เคยสงสัยกันไหมนะ? เวลาที่เราไปคาเฟ่หรือร้านเบเกอรี เรามักจะเจอขนม “โดนัท (Donut)” แบบต่าง ๆ วางเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด มองแล้ว เอ๊ะ! ทำไมบางอันมีรู บางอันไม่มีรู บางอันเป็นก้อนกลม หน้าตาไม่เหมือนกัน แต่กลับถูกเรียกว่าเป็นโดนัทเหมือนกันไปหมด ทำเอางงงวยไปกันเลยทีเดียวว่าโดนัทที่ฉันรู้จักในวัยเด็กมันไม่ใช่แบบนี้นา วันนี้ Wongnai เลยจะพาทุกคนไปทำความรู้โดนัทให้มากขึ้นกัน ว่าจุดเริ่มต้นของโดนัทมาจากไหน ชนิดของโดนัทในไทยตอนนี้มีกี่แบบ แถมเท่านั้นยังไม่พอ! เรายังมีพิกัดร้านโดนัทแต่ละชนิดมาแนะนำกันอีกด้วยนะ รีบเลื่อนตามมาดูกันเลยจ้า~
A.โดนัทมาจากไหน มีรู หรือไม่มีรู?
ว่ากันว่าขนม “โดนัท (Donut)” มีอายุมายาวนานกว่า 400 ปี เดิมทีเป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอร์แลนด์ “ไม่มีรูตรงกลาง” เป็นแป้งทอดรสหวาน มีส่วนผสมสำคัญคือ แป้งสาลี น้ำตาล ไข่ และไขมันจากเนย บางบันทึกบอกไว้ว่า โดนัทมีที่มาจากชาวยุโรปที่อพยพไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 และพวกเขาก็นำขนมประเภทนี้ไปด้วย
ส่วนที่มาของ “รูตรงกลาง” น่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 เล่ากันว่าอลิซาเบ็ธ เกรกอรี แม่ของกัปตันเรือแฮนสัน เกรกอรี กำลังทอดเจ้าโดนัทไว้เป็นเสบียงให้ลูกชาย แต่กัปตันแฮนสันไม่ชอบแป้งอมน้ำมัน จึงเจาะรูตรงกลางให้รู้แล้วรู้รอด เพราะเชื่อว่าการขยายพื้นผิวของขนมจะทำให้ทอดง่ายขึ้น ไม่แฉะ แถมสุกโดยทั่วกัน และที่สำคัญไม่อมน้ำมัน จนกลายเป็นโดนัทแบบมีรูนั่นเอง!
B.“Doughnut” หรือ “Donut”
เรามักจะเห็นคำว่าโดนัทในภาษาอังกฤษตามคาเฟ่และเบเกอรีกันอยู่บ่อย ๆ บางร้านใช้คำว่า “Doughnut” แต่บางร้านก็ใช้คำว่า “Donut” ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทั้งสองคำนี้ต่างกันอย่างไร คำตอบง่าย ๆ ของคำถามนี้คือ ทั้งสองคำมีความหมายเหมือนกัน แต่เขียนไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง!
โดยคำว่า “Doughnut” เป็นการสะกดแบบดั้งเดิมในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ส่วนคำว่า “Donut” เป็นการสะกดอีกแบบให้ง่ายขึ้น ปรากฏขึ้นครั้งแรกประมาณช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา และนิยมใช้กันเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จนมาถึงปัจจุบัน
C.โดนัทชนิดต่าง ๆ และพิกัดร้านแนะนำ
ถ้าเราลองค้นหาคำว่า Types of Doughnuts ดูใน Google ก็จะมีโดนัทขึ้นมาให้เราเห็นหลายชนิดมาก บางชนิดมีรู บางชนิดไม่มีรู บางชนิดเป็นแท่ง บางชนิดเป็นก้อนกลม บางชนิดสอดไส้ และบางประเทศก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเยอะมาก ๆ จนบางชนิดเราก็ไม่คุ้นตา
แต่สำหรับในประเทศไทยแล้ว เท่าที่เราเห็นและรวบรวมมาได้จะมีอยู่ 9 ชนิดด้วยกัน ซึ่งเจ้าโดนัท 9 ชนิดนี้จะมีชื่อเรียกว่าอะไร หน้าตาเป็นแบบไหน มีลักษณะเป็นอย่างไร มีร้านไหนที่มีเมนูพวกนี้บ้าง เรารวบรวมมาให้หมดแล้ว
American Donut
เริ่มต้นที่ “American Donut” กันเลยดีกว่า! โดนัทสไตล์อเมริกันที่หลายคนคุ้นเคยและรู้จักกันดี เพราะถ้าหากเราพูดถึงโดนัทเมื่อไหร่ เราก็จะนึกถึงโดนัทกลม ๆ มีรูตรงกลางแบบ American Donut แน่นอน จะบอกว่าเป็นรูปทรงซิกเนเจอร์ของโดนัทเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนนี้ American Donut ก็มีหลากหลายแบบมาก ๆ ต่างคน ต่างสัญชาติ ก็ต่างรสชาติกันไป แต่ยังมีจุดที่เหมือนกันก็คือ ทำมาจากแป้ง Dough เจาะรูตรงกลาง แล้วนำไปทอดให้มีความหนึบ แน่น และนุ่ม หากินได้ง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้าน Donut Dizturb กับเมนู “Gimme S’More”, ร้าน DROP BY DOUGH กับ “Raspberry Rose” ที่หลายคนรัก หรือจะเป็นแบบ “Original Donut” จากร้าน Kinn, Chubby Dough หรือ Kinu Donut ก็ละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว!
Bombolini
พักหลังมานี้ได้ยินชื่อของ “Bombolini” อยู่บ่อยครั้ง เพราะน้องกำลังมาแรงและเป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียล บวกกับมีคาเฟ่หลายเจ้าเริ่มทำโดนัทชนิดนี้ออกมาให้ลิ้มลองกันอยู่เรื่อย ๆ เดิมที Bombolini มาจากอิตาลี เป็นโดนัทแบบไม่มีรู มีส่วนผสมเป็นแป้ง Dough คล้าย ๆ กับ American Donut แต่จะต่างกันตรงที่ Bomboloni ต้องพับให้เกิดเป็นชั้น เพื่อเนื้อสัมผัสที่นุ่มและฟูฟ่อง ตามไปลิ้มลองกันได้ที่ร้าน CREAM กับ “Handmade Bomboloni”, “Nutella Bomboloni” ของร้าน La Dotta หรือ “Strawberry Short Cake” โดนัทขึ้นชื่อสไตล์ Bomboloni ที่ร้าน Mooh Store (หมูสโตร์) ก็หอมหวาน หนึบหนับ นุ่มละมุนลิ้น
Cronut
อ่านชื่อนี้แล้วรู้สึกคุ้น ๆ ไหมคะ เพราะ “Cronut” คือโดนัทลูกผสมระหว่างครัวซองต์และโดนัท ชื่อของมันก็มาจากคำว่า Croissant + Donut กลายเป็น Cronut โดนัทที่ทำเนื้อสัมผัสแบบครัวซองต์ ซึ่งเจ้าโดนัทชนิดนี้ถือกำเนิดมาได้ไม่นาน เป็นที่รู้จักครั้งแรกช่วงปี 2013 โดยเชฟ Dominique Ansel เชฟฝีมือดีของนครนิวยอร์ก และแน่นอนในบ้านเราเองก็มีร้านที่ทำโดนัทชนิดนี้อยู่เหมือนกัน! กับร้าน Susan Croissant ร้านครัวซองต์ร้านดังที่สร้างสรรค์เมนู “Frido” โดนัทแบบ Cronut ท่ีเจ้าของร้านเพิ่มกิมมิกด้วยการตั้งชื่อเอง มีรสชาติหลากหลาย พร้อมเอกลักษณ์สไตล์ Susan Croissant ที่ไม่เหมือนใคร
Berliner
ต่อกันด้วยโดนัทแบบ “Berliner” เป็นโดนัทสัญชาติเยอรมัน ทรงอ้วนกลม ไม่มีรูตรงกลาง มีทั้งแบบมีไส้และไม่มีไส้ ถ้าเป็นแบบมีไส้ส่วนใหญ่จะเป็นครีมหรือแยม เช่น แยมสตรอว์เบอร์รี ครีมช็อกโกแลต หรือครีมคัสตาร์ด ส่วนด้านบนสุดของโดนัทโรยด้วยน้ำตาลไอซิง ว่ากันว่าคนเยอรมันมักชอบกิน Berliner กันในช่วงวันสำคัญต่าง ๆ และวันสิ้นปี โดยเมนู Berliner ที่เราแนะนำคือ “Simple Berliner” และ “Butterscotch Berliner” จากร้าน Holey Artisan Bakery โดยฝีมือของ Maurice Chaplais เชฟชาวอังกฤษที่สะสมไอเดียจากการเดินทางทั่วโลกมากว่า 30 ปี
Twisted
โดนัท “Twisted” นี้ หลายคนคุ้นเคยกันดี เห็นได้บ่อย ๆ ตามร้านเบเกอรีทั่วไปในไทย เป็นโดนัทแบบไม่มีรู บิดเป็นเกลียวยาว เนื้อโดนัทจะนุ่มฟู มีความยืดหยุ่น นิยมนำไปเคลือบด้วยน้ำตาลเป็น “Glazed Twisted Donut” หรือนำไปคลุกซินนามอนแบบ “Korean Twisted Donut (Kkwabaegi)” ตามฉบับสูตรพื้นเมืองของเกาหลี ก็จะได้เท็กซ์เจอร์กรุบ ๆ กินเพลิน ๆ ไปอีกแบบ ซึ่งร้าน Tomoroo Bakery ก็ทำ “Twisted Donut” ออกมาได้ดี แถมบางร้านอย่าง Amatissimo Caffe ก็มีเมนู “Cappuccino Twist” เป็นโดนัท Twisted แต่มีเนื้อสัมผัสกึ่ง ๆ ครัวซองต์ เพิ่มความแปลกใหม่ด้วยกลิ่นและรสกาแฟให้เข้ม แต่ยังมีความกลมกล่อมอย่างพอดิบพอดี
Zeppole
“Zeppole” โดนัททอดสไตล์อิตาเลียน ลักษณะเป็นรูปกลมมน ขนาดเล็ก ไม่มีรู ตามแบบออริจินอลจะโรยด้วยน้ำตาลและผงอบเชย แต่ในปัจจุบันมีการเพิ่มสอดไส้ครีม วิปครีม หรือนำไปกินคู่กับชีสมาสคาร์โปเน เป็นขนมคู่วันสำคัญอย่าง St. Joseph’s Day ของชาวอิตาลี ซึ่งในบ้านเราก็อาจจะหา Zeppole กินกันยากซะหน่อย แต่ก็มีอยู่นะ! ที่ร้าน Carne กับเมนู “Pecan Mascarpone Brioche Zeppole” และร้าน Brunello Thailand กับเมนู “Homemade Zeppole” ไปลองกันได้ รับรองว่าต้องประทับใจ
Churros
บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว “Churros” คือหนึ่งในตระกูลของโดนัท เป็นโดนัททอดสัญชาติสเปน หรือบางครั้งถูกเรียกว่า “ปาท่องโก๋สเปน” มีลักษณะยาวเป็นแท่ง ๆ มีผิวสัมผัสที่กรอบข้างนอก และเหนียวนุ่มข้างใน มักโรยด้วยน้ำตาล ซินนามอน หรือนิยมเอาไปจุ่มกับดิปซอสรสชาติต่าง ๆ ในประเทศไทยเองก็เห็นขนม Churros กันได้ทั่วไป หากินได้ไม่ยาก แต่มาแรงสุด ๆ ก็คงต้องให้ร้าน Dolly Churro กับเมนู “Churros Easy Bite” ที่มาคู่กับดิปซอสให้จิ้มกินอย่างจุใจ!
Beignet
“Beignet” โดนัทไม่มีรูสไตล์ฝรั่งเศส ที่ทำจากแป้ง Dough ชนิดเดียวกับที่ใช้ทำ Brioche ซึ่งจะมีส่วนผสมของไข่ นม และเนยที่เยอะมากพอสมควร ทำให้ต้องนวดแป้งเป็นเวลานาน แต่เนื้อโดนัทจะเหนียวนุ่มมาก มีความยืดหยุ่น เวลาที่กัดจะรู้สึกว่าชุ่มฉ่ำ ได้กลิ่นหอมตลบอบอวลในกระพุ้งแก้ม ว่ากันว่าใครที่ได้ลองโดนัท Beignet เป็นอันต้องติดใจกันทุกราย แถมตอนนี้ร้าน BRIX Dessert Bar ก็มีโดนัทชนิดนี้ให้เลือกเพียบ ทั้ง “Hokkaido Milk Cream Beignet” และ “Chocolate Hokkaido Milk Beignet” หรือ “Vanilla Cream Brioche Donut” เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Flour Flour นิมมาน ตัวไส้แน่น ๆ เยิ้ม ๆ ควรค่าแก่การไปกิน!
Cruller
ปิดท้ายกันด้วยโดนัท “Cruller” หรือ “French Cruller” โดนัทแบบเกลียวสไตล์ฝรั่งเศส เพราะคำว่า Cruller สื่อความหมายถึงรูปร่างที่ถูกขดม้วนกันเป็นเกลียว ส่วนที่บอกว่าเป็นสไตล์ฝรั่งเศส เพราะว่าสูตรแป้งที่ใช้สำหรับโดนัทชนิดนี้เป็น “แป้งชู (Choux Pastry)” แป้งพื้นฐานในการทำขนมฝรั่งเศส แบบเดียวกันกับที่ใช้ทำชูครีม แม้ว่า Cruller ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศสก็ตาม สำหรับโดนัทแบบ Cruller ที่เราแนะนำก็จะมี “Cruller Donut” จากร้าน Flour Flour นิมมาน ร้านขนมปังโฮมเมดเล็ก ๆ แต่แสนอบอุ่นในซอยนิมมาน
จบไปแล้วสำหรับเรื่องราวของ “โดนัท (Donut)” ที่เรานำมาฝากกัน! ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะเนี่ยว่าเจ้าโดนัทกลม ๆ แบบนี้ จะมากหน้าหลายตาและมีอินไซต์เยอะขนาดนี้ ยิ่งพอเราได้รู้แบบนี้แล้ว ความเชื่อที่ว่าโดนัทจะต้องมีรู มันไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ฮ่า ๆ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนได้รู้จักโดนัทกันมากขึ้นนะ :)
ติดตามบทความเกี่ยวข้องได้ที่