การฉีดเมโสใน 1 เดือนแรกจะฉีดอาทิตย์ละครั้ง และหลังจากนั้นจะฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพไว้ และเมโสหน้าใสไม่มีแบบถาวรนะคะ เค้าจะสลายหมดไม่มีสารตกค้างจ้า
- เริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด
- เห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน
- อยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน

6. เหมาะกับใครบ้าง ?
- คนที่ขี้เกียจทาครีม และต้องการผลที่ไวกว่าการทาครีม
- คนที่ไม่มีเวลาดูแลตนเอง อดนอน ทำงานหนัก
- คนที่มีปัญหาสิวและผดผื่น หน้าไม่เนียน

7. มีข้อเสียอะไรบ้าง ?
บางรายอาจเกิดแผลเป็นขึ้นบนใบหน้า หากแพทย์แทงเข็มเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกกว่าที่ควร ซึ่งสาว ๆ ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น หรือในกรณีของคนที่ผิวบาง อักเสบง่ายก็อาจจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง ผิวหน้าอาจมีการอักเสบรุนแรง หรือเกิดความผิดปกติได้ นอกจากนั้นหลังจากการทำทรีตเมนต์ควรจะต้องรักษาความสะอาดผิวหน้าเป็นพิเศษ เพราะผิวอาจจะติดเชื้อง่าย หรือเกิดสิวจากการสะสมของแบคทีเรีย ฟังแล้วดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นสาว ๆ ต้องเลือกใช้บริการจากคลินิกที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรอง และต้องเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้นนะ!
ข้อห้ามหลังฉีดเมโสหน้าใส

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับการพาไปเจาะลึกการทำเมโสหน้าใสในวันนี้ ข้อมูลแน่นสุด ๆ เห็นแล้วเราก็อยากที่จะทำกันเลยใช่ไหมล่ะคะ ครั้งหน้า Wongnai Beauty จะพาสาว ๆ ไปเจาะลึกศัลกรรมเรื่องอะไรอีก ติดตามได้เลยนะคะ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
"จัดฟัน" มีกี่แบบ? รวมเรื่องต้องรู้ก่อนจัดฟัน!
คู่มือตัดแว่นฉบับมินิมอล เลือกให้เหมาะ สายเนิร์ดก็ชิคได้!
10 น้ำหอมสุดคลาสสิก ฮิตตลอดกาล พร้อมวิธีเลือกกลิ่นให้เหมาะสม!