ด้วยความเชื่อว่าวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมีคุณภาพที่ดีพอ ๆ กับวัตถุดิบอาหารนำเข้า และเมื่อเรารู้จักวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมากขึ้นทำให้เกิดการ “Localization” หรือ “หยิบยกเอาวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง” แต่คำถามคือทำไม “วัตถุดิบอาหารท้องถิ่น” ถูกนำมาใช้ และทำไมวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นจึงถูกให้คุณค่ามากขึ้นในวงการอาหาร ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่ “วัตถุดิบอาหารนำเข้า” เป็นพระเอกและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับจานอาหาร เรามักจะเห็นอาหารที่ใส่ทรัฟเฟิลและคาเวียร์เพื่อทำราคาอาหารต่อจานให้สูงขึ้น แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อรสชาติและแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับอาหารในจานนั้นเลย
จนเมื่อเกิดการตีกลับของกระแสอาหารโลกที่ใส่ใจกับการกินวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นของตัวเองมากขึ้น จึงเกิดเทรนด์อาหารมากมายที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบอาหารท้องถิ่น ยกตัวอย่าง “Locavore”คอนเซปต์อาหารที่พูดถึงการกินอาหารในขอบเขตระยะทางที่ไม่ไกลจากละแวกบ้าน เมือง จังหวัด ประเทศ ไม่ว่าใครจะซีเรียสขนาดไหน แต่บริบททั้งหมดก็คือท้องถิ่น นอกจากนั้นยังมีกลุ่มของ “Slow Food” องค์กรในอิตาลีที่สนับสนุนอาหารท้องถิ่นมาโดยตลอดตั้งแต่ยุค 80 ซึ่งหัวใจหลักก็คือช่วยสนับสนุนเกษตรกรและวัตถุดิบอาหารท้องถิ่น แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็คือช่วยลดปัญหาคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการขนส่ง
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดการตีกลับของกระแสนำเข้าวัตถุดิบอาหาร ปัจจัยสำคัญคงต้องยกความดีความชอบให้กับเกษตรกร และผู้ผลิตวัตถุดิบอาหาร ที่ช่วยกันพัฒนาให้คุณภาพของวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นดีขึ้นจนแม้แต่เชฟฝรั่งในเมืองไทยก็ยอมรับและเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแทนการนำเข้า ส่วนหนึ่งก็มาจากโครงการหลวงที่สนับสนุนการปลูกพืชผักต่างประเทศ รวมถึงการวิจัยพัฒนาจนได้คุณภาพที่ไม่น้อยหน้าวัตถุดิบนำเข้า ซึ่งความสดใหม่นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้วัตถุดิบอาหารท้องถิ่นได้เปรียบ ลองนึกภาพการกินอาหารบนดอยกับส่งเข้ามาเมืองกรุงฯ ความสดก็ต่างกันแล้ว
อีกปัจจัยที่ทำให้วัตถุดิบเด่นขึ้นมาก็คือเชฟที่หันมาเลือกใช้วัตถุดิบอาหารท้องถิ่นกันมากขึ้น ที่สำคัญยังชูวัตถุดิบให้เป็นมากกว่าผักรองจานหรือกินเคียง นำเสนอเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อนำเข้า ทำให้คนกินอย่างเราได้รู้จักวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมากขึ้น รวมถึงคนท้องถิ่นได้รู้จักอาหารจานใหม่ ๆ ที่เกิดจากการนำเอาวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมาใช้
ตัวอย่างของร้านที่นำเอาวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นมาใช้ อาทิ “ร้าน Locus Native Food Lab” โดยเชฟก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจรที่นำเสนออาหารเหนือสมัยใหม่ผ่านวัตถุดิบและภูมิปัญญาอาหารเหนือ “ร้าน Taan” โดยเชฟมนต์เทพ กมลศิลป์ ที่เสาะหาวัตถุดิบท้องถิ่นที่น่าสนใจ มาใช้นำเสนออาหารไทยในรูปแบบใหม่ “ร้าน Kaijin” โดยคุณตั้ม-ณฐกร แจ้งเร็วหนึ่งในทีมคนหัวครัว ที่ออกเรือเพื่อตกปลาทะเลไทยมาใช้ทำอาหารมากมาย ทำให้เราคนกินเข้าใจว่าปลาไทยมีคุณภาพไม่แพ้ปลาญี่ปุ่น เช่นเดียวกับร้าน “Canvas” โดยเชฟไรลีย์ แซนเดอร์สเชฟฝรั่งที่สนใจวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นและนำมาทำใหม่ให้สวยงามน่ากิน ร้าน “100 Mahaseth” โดยเชฟชาลี กาเดอร์ ที่นำเอาไอเดียของครัวฝรั่งอย่างการใช้เนื้อสัตว์ทุกส่วนแบบหัวจรดหางมาปรุงอาหารอีสาน และร้าน "DAG" โดยเชฟแวน-เฉลิมพล โรหิตรัตนะ ที่ไม่ได้สนใจว่าอาหารที่ตัวเองทำเป็นสัญชาติใด แต่ทำอาหารภายใต้ปรัชญาในการใช้วัตถุดิบอาหารท้องถิ่น
เราเชื่อว่าคงพอทำให้เห็นภาพว่าการLocalizationที่มากขึ้น ทำให้วัตถุดิบอาหารท้องถิ่นกลายเป็นพระเอกขึ้นมาเทียบเท่าหรือ อาจจะเหนือชั้นกว่าวัตถุดิบอาหารนำเข้าด้วยซ้ำไป
- ถ้าไม่เชื่อลองดูดีลร้านอาหารจากร้านเสน่ห์จันทน์ ,ร้าน DAG, ร้าน 100 Mahaseth, ร้าน Royal Osha, ร้าน Blue Elephant และอีกหลายร้านอาหารชั้นนำจาก Wongnai Dealในเทศกาลอาหาร Bangkok Restaurant Week 2019 : Local Produce สุดยอดเทศกาลรวมดีลจากกว่า 20 ร้านอาหารชั้นนำ จัดเป็นคอร์ส 3 เมนู ในราคาเพียง 999++ เริ่มซื้อได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม - 31 กรกฎาคม 2562 ใช้ดีลได้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2562 สามารถซื้อดีลได้ที่ www.wongnai.com และแอปฯ Wongnai ทั้งใน iOs และ Android