เหล่าคอเบียร์ทั้งหลายเคยถามใจตัวเองบ้างมั้ย!? ว่าเบียร์ที่เราดื่มทุกวันนี้มีส่วนผสมของอะไรบ้าง? กรรมวิธีการผลิตเบียร์นั้นเป็นมาอย่างไรและมีกี่ประเภท? อย่ารอช้า! ถ้าได้อ่านคัมภีร์นี้ รับรองว่าได้ความรู้แน่นปึก! แล้วจะได้คุยโม้กับเพื่อนๆ แบบเซียนเหมือนโตมาในถังเบียร์!!
"เบียร์มาจากอะไร?"
เบียร์เกิดจากส่วนประกอบหลัก 4 อย่าง คือ
- ยีสต์ (Yeast) - ยีสต์ถูกใช้สำหรับทำให้เกิดแอลกอฮอล์และก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ โดยยีสต์จะบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ "Top Ferment - Ale Yeast" ยีสต์ที่ทำงานที่ผิวหน้าของน้ำเบียร์ และ "Bottom Ferment - Lager Yeast" ยีสต์ที่ทำงานด้านล่างของน้ำเบียร์
- มอลต์ (Malt) - เมล็ดธัญพืชที่นำมาผลิตเบียร์ ชนิดมอลต์ที่ใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ผลิต มอลต์แต่ละแบบล้วนมีผลต่อสีและรสชาติของเบียร์
- ฮ็อปส์ (Hops) - ดอกฮ็อปส์เป็นพืชให้กลิ่นหอมและรสขม ช่วยเพิ่มอายุของเบียร์ มีหลายสายพันธุ์ที่ให้รสชาติต่างกันออกไป
- น้ำ (Water) - เบียร์มีส่วนประกอบเป็นน้ำประมาณ 95% ขึ้นไป ดังนั้นน้ำที่ใช้ผลิตเบียร์เป็นสิ่งที่ brewmaster หรือคนต้มเบียร์ต้องคำนึงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรสชาติหรือแร่ธาตุในน้ำ

"เบียร์ทำอย่างไร?"
- Mashing : การนำมอลต์บดหยาบต้มในน้ำอุ่นประมาณ 60 - 70 องศาเซลเซียส และนำไปต้มใน Mash Tun ผสมจนได้น้ำลักษณะเหลวข้นหวาน ๆ เรียกว่า Wort
- Boiling : นำ Wort มาต้มให้เดือดในอุณหภูมิ 100 องศา แล้วใส่ hops ลงไปตามสูตรที่ต้องการ
- Whirlpool : วนน้ำที่ต้มแล้ว ทำให้เกิดการตกตะกอนและเพื่อลดอุณหภูมิให้เหมาะสำหรับขั้นตอนในการหมักต่อไป
- Ferment : ย้ายน้ำ Wort มาใส่ในถังหมัก ใส่ยีสต์ตามชนิดที่ต้องการเพื่อให้ยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ โดยขั้นตอนนี้ต้องควบคุมอุณหภูมิ จนได้ค่าปริมาณแอลกอฮอล์ตามต้องการ การทำงานของยีสต์แบ่งเป็น 2 แบบตามประเภทของยีสต์คือ
- Ale Yeast คือยีสต์ที่ทำงานที่ผิวหน้าของน้ำเบียร์ (Top ferment) จะได้เบียร์ประเภท Ale
- Lager Yeast คือยีสต์ที่ทำงานด้านล่างของน้ำเบียร์ (Bottom ferment) จะได้เบียร์ประเภท Lager
5. Packaging : นำเบียร์ที่ได้มาบรรจุใส่ขวดกระป๋องหรือถัง ตามความต้องการของผู้ผลิต

"Craft Beer ต่างจาก Commercial Beer อย่างไร?"
Craft Beer คือชนิดของเบียร์ที่ต้องใช้ฝีมือ และความพิถีพิถันในการทำสมชื่อ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลิตด้วยความใส่ใจเพื่อรสชาติ และคุณภาพสำหรับผู้ดื่ม โดยมีเกณฑ์ที่บ่งบอกความต่างของ Craft Beer กับเบียร์เจ้าใหญ่จาก American Craft Associate ดังนี้
- Small - คราฟต์เบียร์มีต้องมีกำลังการผลิตไม่เกิน 6 ล้านบาร์เรล/ปี (ประมาณ 700 ล้านลิตร)
- Independent - คราฟต์เบียร์ไม่ผูกมัดโดยนายทุนเจ้าใหญ่ และเจ้าของต้องถือหุ้นของบริษัทมากกว่า 75%
- Traditional - ส่วนผสม และสารปรุงแต่งต่าง ๆ ที่ใส่ในคราฟต์เบียร์ทำเพื่อสร้างรสชาติที่แตกต่าง และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ได้ทำมาเพื่อลดต้นทุน

"เบียร์ Lager vs. เบียร์ Ale ?"
Lager
- ส่วนใหญ่มีรสชาติไม่ซับซ้อน เน้นเความสดชื่น ดื่มง่าย
- Bottom ferment คือยีสต์ที่ทำงานด้านล่างของน้ำเบียร์
- ใช้เวลาหมักประมาณ 2 - 3 เดือน
- หมักในอุณหภูมิต่ำ
- ส่วนใหญ่มีสีอ่อนและใส
Ale
- มีประเภทหลากหลายมากกว่า Lager Yeast
- Top ferment ยีสต์ทำงานที่ด้านบนของน้ำเบียร์
- ใช้เวลาหมักประมาณ 3 - 4 อาทิตย์
- หมักในอุณหภูมิที่สูงกว่า Lager
- ส่วนใหญ่มีสีเข้ม รสชาติหลากหลายกว่า Lager

"ทำความรู้จักประเภทของเบียร์ที่นิยมในไทย"

- Lager
เบียร์ลาเกอร์ คือเบียร์ที่ใช้ยีสต์ที่ทำงานที่ก้นของถังหมัก ส่วนใหญ่ใช้การผสมมอลต์ออกมาเป็นสีบลอนด์ทอง สีใส สดชื่น รสชาติคลีน ดื่มง่ายแนะนำ: Kona: Longboard (Lager - ABV 4.6%) Lager แห่งท้องทะเลจากฮาวาย ที่ดื่มแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น เหมือนเล่นเซิร์ฟอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น

- Pilsner
เบียร์ Pilsner ใช้ยีสต์ที่นอนก้นของถังหมักเช่นกัน มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Pilsen ในประเทศสาธารณรัฐเชค ได้รสชาติที่คม คลีน ทานง่าย บอดี้บาง มีความหวานเล็กน้อยของฮ็อปส์และมอลต์
แนะนำ: Speakeasy : Pop Gun (Pilsner - ABV 4.7%)

- Hefeweizen
เบียร์เยอรมัน Hefeweizen นับเป็นเบียร์คุณภาพที่ดื่มง่าย มีกลิ่นผลไม้เขตร้อน เช่น กล้วย รสชาติถูกปากคนไทย เป็นแบบเยอรมันแท้ซึ่งผลิตตามกฎบริสุทธิ์ (German Purity Law 1516) ที่ใช้วัตถุดิบเพียง 4 อย่าง คือน้ำ ฮ็อปส์ มอลต์ และยีสต์เท่านั้น Hefeweizen เป็นเบียร์ดื่มง่ายถูกปากคนไทย มีกลิ่นฮ็อปส์จาง ๆ ตัวเบียร์มักหมักด้วยยีสต์เข้ม ทำให้อาจมีกลิ่นผลไม้อย่างกล้วยหรือแอปเปิลด้วย
แนะนำ: Maisels Weisse : Original (German Hefeweizen - ABV 5.2%) Hefeweizen แบบเยอรมันแท้ ที่มีน้ำเบียร์สีเหลืองทอง รสชานุ่มนวล มีกลิ่นหอมของกล้วยและกานพลู เหมาะสำหรับดื่มในทุกช่วงโอกาส

- Witbier
แปลตรงตัวแปลว่าเบียร์สีขาว (คำว่า Wit ความหมายเหมือนคำว่า White) ทำจากข้าวสาลี มักมีกลิ่นของเปลือกส้ม และเมล็ดผักชี เป็นสไตล์การทำเบียร์ของเบลเยียม เน้นมอลต์ที่เป็นข้าวสาลี เป็นเบียร์ทานง่าย ไม่ขมมาก มีความซ่า สดชื่น ลื่นคอ
แนะนำ Coronado : Orange Avenue Wit (American Wit - ABV 5.2%) ซึ่งได้ความหอมและหวานจากน้ำผึ้งของดอกส้ม รสมขมเล็กน้อย ดื่มง่าย เหมาะกับอากาศร้อนๆของเมืองไทย

- Pale Ale
เป็นเบียร์สีทอง รสชาติอ่อน ดื่มง่าย บอดี้บาง มีกลิ่นซิตรัสจาง ๆ แต่ได้รสชาติฮ็อปส์โดดเด่นมาก
แนะนำ : Brewdog : Hop Fiction (Pale Ale : ABV 5.2%) เบียร์ Pale Ale ที่มีฮ็อปส์แบบจัดเต็ม รสชาติกลมกล่อม สดชื่น มีความบาลานซ์ที่ดี

- IPA
IPA หรือ India Pale Ale เกิดจากเบียร์ Pale Ale ที่ได้รับความนิยมมากในยุคที่อังกฤษล่าอาณานิคมและส่งเบียร์ไปเก็บที่อินเดียด้วยเรือแต่เบียร์เสีย จึงดัดแปลงเบียร์ให้มีปริมาณฮ็อปส์และยีสต์มากขึ้นเพื่อยืดอายุของเบียร์ ส่งผลให้เบียร์มีแอลกอฮอล์สูงขึ้น และมีกลิ่นและรสของฮ็อปส์โดดเด่น ส่วนใหญ่มีสีส้มออกไปทางทองแดง ฟองเบียร์สวย รสชาติแบบครบสูตรของคราฟต์เบียร์ มีกลิ่นที่แตกต่างชัดเจนมีเอกลักษณ์ มีกลิ่นผลไม้จาง ๆ บาลานซ์ดี
แนะนำ: Ballast Point : Sculpin (IPA - ABV 7.0%) หนึ่งในสุดยอดเบียร์ IPA ที่ได้รับคำชมและรางวัลจากทั่วโลก มีความเอกลักษณ์ของกลิ่นหอมและรสชาติ

- Double IPA
คือเบียร์ IPA ที่ใส่ฮ็อปส์เพิ่มขึ้นและหมักยีสต์นานขึ้นสองเท่า ทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง กลิ่นและบอดี้ของเบียร์แน่นเพิ่มเป็น 2 เท่า บางที่เรียกว่า imperial IPA เหมาะสำหรับนักดื่มผู้มีประสบการณ์
แนะนำ: BrewDog : Hardcore IPA(Double IPA : 9.2%) เบียร์แอลกอฮอล์สูง ที่มีการซ่อนกลิ่นของแอลกอฮอล์ไว้อย่างแยบยล มีรสชาติที่จัดเต็ม มีกลิ่นและรสชาติของคาราเมลปิดท้าย เหมาะสำหรับสายแข็ง

- Stout
คือเบียร์ Ale ดำที่นำมอลต์ไปคั่วก่อนจนเกิดสีเข้มและให้กลิ่นหอม โดดเด่นเรื่องความครีมมี่ รสชาตินุ่มลึก มีรสชาติคล้ายโกโก้ กาแฟ วานิลลาแนะนำ: BrewDog : Jet Black Heart (Oatmeal milk stout - ABV 4.7%) เบียร์ Stout สีดำเข้ม ที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต บาร์เล่ย์ และข้าวสาลี มีรสหวานเล็กน้อย และมีกลิ่นมอลต์คั่ว คล้านกาแฟและช็อคโกแลต นอกจากนี้ยังเป็น Stout มีแอลกอฮอลล์ที่ไม่สูงอีกด้วย

"Tips ดื่มเบียร์ยังไงให้อร่อย?"
วิธีการดื่มเบียร์ให้อร่อย ก่อนอื่นต้องชิลล์แก้วให้เย็นและมีอุณหภูมิใกล้เคียงเบียร์ก่อน เพื่อไม่ให้อุนหภูมิเกิดผลกับรสชาติของเบียร์รสชาติ และรินเบียร์ให้ดีต้องมีฟอง โดยให้ฟองหนาประมาณ 1 นิ้ว หรือประมาณ 2 ข้อนิ้ว ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้ท้องอืด ยังช่วยให้เราได้กลิ่นของเบียร์ และสมผัสรสชาติของเบียร์เต็มที่อีกด้วย


"วิธีดื่มเบียร์แบบโปร"
- Appearance ดูรูปลักษณ์ของเบียร์ ทั้งสี ความละเอียดของฟอง ตัวบอดี้
- Aroma ดมกลิ่น วนแก้วเล็กน้อยแล้วยื่นจมูกเข้าไปในแก้ว ให้ได้กลิ่นของยีสต์ ฮ็อปส์ และมอลต์เต็มที่
- Taste จิบรสชาติว่าเป็นอย่างไร เช่น ขม หวาน
- Mouthfeel รับความรู้สึกในปากว่าบอดี้ของเบียร์ว่าเบาบางหรือแน่น ซ่ามากหรือน้อยแค่ไหน
- Aftertaste หลังจากกลืนลงไปแล้ว มีรสชาติในปากอย่างไร เบียร์บางชนิดอาจขมแต่ทิ้งรสหวานไว้ที่ปลายลิ้น

คอเบียร์เป็นอย่างไรกันบ้าง? ไขข้อข้องใจไปได้เยอะเลยใช่ไหมล่ะไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเภทของเบียร์ คราฟเบียร์จริง ๆ แล้วต้องเป็นอย่างไร ใครที่เป็นสาวกเบียร์ก็ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูได้นะ หรือใครอยากอ่านเกร็ดความรู้ดี ๆ แบบนี้อีกเรายังมีให้อีกอ่านอีกเพียบคลิกที่นี่ได้เลย และเพื่อน ๆ สามารถอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ข้างล่างนี้เลย!
- วิธีทำ “ขาหมูเยอรมันอบเบียร์” เมนูกับแกล้มทำง่ายแค่ใช้ไมโครเวฟ!
- เบียร์ VS. กาแฟ ทำงานอย่างไรกับสมอง?
- นักจิบไวน์ต้องรู้ ไวน์คืออะไร มีกี่ประเภท ดื่มยังไงให้อร่อย?
- วิสกี้มีกี่ประเภท กินกับอะไรช่วยเพิ่มรสชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก